เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2022 สำนักพระราชวังอังกฤษออกแถลงการณ์ว่า ควีนเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จสวรรคต ณ พระตำหนักบัลมอรัล สกอตแลนด์ ขณะมีพระชนมพรรษา 96 พรรษา ซึ่งถือเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์นานที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ด้วยระยะเวลา 70 ปี 214 วัน
และแน่นอนว่ามีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรดีขึ้นตลอดช่วงศตวรรษที่ 20 พี่ทุยสรุปทุกเรื่องที่น่ารู้มาแล้ว แต่ต้องบอกก่อนว่าคอนเทนต์นี้อาจจะไม่ได้ใช้ราชาศัพท์ที่ถูกต้อง แต่พี่ทุยปรับให้เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย ๆ
ไปฟังกัน..
จุดเริ่มต้นของควีนเอลิซาเบธที่ 2
นับตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ในปี 1953 ราชวงศ์อังกฤษ สหราชอาณาจักร ก็ได้มีเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งการสูญเสียประเทศอาณานิคม การมีนายกฯ หญิงคนแรก การเกิดขึ้นของสหภาพยุโรปและสกุลเงินยูโร เรียกว่าเป็นบทบาทที่สำคัญของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ที่มา: The Guardian
จุดเปลี่ยนที่ 1 สหราชอาณาจักรประกาศเอกราชให้ประเทศอาณานิคม
การสูญเสียประเทศอาณานิคมเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนปี 1947 ตั้งแต่ยุคที่พระเจ้าจอร์จที่ 6 (พ่อของควีนเอลิซาเบธที่ 2)
เมื่ออินเดียประกาศเอกราชเป็นประเทศแรก ตามมาด้วยอีกหลายประเทศในช่วงปี 1956 เป็นต้นมา ได้แก่ อียิปต์ อิรัก ไซปรัส มอลต้า ซิมบับเว เคนยา มาเลเซีย สิงคโปร์
และปิดท้ายที่การคืนเกาะฮ่องกงให้กับประเทศจีน เมื่อปี 1997 ซึ่งในแง่หนึ่งก็ต้องยอมรับว่า สหราชอาณาจักรปล่อยให้แต่ละประเทศประกาศตัวเป็นรัฐเอกราช โดยไม่เกิดความรุนแรงเป็นสงครามที่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ
จุดเปลี่ยนที่ 2 เปลี่ยนถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์สู่การใช้ Social Media
ในช่วงที่อังกฤษเจอกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้มีการจัดพิธีแต่งงานของตนเองอย่างยิ่งใหญ่ที่วิหารเวสต์มินสเตอร์ เมื่อ 2 มิ.ย. 1953
และมีกุศโลบายว่าให้ถ่ายทอดสดผ่านช่อง BBC พร้อมกับประชาชนกว่า 3 ล้านคนยืนชื่นชมบารมีตามท้องถนน
นายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิล ในเวลานั้น ไม่คิดว่าควรจะต้องมีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ เพราะประชาชนในอังกฤษไม่ถึง 1 ใน 3 ของทั้งประเทศที่มีโทรทัศน์ใช้ แต่ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ยืนยันว่า ควรจะต้องมีการบันทึกเหตุการณ์นี้เอาไว้เป็นประวัติศาสตร์
เลยทำให้ประชาชนอังกฤษพากันซื้อโทรทัศน์เพื่อชมพระราชพิธีกว่า 20 ล้านคน คิดเป็น 40% ของประชากรทั้งประเทศ กลายเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งสำคัญของอังกฤษ จนมีคำกล่าวว่า พิธีนี้เป็นสัญลักษณ์เปรียบอังกฤษดัง “นกฟีนิกซ์” ที่เกิดขึ้นมาใหม่จากกองเถ้าถ่าน และเป็นแรงบันดาลใจสำคัญเพื่อบอกประชาชนสหราชอาณาจักรว่า ทุก ๆ อย่างกำลังจะดีขึ้นแล้วจากยุคสงคราม
และมาจนถึงช่วง 10 ปีสุดท้ายของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ก็มักจะมีการส่งข้อความ SMS ผ่านมือถือถึงหลาน ๆ อยู่เสมอ แถมยังมี Account ส่วนตัวในทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง Facebook, Youtube และ Twitter
ที่มา: NBC News
เปิดเผยเรื่องราวของราชวงศ์ผ่านสื่อต่าง ๆ
นอกจากควีนเอลิซาเบธที่ 2 จะชื่นชอบการดูโทรทัศน์แล้ว ยังมีคำสั่งให้กล้องของสถานีโทรทัศน์เข้ามาในพื้นที่ของวิหารเวสต์มินสเตอร์ (Westminster Abbey) ซึ่งเป็นเขตพระราชฐานชั้นใน เพื่อที่จะได้เก็บภาพพระราชพิธีต่าง ๆ ได้อย่างใกล้ชิด และเผยแพร่ให้ชมกันเป็นทั่วถึงมากขึ้น
ในปี 1960 พิธีแต่งงานของน้องสาวอย่างเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตและแอนโทนี โจนส์ (สามี) ก็จัดขึ้นที่วิหารเวสต์มินสเตอร์ มีการถ่ายทอดผ่านทางโทรทัศน์ ยอดผู้ชมกว่า 300 ล้านคนทั่วโลก และหลังจากนั้นเวลามีพิธีใด ๆ ก็จะมีถ่ายทอดสดมาจนถึงปัจจุบัน
และตั้งแต่ปี 1970 ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ก็เริ่มให้ประชาชนมารับเสด็จอย่างใกล้ชิด (Walkabout) เริ่มตั้งแต่การเสด็จไปเยือนนิวซีแลนด์ เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนการวางตัวให้เข้าถึงง่าย และทันสมัยต่อโลกมากขึ้น
ที่มา: Insiders
จุดเปลี่ยนที่ 3 นำอังกฤษก้าวสู่โลกสมัยใหม่ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
ในช่วงที่สงครามโลกครั้งที่ 2 เพิ่งจบลงได้ไม่กี่ปี โลกก็เข้าสู่ช่วงสงครามเย็นที่มีสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียตเป็นคู่ขัดแย้ง
สหราชอาณาจักรก็ก้าวเข้าสู่การเป็นชาติมหาอำนาจในรูปแบบใหม่ ด้านการวิทยาการ โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ของอังกฤษแห่งแรกตั้งอยู่ที่เมือง Calder Hall เปิดทำการเมื่อปี 1956 ตามหลังสหรัฐเพียง 5 ปี ซึ่งควีนเอลิซาเบธที่ 2 ก็ได้ทำพิธีเปิดโรงไฟฟ้าแห่งนี้ด้วยตนเอง
ด้านเศรษฐกิจ
สหภาพยุโรปได้เริ่มก่อตั้งขึ้นปี 1972 ภายใต้การสนับสนุนและผลักดันของสหราชอาณาจักรในยุคควีนเอลิซาเบธที่ 2 ก่อนที่สหราชอาณาจักรจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกในปี 1973 หลังจากนั้นหลายประเทศในยุโรปก็ยอมละทิ้งสกุลเงินของตนหันมาใช้เงินสกุลยูโรเหมือนกันเพื่อประโยชน์ทางการค้า (แต่สหราชอาณาจักรยังใช้สกุลเงินปอนด์ของตัวเองอยู่)
และเมื่อปี 2016 สหราชอาณาจักรก็ออกจากสหภาพยุโรป โดยประชาชนมีมติออกมาลงคะแนนโหวตให้ Brexit
ด้านกฎหมาย
ตั้งแต่ 8 พ.ย. 1965 มีการยกเลิกการตัดสินโทษประหารชีวิต และในปี 1967 ก็อนุญาตให้หญิงทำแท้งได้อย่างเสรี รวมถึงในปัจจุบันก็มีกฎหมายออกมายอมรับสิทธิและเสรีภาพให้กับเพศทางเลือก LGBTQ+ อีกด้วย
ที่มา: Stacker
จุดเปลี่ยนที่ 4 ยกเลิกประเพณีล้าหลังของราชวงศ์
ควีนอลิซาเบธที่ 2 เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับราชวงศ์ในหลาย ๆ เรื่อง ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ครองราชย์ในปี 1940 มีการกระจายเสียงผ่านวิทยุเพื่อให้กำลังใจเยาวชนที่ต้องห่างพ่อแม่ ให้ผ่านพ้นช่วงสงครามไปได้
นอกจากนั้น ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ก็เคยเข้าร่วมเป็นทหารช่างในหน่วยทหารหญิง Auxiliary Territorial Service ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยทำหน้าที่เป็นพลขับรถบรรทุก
ส่วนอีกเรื่องเป็นที่พูดถึงกันในยุคปี 2000s ที่มีการยกเลิกกฎเกณฑ์ ห้ามไม่ให้บุคคลในราชวงศ์แต่งงานกับบุคคลซึ่งผ่านการหย่าร้างและอดีตคู่สมรสของผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเคยเป็นข้อห้ามสำคัญที่ทำให้พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 (ลุงของควีนอลิซาเบธที่ 2) ต้องสละราชสมบัติ เพราะต้องการแต่งงานกับแม่หม้ายชาวอเมริกัน
การยกเลิกกฎเกณฑ์นี้เพื่อให้ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ที่ 3 (รัชทายาทอันดับ 1 ของราชวงศ์อังกฤษ ณ ตอนนั้น) สามารถแต่งงานกับคามิลล่า Duchess of Cornwall ได้ แม้ว่าจะเคยผ่านการหย่าร้างมาแล้ว และสามีเก่าก็ยังมีชีวิตอยู่
และเมื่อกลางปี 2018 ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ก็ได้ให้เจ้าชายแฮร์รี่ ใช้โบสถ์เป็นสถานที่ประกอบพิธีแต่งงานกับ เมแกน มาร์เคิล (ผู้ที่เคยผ่านการหย่าร้างมาแล้ว) ซึ่งในตอนที่เจ้าฟ้าชาร์ลส์ที่ 3 แต่งงานยังไม่ได้อนุญาตให้ใช้โบสถ์ประกอบพิธี
ที่มา: International Business Times
นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอังกฤษ
ตลอดชีวิตของควีนเอลิซาเบธที่ 2 แม้ว่าจะมีนายกรัฐมนตรีมามากถึง 15 คน แต่ก็มีนายกฯ หญิงคนหนึ่งที่ทั่วโลกจับจ้องว่าจะมาใช้บารมีทางการเมืองมาทาบรัศมีราชินีแห่งอังกฤษ นั่นคือ มาร์กาเร็ต แทชเชอร์ (ปี 1978-1990) จากพรรคอนุรักษ์นิยม ซึ่งเกิดก่อนควีนเอลิซาเบธที่ 2 เพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น
ปกติแล้วในทุกวันอังคาร ควีนเอลิซาเบธที่ 2 จะมีนัดคุยกับมาร์กาเร็ต แทชเชอร์ เพื่อฟังรายงานจากคณะรัฐบาล จากสารคดี The Queen and Her Prime Ministers เคยเล่าไว้ว่า
“แทชเชอร์ มักเดินทางมาถึงพระราชวังบักกิงแฮมก่อนเวลาประมาณ 15 นาทีเสมอ แต่พระราชินีให้เธอรอก่อนการเข้าเฝ้าอยู่เป็นประจำเช่นกัน”
ในทางการเมือง มาร์กาเร็ต แทชเชอร์ ถูกมองว่าไม่ค่อยใส่ใจชนชั้นแรงงานแตกต่างจากท่าทีของพระราชินีที่เห็นอกเห็นใจชนชั้นแรงงานซึ่งเป็นประชาชนจำนวนมากของประเทศ
และแล้วในปี 1986 ความขัดแย้งของทั้งสองก็ถูกเปิดเผยผ่านสื่อเป็นครั้งแรก เมื่อหนังสือพิมพ์ The Sunday Times รายงานว่า ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ถูกมาร์กาเร็ต แทชเชอร์มองข้ามและไม่ใส่ใจ จากกรณีที่เธอปฏิเสธการคว่ำบาตรรัฐบาลแอฟริกาใต้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าควีนเอลิซาเบธที่ 2 จะไม่ชอบแทชเชอร์ไปทุกเรื่อง เพราะแทชเชอร์ได้เคยเขียนข้อความเอาไว้ในบันทึกส่วนตัวว่า หลังจากที่รู้ข่าวการได้รับชัยชนะของอังกฤษในสงครามหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ที่อังกฤษรบกับอาร์เจนตินาในปี 1982 ก็ได้รีบไปแจ้งให้ควีนเอลิซาเบธรู้ทันทีด้วยตนเอง เหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้พระราชินีพอใจกับการกระทำเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถแสดงความเห็นทางการเมืองได้
หลังจากที่มาร์กาเร็ต แทชเชอร์ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ได้เพียง 2 สัปดาห์ ก็ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์กิตติคุณจากควีนเอลิซาเบธที่ 2 (ทำงานภายใต้การครองราชย์นานถึง 11 ปี)
และหลังจากนั้น 2 ปีก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นบารอนเนส และได้มีที่นั่งบนสภาขุนนาง (House of Lords) นี่จึงเป็นตัวอย่างให้กับหน้าประวัติศาสตร์โลกที่ทำให้เห็นว่า ประมุขและผู้นำของประเทศก็เป็นผู้หญิงและทำงานร่วมกันได้เช่นเดียวกับผู้ชาย
ที่มา: Popsugar
จุดเปลี่ยนที่ 5 ยุติไฟสงครามกับไอร์แลนด์เหนือ
ความขัดแย้งของอังกฤษและไอร์แลนด์เหนือ กินระยะเวลา 30 ปี เรียกว่าเป็นความขัดแย้งที่ยาวนานที่สุดของเครือสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นที่มาทำให้เกิดกองทัพสาธารณรัฐไอร์แลนด์ (Irish Republican Army: IRA)
ผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดต่อราชวงศ์อังกฤษ คือ เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ลอร์ดเมานต์แบ็ตเทน (ญาติสนิทของเจ้าชายฟิลิป สามีของควีนเอลิซาเบธที่ 2) ในปี 1979 ขณะที่กำลังล่องเรือพักผ่อนกับญาติ ๆ อีกหลายคน
เมื่อปี 1998 ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ก็พยายามยุติความขัดแย้ง ยอมให้อังกฤษทำข้อตกลง Good Friday
และในปี 2011 ก็ได้แสดงความเสียใจตอนที่ไปเยือนกรุงดับลิน ของไอร์แลนด์ เพื่อให้เกิดความประนีประนอมกัน แถมยังมีการพูดคุยอย่างเป็นมิตรกับมาร์ติน แม็กกินเนส อดีตผู้นำกองทัพ IRA ในปี 2012 และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็ยังไม่เคยเกิดเหตุก่อการร้ายระหว่างอังกฤษกับไอร์แลนด์อีกเลย
ที่มา: Cosmopolitan
จากที่พี่ทุยสรุปมาให้ฟังทั้งหมดนี้ เรียกได้ว่าควีนเอลิซาเบธที่ 2 มีบทบาทที่ทำให้เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรเติบโต มีแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินที่ทันโลกสมัยใหม่ เปิดใจกับการเปลี่ยนผ่านข้ามยุคสมัย
ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องแน่นอนเสมอ การปรับตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลง จะทำให้พวกเราสามารถเผชิญหน้ากับอนาคต
และนี่คือสิ่งที่ควีนเอลิซาเบธได้กล่าวเอาไว้เมื่อปี 2002 ที่น่าจะเป็นหนึ่งในต้นแบบให้กับผู้นำประเทศทั่วโลกเปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกทุกวันนี้
ที่มา: Insider
อ่านเพิ่มเติม