ข้าวไทย จะกลับมาเป็น No. 1 มั้ย หลังข้าวอินเดียถูกสกัดห้ามส่งออก

ข้าวไทย จะกลับมาเป็น No. 1 มั้ย หลังข้าวอินเดียถูกสกัดห้ามส่งออก

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • กระทรวงการคลังอินเดียประกาศเก็บภาษีส่งออกข้าวเปลือกและข้าวกล้องที่ 20% เพื่อให้ผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการในประเทศ ข้อมูลปี 2020/21 อินเดียเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก ตามด้วยเวียดนามและไทย
  • คาดว่าเซเนกัลและจีนจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากการงดส่งออกปลายข้าวมากที่สุด ประเทศที่รับผลดีจึงเป็นประเทศไทย เวียดนาม และปากีสถาน โดยคาดว่าไทยจะได้รับประโยชน์มากที่สุด เนื่องจากมีผลผลิตข้าวเหลือจากการบริโภคภายในมากกว่าเวียดนามและปากีสถาน
  • ทาง Mizuho กลับมองว่าราคาที่เพิ่มขึ้นอาจไม่ได้ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมข้าวไทยมากนัก เพราะต้นทุนการผลิตข้าวก็เพิ่มขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน เช่น ค่าปุ๋ยเคมี ต้นทุนการขนส่ง ส่วนผู้บริโภคก็จะรับผลเสียผ่านค่าครองชีพที่สูงขึ้น

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

หลังจาก “ข้าวไทย” เสียแชมป์ส่งออกโลกมาหลายปีดีดัก ล่าสุดก็เหมือนจะมีแสงแห่งความหวังขึ้นมาที่ปลายอุโมงค์ เพราะปีนี้อินเดียแชมป์ปัจจุบันเจอหลายมรสุม ทำให้การส่งออก “ข้าวอินเดีย” ถูกสกัด และกักตุนไว้บริโภคในประเทศ

เมื่อต้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังอินเดียประกาศเก็บภาษีส่งออกข้าวเปลือกและข้าวกล้องที่ 20% เพื่อให้ผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการในประเทศ เช่นเดียวกับข้าวกึ่งขัดสีและข้าวขาวก็โดนเก็บภาษีส่งออกด้วย และระงับการส่งออกปลายข้าวและข้าวหัก ก่อนหน้านี้อินเดียประกาศระงับการส่งออกข้าวสาลีและน้ำตาลด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงด้านอาหารเช่นกัน

การดำเนินมาตรการเป็นผลจากคาดการณ์ว่าผลผลิตข้าวในฤดูกาลที่จะเก็บเกี่ยวในเดือน ต.ค. นี้ จะลดลง 5.6% เพราะปริมาณน้ำฝนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเกิน 25% ในหลายรัฐสำคัญที่เพาะปลูกข้าว เช่น รัฐอุตตรประเทศ, ฌารขัณฑ์ และพิหาร

สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่ามาตรการนี้จะสร้างแรงกดดันต่อความมั่งคงด้านอาหารและราคาอาหาร โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย พี่ทุยจึงขอพาไปดูสถานการณ์และผลกระทบของมาตรการนี้กันผ่านบทความนี้

ข้อมูลพื้นฐานตลาดข้าวโลก “ข้าวไทย” อยู่ตรไหน?

จากข้อมูลปี 2020/21 ประเทศจีนผลิตข้าวเป็นอันดับ 1 มีสัดส่วน 29.3% ตามด้วยอินเดีย อินโดนิเซีย บังคลาเทศ เวียดนาม และไทย ซึ่งมีสัดส่วนผลผลิต 24.1%, 7.0%, 6.8%, 5.4% และ 3.7% ตามลำดับ

ส่วนการส่งออกอินเดียขึ้นมาเป็นอันดับที่ 1 ด้วยสัดส่วนส่งออก 38.9% ตามด้วยเวียดนาม ไทย ปากีสถาน สหรัฐฯ และจีน ที่ 12.9%, 11.9%, 8.6%, 6.1% และ 4.6% ตามลำดับ ด้านผู้นำเข้าส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคแอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชีย เช่น จีน ฟิลิปปินส์ ไนจีเรีย ภูมิภาคยุโรป และซาอุดิอาระเบีย ซึ่งมีสัดส่วนนำเข้า 9.2%, 4.6%, 4.1%, 3.9% และ 3.3% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตามข้อมูลปี 2020/21 ชี้ว่าปริมาณการค้าข้าวทั่วโลกอยู่ที่ 48.8 ล้านตัน ขณะที่กำลังการผลิตอยู่ที่ 505.8 ล้านตัน ดังนั้น การค้าข้าวในตลาดโลกมีสัดส่วนเพียง 9.7% ของผลผลิตข้าวทั่วโลก

สถานการณ์ผลผลิตของอินเดีย

จากปัญหาปริมาณน้ำฝนที่แม้ในความจริงแล้วโดยเฉลี่ยทั่วประเทศจะได้รับน้ำฝนมากกว่าปกติ 5% ก็ตาม คาดว่าความต้องการบริโภคภายในจะสูงกว่าปริมาณผลผลิต หากอินเดียยังคงส่งออกระดับเดียวกับฤดูกาลผลิตปี 2021/22 ที่ 20.8 ล้านตัน ความต้องการบริโภคจะสูงกว่าผลผลิตข้าวที่เหลือหลังหักปริมาณการส่งออก 3.1 ล้านตัน จากปีก่อนซึ่งความต้องการบริโภคจะต่ำกว่าผลผลิตข้าวที่เหลือหลังหักปริมาณการส่งออก 4.0 ล้านตัน

ผลกระทบข้าวอินเดียต่อตลาดข้าวโลก

มาตรการนี้จะส่งผลกระทบต่อตลาดข้าวโลกใน 2 ลักษณะ ดังนี้ การระงับการส่งออกส่งผลให้ปริมาณข้าวในตลาดโลกลดลง ประเทศผู้นำเข้าต้องหาแหล่งนำเข้าใหม่ซึ่งจะผลักดันราคาข้าวในตลาดโลกให้ปรับตัวขึ้น ส่วนที่ขึ้นภาษีส่งออก 20% จะเป็นผลให้ราคาข้าวส่งออกจากอินเดียเพิ่มขึ้นทันที 20% ซึ่งก็จะทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกปรับตัวขึ้นเช่นกัน

ส่วนผลกระทบต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับแนวโน้มมาตรการดังกล่าวว่าจะเปลี่ยนไปในทิศทางใด SCB EIC คาดว่าหากอินเดียยังดำเนินมาตรการนี้ไปจนถึงเดือน ต.ค. 2023 ปริมาณข้าวที่รับผลกระทบอยู่ที่ 9.6 ล้านตัน คิดเป็น 18.3% ของปริมาณการค้าข้าวโลก คาดว่าราคาข้าวโลกในปี 2023 จะเพิ่มขึ้น 15.8% จากปี 2022

แต่หากในเดือน ธ.ค. 2022 อินเดียระงับการส่งออกข้าวให้ครอบคลุมข้าวขาว ข้าวนึ่ง ข้าวเปลือก และข้าวกล้อง และดำเนินมาตรการไปจนถึงเดือน ต.ค. 2023 จะกระทบข้าวปริมาณ 17.4 ล้านตัน คิดเป็น 33.5% ของปริมาณการค้าข้าวโลก ราคาข้าวโลกในปี 2023 จะเพิ่มขึ้น 66.3% จากปี 2022

ผลกระทบต่อนโยบายการเงินอินเดีย

Mizuho สถาบันการเงินระดับโลก กล่าวว่า คงต้องรอดูผลของมาตรการนี้ต่อราคาข้าวในอินเดีย ซึ่งก่อนหน้านี้อินเดียระงับการส่งออกข้าวสาลีไปเมื่อกลางเดือน พ.ค. 2022 แต่ผลดีกลับปรากฎไม่ชัดมาก ราคาข้าวสาลีในประเทศ เดือน ส.ค. 2022 เพิ่มขึ้น 15.5% จากเดือน ส.ค. 2021 ขณะที่เดือน ก.ค. 2022 ราคาก็เพิ่มขึ้น 12.6% จากเดือน ก.ค. 2021 ทำให้ราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 13.4% นับตั้งแต่ระงับการส่งออกข้าวสาลี

ด้วยเหตุนี้ธนาคารกลางอินเดียจึงไม่อาจนิ่งนอนใจในมาตรการนี้ต่อการควบคุมราคาข้าวในประเทศได้ ซึ่งจะมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อด้วย แล้วจากการประชุมธนาคารอินเดีย ณ วันที่ 30 ก.ย. 2565 ก็ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.50% ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันเป็น 5.90% เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป

ประเทศที่ได้รับผลดี – เสีย ข้าวไทย ได้ประโยชน์มั้ย

คาดว่าเซเนกัลและจีนจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากการงดส่งออกปลายข้าวมากที่สุด โดยเซเนกัลและจีนนำเข้าปลายข้าวจากอินเดียประมาณ 85% และ 44% ของการนำเข้าปลายข้าวทั้งหมด หากอินเดียระงับการส่งออกข้าวขาว ข้าวนึ่ง ข้าวเปลือก และข้าวกล้อง จะส่งผลต่อบังกลาเทศ เบนิน และเนปาล ส่วนประเทศในตะวันออกกลาง เช่น อิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย และอิรัก ก็ต้องมองหาผู้ส่งออกข้าวที่ราคาต่ำกว่าอินเดีย

ดังนั้นประเทศที่รับผลดีจึงเป็นไทย เวียดนาม และปากีสถาน โดยคาดว่าไทยจะได้รับประโยชน์มากที่สุด เนื่องจากมีผลผลิตข้าวเหลือจากการบริโภคภายในมากกว่าเวียดนามและปากีสถาน และจากข้อมูลช่วงปี 2007-2011 ชี้ชัดว่าช่วงที่อินเดียมีมาตรการระงับการส่งออกข้าว ส่วนแบ่งตลาดข้าวโลกของไทย เวียดนาม และปากีสถาน จะเพิ่มขึ้นและอยู่ในระดับสูงต่อไป ก่อนจะลดลงอีกครั้งเมื่ออินเดียยกเลิกมาตรการ

เงินเฟ้อทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น?

แน่นอนว่าย่อมมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อแต่คงไม่เด่นชัด เพราะข้าวไม่ใช่อาหารที่ได้รับความนิยมทุกประเทศแต่จะเห็นชัดกับประเทศที่บริโภคข้าวเป็นหลัก ซึ่ง Mizuho คาดว่าฟิลิปปินส์ จีน และมาเลเซีย โดยแม้จีนจะนำเข้าในปริมาณที่สูงกว่ามาเลเซียแต่สามารถจัดการปัญหาภายในได้ดี จึงคาดว่าฟิลิปปินส์และมาเลเซียจะได้รับผลกระทบมากที่สุด นำไปสู่การใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวที่กดดันเศรษฐกิจต่อไป

อย่างไรก็ตามมีการคาดว่าอินเดียจะระงับการส่งออกข้าวมาระยะหนึ่งแล้ว ผู้นำเข้าจึงตัดสินใจเซ็นสัญญาซื้อข้าวล่วงหน้า โดยระหว่างเดือน มิ.ย. ถึง ก.ย. เซ็นสัญญาไปแล้ว 1 ล้านตัน ดังนั้นผลกระทบจากการระงับส่งออกข้าวต่อเงินเฟ้อทั่วโลกในปี 2022 จึงน่าจะจำกัดมาก

นอกจากนั้นมีการวิจารณ์ว่ามาตรการนี้ไม่น่าจะช่วยแก้ปัญหาความมั่นคงด้านอาหารในอินเดีย และรัฐบาลควรเน้นพัฒนาประสิทธิภาพการเพาะปลูกข้าวเพื่อแก้ปัญหาระยะยาว ข้อมูลจาก Our World in Data ชี้ว่าอินเดียมีผลผลิตข้าว 3.96 ตันต่อเฮคตาร์ (10,000 ตารางเมตร) ต่ำกว่าเพื่อนบ้านอย่างบังกลาเทศซึ่งมีผลิตได้ 4.81 ตันต่อเฮคตาร์ ด้านเวียดนามอยู่ที่ 5.92 ตันต่อเฮคตาร์ ส่วนไทยทำได้ที่ 2.91 ตันต่อเฮคตาร์

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม “ข้าวไทย”

ราคาข้าวไทยที่ปรับเพิ่มขึ้นจะส่งผลดีต่อรายได้เกษตรกร โรงสี และผู้ส่งออกข้าว มากกว่านั้นผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมข้าวไทยควรใช้โอกาสนี้เร่งปรับขีดความสามารถผลผลิตต่อพื้นที่ของไทยซึ่งต่ำกว่าคู่แข่ง ลดต้นทุนและผลกระต่อสิ่งแวดล้อมจากการปลูกข้าว แต่ทาง Mizuho กลับมองว่าราคาที่เพิ่มขึ้นอาจไม่ได้ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมข้าวไทยมากนัก เพราะต้นทุนการผลิตข้าวก็เพิ่มขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน เช่น ค่าปุ๋ยเคมี ต้นทุนการขนส่ง

ส่วนผู้บริโภคก็จะรับผลเสียผ่านค่าครองชีพที่สูงขึ้น มีการประมาณการว่าหากอินเดียใช้มาตรการนี้ต่อไปถึงเดือน ต.ค. 2023 ราคาข้าวสารไทยในปี 2023 จะเพิ่มขึ้น 8.7% แต่หากระงับการส่งออกเพิ่มเติมจะส่งให้ราคาข้าวสารไทยปี 2023 เพิ่มขึ้น 36.4%

ทว่าแต่ทางสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ก็มองว่าการที่อินเดียระงับการส่งออกข้าวหัก และปรับภาษีภาษีส่งออกข้าวเปลือก ข้าวกล้อง ข้าวกึ่งขัดสี หรือข้าวขาว เป็น 20% จะเป็นผลดีต่อการส่งออกข้าวไทย ถ้าอินเดียใช้มาตรการนี้ต่อเนื่องถึงสิ้นปี อาจทำให้ไทยส่งออกข้าวได้มากถึง 8 ล้านตัน นับเป็นมูลค่าประมาณ 150,000 ล้านบาท

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile