แนวโน้มราคาทอง 2567 ครึ่งปีหลังเป็นยังไง ยังน่าซื้อมั้ย ?

แนวโน้มราคาทอง 2567 ครึ่งปีหลังเป็นยังไง ยังน่าซื้อมั้ย ?

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • ราคาทองคำแท่งในประเทศเฉลี่ยเดือน มิ.ย. ยังอยู่ในระดับสูงกว่า บาทละ 40,000 บาทเช่นเดียวกับเดือน พ.ค. โดยราคาลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สอดคล้องกับราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับลดลงมาเล็กน้อย 
  • เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ที่มีข่าวธนาคารกลางจีนหยุดซื้อทองคำเพิ่มเข้าไปในทุนสำรองระหว่างประเทศเมื่อเดือน พ.ค. บวกกับข่าวตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ออกมาเซอร์ไพร์สดีกว่าคาด ส่งผลให้ราคาทองคำปรับลดลงทันที อย่างไรก็ตาม ถ้าดูภาพรวมความต้องการของธนาคารกลางทั่วโลก ในการซื้อทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ก็พบว่า ยังแข็งแกร่งอยู่ 
  • นักวิเคราะห์สถาบันต่าง ๆ คาดการณ์ราคาทองคำสิ้นปีนี้ ตั้งแต่ 2,000 – 2,700 ดอลลาร์ โดยปัจจัยหลักที่จะสนับสนุนราคาทองคำปรับขึ้นคือ การที่นักลงทุนต้องการซื้อทองคำเพื่อเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอน แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องจับตา ทั้งจากนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ยช้า และค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ที่ไม่เป็นผลดีกับทองคำสักเท่าไหร่ 

 


รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ต้องบอกว่าครึ่งปีแรก 2567 ราคาทองคำนี่ร้อนแรงสุด ๆ ทำนิวไฮต่อเนื่อง เคยขึ้นไปถึง 42,000 บาทเลย โดยยืนอยู่ในระดับ 40,000 มาตั้งแต่เดือน เม.ย. อาจจะมีปรับลดลงบ้าง แต่ก็เพียงเล็กน้อย เรียกว่า บ้านไหนเรียกสินสอดเป็นทองคำหนัก ๆ ในปีนี้ ฝ่ายชายอาจจะมีหน้าซีดกันได้ เพราะทองแพงซะเหลือเกิน วันนี้พี่ทุยก็เลยอยากชวนทุกคนมาอัปเดต แนวโน้มราคาทอง 2567 กันหน่อย ผ่านมาเกือบครึ่งปีแล้วเป็นยังไงบ้าง และแนวโน้มในช่วงครึ่งปีที่เหลือจะเป็นยังไง 

ราคาทองย้อนหลัง 5 ปี ก่อนโควิด-19 ถึงปี Q2/2567

ราคาทองย้อนหลัง 5 ปี ก่อนโควิด-19 ถึง Q2/2024 ถ้าดูจากกราฟ ก็จะเห็นว่า แนวโน้มราคาทองคำช่วง 5 ปีที่ผ่านมา คือปรับขึ้นต่อเนื่องเลย เพียงแต่บางช่วงอาจจะมีลดลงบ้างเล็กน้อย พอให้คนซื้อกล้าเข้าไปเก็บกัน โดยล่าสุดจากข้อมูล ณ วันที่ 15 มิ.ย.​ 2567 ราคาทองคำแท่งในประเทศ เฉลี่ยเดือน มิ.ย.​ 2567 อยู่ที่ 40,384.62 บาท ลดลงนิดหน่อยเมื่อเทียบกับเดือน พ.ค.​ 2567 ซึ่งมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 40,750.00 บาท ซึ่งก็สอดคล้องกับราคาทองคำในตลาดโลก ที่ปรับลดลงเล็กน้อยเช่นกัน โดยราคาเฉลี่ย ณ เดือน มิ.ย. อยู่ที่ 2,322.65 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลดลงจากเดือน พ.ค. ซึ่งอยู่ที่ 2,349.81 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ราคาทองคำมีย่อ ๆ ลงมาบ้างในเดือน มิ.ย. นั้น พี่ทุยต้องบอกว่า มาจาก 2 ข่าวหลักๆ ที่ออกมาเลย ข่าวแรก ก็คือ เดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีน (PBoC) หยุดซื้อทองคำเข้ามาในทุนสำรองเพิ่ม หลังจากซื้อต่อเนื่องมา 18 เดือน ต่อด้วยข่าวที่สอง คือ ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่ออกมา สะท้อนว่าตลาดการจ้างงานยังแข็งแกร่ง จึงทำให้นักลงทุนมีความหวังน้อยลงว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยเร็วๆ นี้  

การซื้อทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศของจีน กำหนดทิศทาง แนวโน้มราคาทอง 2567 

สำหรับข่าวคราว ธนาคารกลางจีนหยุดซื้อทองคำเพิ่มเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ออกมาเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.​ 2024 โดยในช่วงเดือน พ.ค. นั้น เป็นช่วงที่ราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์​ เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2024 ที่ระดับ 2,449.89 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งการหยุดซื้อครั้งนี้ เกิดขึ้น หลังจากที่เคยซื้อทองคำเพิ่มต่อเนื่องมานานถึง 18 เดือน โดยภายหลังข่าวออกมา ราคาทองคำในตลาดโลก ปรับลดลงไป 1.4% 

ทั้งนี้ จากข้อมูลเดือน พ.ค. พบว่า ธนาคารกลางจีน มีทองคำในทุนสำรองทั้งสิ้น ​2,264 ตัน อยู่ในระดับเดิมเมื่อเทียบกับเดือน เม.ย. หรือคิดเป็น 4.93% ของทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมดของธนาคารกลางจีน  

แนวโน้มราคาทอง 2567 ครึ่งปีหลังเป็นยังไง ยังน่าซื้อมั้ย ?

ขณะที่ ถ้าดูสถิติการซื้อทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางทั่วโลกโดยรวม จากข้อมูล ณ เดือน เม.ย. ​ก็ยังถือว่า มียอดการซื้อที่แข็งแกร่งอยู่ โดยมีธนาคารกลาง 8 แห่งทั่วโลกที่ซื้อทองคำเป็นทุนสำรองเพิ่มในเดือน เม.ย. หลักตัน หรือมากกว่านั้น นำโดย ธนาคารกลางตุรกี ที่เป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุด โดยซื้อเพิ่มถึง 8 ตัน และเป็นการซื้อต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 ส่งผลให้รวม 4 เดือนซื้อสุทธิไปแล้ว 38 ตัน และมีการถือครองทองคำในทุนสำรองรวม 578 ตัน 

8​ ธนาคารกลาง ที่ซื้อทองคำเพิ่มในทุนสำรองมากที่สุด

8​ ธนาคารกลาง ที่ซื้อทองคำเพิ่มในทุนสำรองมากที่สุด

ทีนี้มาดูสถิติการซื้อสุทธิและขายสุทธิทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศ ระดับมากกว่า 1 ตัน ของธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก นับตั้งแต่ต้นปีถึงเดือน เม.ย.​2024 

แนวโน้มราคาทอง 2567 ครึ่งปีหลังเป็นยังไง ยังน่าซื้อมั้ย ?

จะเห็นได้ว่า ในเดือน เม.ย. ธนาคารกลางจีน ก็ยังซื้อทองคำเพิ่มในทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ แต่ถ้าพิจารณาแบบลงรายละเอียดก็จะพบว่า การซื้อเพิ่มระดับนี้ ก็เป็นระดับต่ำที่สุด​เมื่อเทียบกับยอดที่ซื้อเพิ่มมาต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2565 ส่วนไทยนั้น จัดอยู่ในกลุ่มที่มียอดขายสุทธิทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง 

ทำไมการประกาศตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ​ ถึงมีผลกับราคาทองคำ

สำหรับข่าวตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ นั้น พี่ทุยต้องบอกว่า ตัวเลขออกมาค่อนข้างเซอร์ไพร์สนักลงทุนเหมือนกัน โดยนักลงทุนก็คาดหวังว่าตัวเลขการจ้างงานคงจะออกมาไม่ดีนัก ซึ่งก็น่าจะเป็นตัวแปรที่ช่วยให้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ตัดสินใจลดดอกเบี้ยลงได้ แต่ปรากฎว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กลับรายงานตัวเลขการจ้างงานในเดือน พ.ค. ออกมาว่า งานยังเติบโตกว่าที่คาด ขณะที่ค่าจ้างก็ยังเติบโตอยู่ ซึ่งตัวแปรนี้ก็จะไปมีผลกับตัวเลขเงินเฟ้อ

ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเลขสำคัญที่ Fed ใช้พิจารณาว่าจะลดดอกเบี้ยรึเปล่า โดยถ้าเงินเฟ้อปรับลดลงมาเข้าใกล้เป้าหมาย 2% ก็จะทำให้ Fed มีโอกาสตัดสินใจลดดอกเบี้ยได้มากขึ้น แต่เมื่อการจ้างงานยังแข็งแกร่ง ค่าจ้างก็ยังโต โอกาสที่เงินเฟ้อจะขยับลงมาเข้าใกล้ 2% ก็จะยิ่งช้าลง 

ทั้งนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่า เงินเฟ้อยังลงไม่ถึงเป้าหมายที่ต้องการ แล้ว Fed ก็เลยมีโอกาสลดดอกเบี้ยช้าลง เกี่ยวข้องอะไรกับราคาทองคำ พี่ทุยขออธิบายเพิ่มเติมว่า โดยปกติแล้ว ราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ถ้า Fed ลดดอกเบี้ยลง นอกจากจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมต่ำลงเป็นผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ก็ยังทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับจากการฝากเงินสกุลเงินดอลลาร์ลดลงด้วย ดังนั้นก็จะเป็นแรงจูงใจทำให้คนอยากซื้อทองคำมากขึ้น ราคาทองคำก็จะปรับขึ้นได้

ความต้องการซื้อขายทองคำในตลาด ETF และตลาดซื้อทองคำจริง

พี่ทุยขอชวนทุกคนไปสำรวจสถานการณ์การซื้อขายกองทุนรวมดัชนีที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (Exchange Traded Fund : ETF) สำหรับทองคำ รวมถึงการซื้อขายทองคำจริงกันบ้าง

สำหรับภาพรวม การซื้อขาย ETF ทองคำในเดือน พ.ค. 2567 นั้น จากข้อมูลรายงานของสภาทองคำโลก พบว่า ราคาซื้อขายใน ดัชนีซื้อขายทองคำในตลาดเซี่ยงไฮ้ (The Shanghai Gold Benchmark PM : SHAUPM) สกุลเงินหยวน และดัชนีราคาทองคำในตลาดลอนดอน (LBMA) สกุลเงินดอลลาร์ ยังอยู่ในระดับสูง

แต่ว่า ถ้าเทียบการปรับตัวขึ้นจากช่วงก่อนหน้านี้ ก็เริ่มมีช่วงการปรับขึ้นที่แคบลงแล้ว เมื่อบวกกับข่าวคราวทั้งจากธนาคารกลางจีนหยุดซื้อทองคำเพิ่มในทุนสำรอง และความหวังที่ Fed จะลดดอกเบี้ยเร็วๆ นี้น้อยลง ก็คาดว่า ในเดือน มิ.ย. นี้ อาจจะได้เห็นการย่อตัวของราคาซื้อขาย ETF ทองคำลงมาบ้าง ขณะที่ ตลาดสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า ก็มีแนวโน้มการซื้อขายที่บางลงเช่นกัน 

เมื่อพิจารณาถึงความต้องการซื้อขายทองคำจริงแบบจับต้องได้นั้น พี่ทุยขอพาไปดูใน 2 ตลาดหลัก ๆ ที่ถือว่าเป็นผู้ซื้อหลักในตลาดนี้ ซึ่งก็คือ จีน และอินเดีย ​

ในส่วนที่เป็นการซื้อทองคำเพื่อเป็นเครื่องประดับในจีน​ พบว่า ผู้บริโภคมีความสนใจน้อยลง และหันไปซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องประดับที่มีราคาเบากว่า สังเกตได้จากยอดขายที่เบาบางลง ในช่วงเทศกาลวันแรงงานแห่งชาติ ที่หยุดยาวถึง 5 วัน ต้นเดือน พ.ค. ​ดังนั้น ความต้องการจากด้านนี้ก็ไม่น่าจะเพิ่มขึ้นจากนี้ไปจนถึงช่วงปลายไตรมาสที่ 3 แต่ด้วยความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังเพิ่มขึ้นอยู่ จะยังทำให้คนจีนที่สนใจซื้อทองคำ เนื่องจากมองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ก็ยังมีความต้องการเข้าซื้อลงทุนต่อไป 

ส่วนความต้องการซื้อขายทองคำจริงในอินเดีย ซึ่งเป็นอีกตลาดผู้ซื้อยักษ์ใหญ่นั้น พบว่า ในเดือน พ.ค. 2024 ความต้องการซื้อทองคำเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล 

ความต้องการทองเพิ่มในเดือน พ.ค. ซึ่งมีเทศกาล Akshaya Tritiya หรือวันแห่งความสำเร็จนิรันดร์ ที่ถือว่าถ้าเริ่มทำอะไรวันนี้ก็จะประสบความสำเร็จ ตรงกับวันที่ 10 พ.ค.​ 2567

พี่ทุย ขออธิบายเพิ่มเติมว่า ความต้องการทองคำในอินเดียนั้นจะค่อนข้างเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมและวัฒนธรรมอินเดียอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะพิธีแต่งงาน โดยชาวอินเดียถือว่าทองคำถือเป็นแหล่งสะสมความมั่งคั่งมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทยากจน​ ซึ่งก็พบว่า 2 ใน 3 ของความต้องการทองคำในอินเดีย จะมาจากพื้นที่นอกเมือง ที่คนส่วนใหญ่ทำงานอยู่นอกระบบภาษี 

อย่างไรก็ตาม แม้ความต้องการซื้อทองคำจริงในอินเดียจะสูงขึ้นในเดือน พ.ค.​ 2567 แต่ว่า แนวโน้มความต้องการซื้อทองคำจริงหลังจากนี้ก็ยังไม่แน่ไม่นอนอยู่ เพราะใกล้หมดช่วงฤดูกาลแต่งงานแล้ว ดังนั้นก็อาจทำให้ผู้ค้าอัญมณีในอินเดีย ไม่ได้รีบร้อนซื้อทองคำตุนไว้ในคลังเพิ่มขึ้น

แนวโน้มราคาทอง 2567 ครึ่งปีหลัง ยังน่าซื้อมั้ย ? 

มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทองคำในประเทศวิ่งทะลุ 40,000 บาทไปแล้ว ราคาทองคำในตลาดโลก ก็ยืนเหนือ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ความต้องการทองคำฝั่งธนาคารกลางก็ยังมีอยู่ แต่ความต้องการในตลาด ETF กับตลาดซื้อขายทองคำจริงอาจจะเบาๆ ลงบ้าง แล้วจะเข้าไปลงทุนทองคำดีมั้ย

พี่ทุยไปอ่านคำแนะนำจาก State Street Global Advisors ซึ่งเป็นบริษัทจัดการลงทุนขนาดใหญ่ในโลก และเป็นผู้สร้างดัชนี ETF ทองคำ อย่าง SPDR Gold Shares ที่ได้รับความนิยมลงทุนจากทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย ล่าสุด ก็ยังมองว่า จากความเสี่ยงประเด็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้น และการทวนกระแสโลกาภิวัฒน์ (Deglobalization) ที่ประเทศมหาอำนาจต่างๆ นำทีมลดความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศคู่แข่ง หลังเกิดการแพร่ระบาดที่สั่นคลอนเสถียรภาพเศรษฐกิจโลก รวมทั้งสถานการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อยังสูง ทำให้นักลงทุนมีความจำเป็นต้องกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายมากขึ้นในพอร์ตลงทุน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลงทุนระยะยาวได้ 

ด้วยเหตุนี้ ทองคำ จึงยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจที่ควรมีไว้เป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตลงทุน เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่ว่ามา เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีการเคลื่อนไหวสัมพันธ์กับหุ้นและตราสารหนี้ต่ำ อีกทั้งจากข้อมูลในอดีตก็พบว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่รักษามูลค่าได้ดี เอาชนะเงินเฟ้อได้ 

สรุปมุมมองแนวโน้มราคาทองคำสิ้นปี 2024

สรุปมุมมองแนวโน้มราคาทองคำสิ้นปี 2024

World Bank – คาดว่าราคาทองคำสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ปรับขึ้น 8.1% จากปี 2566 ด้วยแรงหนุนจากความต้องการซื้อทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่ ความต้องการของนักลงทุนรายย่อย ในการซื้อทองคำเพื่อลงทุนในบางประเทศ เนื่องจากมองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่ปี 2568 คาดว่าราคาทองคำอยู่ที่ 2,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ -2.4% จากคาดการณ์สิ้นปี 2567 

​State Street Global Advisors – คาดการณ์​ราคาทองคำในตลาดโลก เคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 2,200 – 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ซึ่งเป็นการปรับประมาณการขึ้น จากเดิม​ต้นปี คาดว่า ราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 1,900 – 2,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดย​มีโอกาส ​30% ที่ราคาทองคำจะอยู่เหนือ 2,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์​ ช่วงครึ่งหลังของปี 2567 เนื่องจากความไม่แน่นอนบนโลกที่เพิ่มขึ้น ทั้งเรื่องสงครามรัสเซีย-ยูเครน​ ความขัดแย้งระหว่างจีน-ไต้หวัน ความกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในหลายประเทศสำคัญทั่วโลก รวมถึง​การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ​ เดือน พ.ย. แต่ระหว่างทางราคาทองคำ​จะมีความผันผวน​ ตามธรรมชาติช่วงเวลาที่ราคาทองคำปรับขึ้น ก็จะมีนักลงทุนที่ออกมาขายทำกำไรเช่นกัน 

Goldman Sachs – ปรับประมาณการราคาทองคำสิ้นปี 2024 เป็น 2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากเดิมคาดการณ์อยู่ที่ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe haven) ของนักลงทุนที่มีมากขึ้น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่มีมากขึ้น 

Citi – ปรับประมาณการราคาทองคำสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 2,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยที่ระหว่างช่วงที่เหลือของปี 2024 นี้ มีโอกาสที่ราคาทองคำจะขึ้นไปทดสอบระดับ 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ รวมทั้งปรับประมาณการราคาทองคำปี 2568 ขึ้นเป็น 2,875 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำ จะมาจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนต้องการลงทุนในทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ​

ABN AMRO – คงคาดการณ์ราคาทองคำสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยมองว่า การผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก ๆ จะไม่ได้สนับสนุนราคาทองคำ เนื่องจากตลาดคาดการณ์การผ่อนคลายนโยบายการเงินมาระยะหนึ่งแล้ว ทำให้ความคาดหวังเกี่ยวกับประเด็นนี้เริ่มมีผลน้อยลง โดยธนาคารกลางยุโรปก็เริ่มลดดอกเบี้ยแล้วในเดือน มิ.ย. ส่วนธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็คงจะตามมาในภายหลัง

ส่วนเงินดอลลาร์ที่ยังแข็งค่า ก็ไม่ได้เป็นผลดีกับราคาทองคำ ในส่วนของความต้องการทองคำในตลาดก็ไม่ได้มีประเด็นเรื่องขาดแคลน ความต้องการไม่ได้เพิ่มขึ้นแข็งแกร่ง ฉะนั้นก็เหลือเพียง 3 ปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำปรับขึ้นได้ คือ นักลงทุนต้องการซื้อทองคำไว้เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ธนาคารกลางที่ยังมีความต้องการซื้อทองคำแข็งแกร่ง และสัญญาณทางเทคนิคที่ยังมีแนวโน้มเป็นบวกอยู่จากการที่นักลงทุนยังมีแนวโน้มเข้าซื้อทองคำอยู่ 

ING – คาดการณ์ราคาทองคำเฉลี่ยไตรมาสสุดท้ายปี 2567 อยู่ที่ 2,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ ราคาทองคำเฉลี่ยทั้งปี 2567 จะอยู่ที่ 2,084 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยประเมินความเสี่ยงที่จะทำให้ราคาทองคำปรับลดลง มาจากการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ที่คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงนาน และเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า 

มาถึงตรงนี้ พี่ทุยมองว่า ถ้าใครต้องการซื้อทองคำเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น อาจจะมีความน่าหวาดเสียวมากพอสมควร เพราะแนวโน้มราคาทองคำในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 นั้น หลายค่ายก็มองว่า ราคาอาจจะมีการย่อตัวลงมาบ้าง แม้จะมีแรงหนุนจากความต้องการซื้อทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอยู่

แต่สำหรับใครที่ต้องการลงทุนทองคำเพื่อระยะยาวหน่อย พี่ทุยมองว่า ค่อย ๆ เข้าซื้อในช่วงที่เห็นราคาทองคำปรับลดลงมาบ้างก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเททีเดียวหมดหน้าตัด ซึ่งโดยรวมแล้ว ถ้าถือทองคำยาวพอ ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดี แต่เหนือกว่าผลตอบแทนที่ดีคือ ช่วยให้พอร์ตลงทุนมีเสถียรภาพมากขึ้นได้ ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนส่งผลกระทบทำให้สินทรัพย์อย่างหุ้นและตราสารหนี้มีความผันผวนสูง

สัดส่วนของทองคำที่ควรมีในพอร์ต ควรจะอยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งโดยปกติผู้เชี่ยวชาญมักจะแนะนำให้มีสินค้าโภคภัณฑ์ (ทองคำเป็นหนึ่งในกลุ่มนี้) ไว้แค่ 5-10% ของพอร์ตลงทุน โดยถ้าเรามีความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงได้น้อย ก็อาจจะพิจารณามีทองคำในพอร์ตน้อยกว่าสัดส่วนนี้ก็ได้ 

เพราะถึงแม้ทองคำปรับตัวได้ดีช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี สถานการณ์ไม่คาดคิดเกิด แต่ว่าโดยธรรมชาติทองคำก็เป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนของราคาและความต้องการได้สูง แถมยังมีเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนมาเกี่ยวข้องด้วย

ถ้าจะให้ดี พี่ทุยมองว่า เลือกใช้กลยุทธ์ “ออมทอง” ค่อย ๆ ทยอยลงทุนทองคำวันละนิดก็ไม่เสียหาย เพราะเดี๋ยวนี้ร้านขายทองต่าง ๆ ก็ออกมาทำแอปพลิเคชันที่อำนวยความสะดวกให้นักลงทุนที่มีเงินไม่มากไม่มาย ค่อย ๆ ทยอยเข้าไปซื้อทองคำด้วยเงินเริ่มต้นหลัก 1,000 บาทได้ เข้าตำรา “มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท”

ตอนซื้ออาจจะมีเงินแค่พอสำหรับซื้อทองไม่ถึงสลึง แต่พอใส่เงินเข้าไปเรื่อย ๆ ทองก็ครบบาทได้ โดยที่นักลงทุนอย่างเรา ก็จะได้ต้นทุนเฉลี่ย ๆ จากราคาแต่ละช่วงที่ปรับเปลี่ยนไป ถ้าเห็นว่าช่วงไหนทองคำราคาปรับลดลงมา ก็เข้าไปเก็บเพิ่มเติม หรือถ้าดูทรงแล้ว ช่วงไหนราคาขึ้นแรง จะขายออกมา ก็ทำได้ง่ายพอ ๆ กับซื้อขายหุ้นเลย

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile