วิกฤตเด็กเกิดน้อย ทำไมคนไทยไม่อยากมีลูก

วิกฤตเด็กเกิดน้อย ทำไมคนไทยไม่อยากมีลูก

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • TDRI เผยว่า แนวโน้มคนไทยไม่อยากมีลูก กำลังเป็นปัญหาที่กระทบกับประเทศไทย โดยปัจจัยสำคัญที่นำมาสู่แนวโน้มนี้ เกิดจากต้นทุนการเลี้ยงลูกแพง คนไม่พร้อมเครียดเลี้ยงลูกในภาวะเศรษฐกิจโตช้า ไม่มีคนช่วยเลี้ยง อยากใช้ชีวิตอิสระ และรู้สึกว่าสังคมไม่น่าอยู่ 
  • อัตราการเกิดต่อประชากร 1,000 คน ของไทย ในปี 2022 อยู่ที่ 7.6 ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องทุกปี ขณะที่ เมื่อนำข้อมูลคาดการณ์อัตราการเกิดต่อประชากร 1,000 คน ของไทยเทียบกับโลก ในปี 2024 ก็ถือว่า อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ​
  • ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากอัตราการเกิดที่น้อยลง ได้แก่ ธุรกิจเกี่ยวกับเด็ก เช่น สินค้าเด็ก โรงเรียน สถานพยาบาล บริการดูแลเด็ก และธุรกิจเกี่ยวกับครอบครัว เช่น อสังหาริมทรัพย์ ของใช้ในครัวเรือน ท่องเที่ยว และอาหาร เป็นต้น

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)​ กล่าวถึงประเด็น ระเบิดเวลาประชากร : เกิดน้อย แก่มาก ความท้าทายอนาคตไทย ที่จำนวนคนสูงอายุที่มีอายุยืนยาวขึ้น แต่เด็กกลับเกิดน้อยลง เพราะมุมมองคนที่เปลี่ยนไป ไม่อยากมีลูก ซึ่งเป็นกำลังปัญหาในไทย วันนี้พี่ทุยจะมาชวนคุยเรื่อง วิกฤตเด็กเกิดน้อย เป็นแค่ในไทย หรือเป็นปัญหาระดับโลก และปัญหานี้จะกระทบกับธุรกิจภาคส่วนไหนบ้าง

วิกฤตเด็กเกิดน้อย คนไทยไม่อยากมีลูกเพราะอะไร

อันดับแรก พี่ทุยขอสรุปประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเกิดที่น้อยลง ที่ TDRI นำเสนอออกมาก่อน

ประเด็นสำคัญที่คนไทยไม่อยากมีลูก จาก TDRI

  • ต้นทุนการเลี้ยงลูกให้โตมาอย่างมีคุณภาพ “แพง” ขึ้นเรื่อย ๆ  เพราะถ้าอยากให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี ต้องจ่ายแพง
  • คนทำงานไม่พร้อมรับแรงกดดันและความเครียดจากการเลี้ยงลูก ในช่วงเศรษฐกิจโตช้า
  • ครอบครัวมีขนาดเล็กลง ไม่มีคนที่จะมาช่วยเลี้ยงลูก
  • อยากใช้ชีวิตเป็นอิสระ อยากเที่ยว อยากลองอะไรใหม่ๆ  แต่ถ้ามีลูกแล้วจะทำให้มีอิสระน้อยลง 
  • รู้สึกว่าสังคมไทยในปัจจุบันไม่น่าอยู่อีกต่อไป 

แนวทางที่ TDRI มองว่า จะทำให้คนตัดสินใจมีลูกมากขึ้น

  • พัฒนาระบบการศึกษา ให้โรงเรียนทุกแห่งมีคุณภาพดี โดยไม่ต้องจ่ายแพง 
  • ให้พ่อแม่นำลูกมาทำงานได้ 
  • มีศูนย์เด็กเล็ก เมื่อเลิกงานแล้วรับกลับบ้านได้ หรือมีสถานรับเลี้ยงเด็กคุณภาพสูงใกล้บ้านหรือที่ทำงาน 
  • ส่งเสริมทักษะการเลี้ยงเด็กให้พ่อแม่ หรือคนในครอบครัวที่ช่วยเลี้ยงที่วัยต่างกับเด็กค่อนข้างมาก เพื่อให้เด็กได้รับการเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการอย่างเหมาะสม

ดูจากข้อมูลที่ TDRI วิเคราะห์ออกมา พี่ทุยก็ค่อนข้างเห็นด้วย เพราะในสังคมปัจจุบัน ที่เราได้ยินเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้คนไทยไม่อยากมีลูก ก็เป็นเรื่องที่ TDRI สรุปมาทั้งสิ้น 

คราวนี้ลองมาดูสถิติอัตราการเกิดของเด็กไทยกันดีกว่า ตอนนี้เด็กไทยเกิดน้อยลงแค่ไหน

วิกฤตเด็กเกิดน้อย คนไทยไม่อยากมีลูกเพราะอะไร

จะเห็นได้ว่า จำนวนประชากรที่เกิด รวมถึงอัตราการเกิดต่อประชากร 1,000 คนในไทยนั้น ลดลงต่อเนื่องทุกปี ซึ่งแนวโน้มก็น่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไป 

สรุปข้อมูลผลสำรวจเกี่ยวกับการมีลูกของคนไทย โดยนิด้าโพล (สำรวจวันที่ 26-28 ก.ย. 2023) 

ความต้องการอยากมีลูก

  • 53.89% อยากมี
  • 44% ไม่อยากมี
  • 2.11% ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สาเหตุที่ไม่อยากมีลูก 

  • 38.32% ไม่อยากเพิ่มค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก  
  • 38.32% เป็นห่วงว่าลูกจะอยู่อย่างไรในสภาพสังคมปัจจุบัน 
  • 37.72% ไม่อยากมีภาระต้องดูแลลูก
  • 33.23% ต้องการชีวิตอิสระ
  • 17.66% กลัวเลี้ยงลูกได้ไม่ดี
  • 13.77% อยากให้ความสำคัญกับงานมากกว่า
  • 5.39% สุขภาพตนเองหรือคู่ครองไม่ค่อยดี
  • 2.10% กลัวพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์จะไม่ดี ทำให้ลูกที่เกิดมาไม่ดีไปด้วย 
  • 0.90% กลัวกรรมตามสนอง เนื่องจากเคยทำไม่ดีไว้กับพ่อแม่ 

มาตรการที่รัฐควรสนับสนุนเพื่อให้คนไทยมีลูก

  • 65.19% สนับสนุนการศึกษาฟรีในประเทศจนถึงขั้นสูงสุดสำหรับคนมีลูก 
  • 63.66% รัฐอุดหนุนค่าเลี้ยงดูลูกจนถึงอายุ 15 ปี 
  • 30.00% ลดภาษีเงินได้สำหรับคนมีลูก
  • 29.47% เพิ่มวันลาให้แม่และพ่อในการเลี้ยงดูลูก
  • 21.91% มีเงินรางวัลจูงใจที่สูงสำหรับเด็กแรกเกิด
  • 19.92% อุดหนุนทางการเงินแม่ พ่อเลี้ยงเดี่ยว 
  • 17.18% พัฒนาและอุดหนุนการเงิน ศูนย์เลี้ยงเด็กเล็ก
  • 9.85% มีบริการฟรี ศูนย์ผู้มีบุตรยาก
  • 7.48% เพิ่มภาษีเงินได้สำหรับคนไม่มีลูก
  • 5.50% รัฐเปิดช่องทางในการอุ้มบุญมากขึ้น 
  • 4.89% รัฐมีหน่วยงานจัดหาคู่ให้กับคนไทย 
  • 2.75% รัฐไม่จำเป็นต้องมีมาตรการใดๆ 
  • 0.76% ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

คราวนี้ ลองมาเทียบสถิติกันดีกว่า จากการคาดการณ์อัตราการเกิดต่อประชากร 1,000 คน ของแต่ละประเทศในโลกเป็นยังไง โดยอัตรานี้เผยแพร่โดย The World Factbook ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับโลก ที่จัดทำโดยรัฐบาลสหรัฐฯ 

คาดการณ์ อัตราการเกิดต่อประชากร 1,000 คน ปี 2024 ของทั่วโลก   

  • ออสเตรเลีย 12.2
  • จีน 10.2
  • สหภาพยุโรป 8.9
  • อินเดีย 16.2
  • อินโดนีเซีย 14.8
  • ญี่ปุ่น 6.9
  • เกาหลีใต้ 7.0
  • มาเลเซีย 14.2
  • รัสเซีย 8.4
  • สิงคโปร์ 8.8
  • ไทย 9.9
  • อังกฤษ 10.8
  • สหรัฐฯ​ 12.2
  • เวียดนาม 14.9
  • โลก 17

ถ้าดูจากข้อมูลการคาดการณ์นี้ ก็จะเห็นว่า คาดการณ์ของประเทศไทยเอาไว้สูงกว่าตัวเลขจริงที่ออกมาในอดีตไม่น้อย อย่างไรก็ตาม หากนำไปเทียบกับอัตราเฉลี่ยของทั้งโลก ก็จะพบว่า อัตราการเกิดของไทย อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก และทุกประเทศที่เราหยิบมานำเสนอ ก็ล้วนมีอัตราการเกิดต่ำกว่าเฉลี่ยโลกเช่นกัน ส่วนประเทศที่อัตราการเกิดสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกนั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะฝั่งแอฟริกา เป็นต้น 

ทั้งนี้ วารสารทางการแพทย์ The Lancet เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการเกิดที่ลดลงว่า จะทำให้เกิดการเปลี่ยนในด้านประชากรโลกภายในปี 2100 ดังนี้ 

  • ภายในปี 2050 มากกว่า 3 ใน 4 (155 จาก 204 ประเทศ) จะไม่มีอัตราการเจริญพันธุ์สูงมากพอจะรักษาขนาดประชากรไว้ได้ และจะเพิ่มเป็น 97% ของประเทศทั้งหมด (198 ใน 204 ประเทศ) ในปี 2100
  • รูปแบบการเกิดจะเปลี่ยนแปลงไป โดยในประเทศที่รายได้ต่ำ อัตราการเกิดและรอดชีวิตจะเพิ่มเท่าตัวจาก 18% ในปี 2021 เป็น 35% ในปี 2100 โดยที่แอฟริกา ซับซาฮารา จะเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีเด็กเกิด 1 ใน 2 คน ของเด็กที่เกิดบนโลกใบนี้ภายในปี 2100 
  • ประเทศที่รายได้ต่ำ มีอัตราการเจริญพันธุ์สูง ขณะที่การเข้าถึงการศึกษาของผู้หญิงจะทำให้อัตราการเกิดลดลง ส่วนประเทศที่รายได้สูง อัตราการเจริญพันธุ์ต่ำ จะมีนโยบายที่สนับสนุนผู้ปกครอง และเปิดกว้างสำหรับการเข้าเมืองมากขึ้น เพื่อรักษาขนาดประชากรและการเติบโตของเศรษฐกิจ 

วิกฤตเด็กเกิดน้อย มีปัญหาอะไรตามมา?

พี่ทุยลองรวบรวมผลกระทบมาให้ว่า ถ้าคนเกิดน้อยลงแบบนี้ จะทำให้เกิดปัญหาอะไรตามมาบ้างกับสังคมไทย โดยสรุปได้ดังนี้ 

ผลกระทบที่ตามมาจากการเปิดน้อยลง 

  • โครงสร้างประชากรเปลี่ยน คนอายุมาก มีมากกว่าคนอายุน้อย
  • ขาดแคลนแรงงาน กระทบภาคการผลิตและเศรษฐกิจโดยรวม เพราะคนหนุ่มสาวลดลง 
  • ภาระต่อระบบสวัสดิการและบริการสุขภาพสูงขึ้น เพราะมีคนสูงอายุมากขึ้น ทำให้คนอาจต้องมีภาระภาษีเพิ่มขึ้นเพื่อมารองรับ
  • ครอบครัวมีขนาดเล็กลง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเปลี่ยนแปลง 
  • ชุมชนมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม เพราะไร้คนสืบสานต่อ

พี่ทุยจะชวนมาเจาะลึกกันบ้างว่า อัตราการเกิดที่ลดลง อาจจะมีผลกระทบกับธุรกิจอะไรบ้าง 

รวมธุรกิจที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการเกิดน้อยลง 

1. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเด็กโดยตรง  

  • สินค้าสำหรับเด็ก 
  • โรงเรียนและสถานศึกษา
  • สถานพยาบาลและคลินิกเด็ก
  • ธุรกิจบริการดูแลเด็ก

2. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว 

  • อสังหาริมทรัพย์ 
  • สินค้าเครื่องใช้ในครัวเรือน 
  • ธุรกิจท่องเที่ยว
  • ธุรกิจอาหาร 

ตัวอย่างการปรับตัวของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเด็กโดยตรง 

สินค้าสำหรับเด็ก

  • ผ้าอ้อมเด็ก – เน้นผลิตผ้าอ้อมเด็กคุณภาพสูง ปลอดภัย ตอบโจทย์ความต้องการ เช่น ผ้าอ้อมเด็กแบบบาง ผ้าอ้อมเด็กแบบเปียก ผ้าอ้อมเด็กสำหรับเด็กผิวแพ้ง่าย ขณะที่บางรายหยุดผลิตผ้าอ้อมเด็ก แล้วหันไปผลิตผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่แทน 
  • ผู้ผลิตเสื้อผ้าเด็ก – หันไปเน้นเพิ่มคุณภาพสินค้า เจาะตลาดแนวโน้มพ่อแม่ที่มีจำนวนบุตรลดลง ทำให้มีกำลังซื้อต่อเด็กหนึ่งคนมากขึ้น จึงเน้นสินค้าคุณภาพดีขึ้น ราคาสูงขึ้นได้ รวมถึงมุ่งเน้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์  ​
  • นมผงเด็ก -​ เน้นผลิตนมผงเด็กที่มีสูตรเฉพาะ ตอบโจทย์ความต้องการเด็กในวัยต่างๆ เช่น นมผงเด็กสำหรับทารกแรกเกิด นมผงเด็กสำหรับเด็กวัย 1-3 ขวบ นมผงเด็กสำหรับเด็กวัย 3 ขวบขึ้นไป เป็นต้น
  • ของเล่นเด็ก – เน้นผลิตของเล่นเด็กที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย และส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก เช่น ของเล่นไม้ ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเล่นบทบาทสมมติ

โรงเรียนและสถานศึกษา

  • เพิ่มมาตรฐานการศึกษาให้สูงขึ้นเพื่อดึงดูดนักเรียน รวมถึง เน้นสอนทักษะชีวิต การคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหา เพื่อให้นักเรียนนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงได้ 
  • นำเสนอโปรแกรมการเรียนการสอนที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความสนใจและความต้องการของนักเรียนมากขึ้น เช่น เปิดหลักสูตรพิเศษ หลักสูตรเสริมทักษะ และหลักสูตรนานาชาติ 
  • นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการเรียนรู้ และใช้สื่อการสอนที่ทันสมัย 
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ปกครอง สื่อสารข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการจัดการศึกษาอย่างสม่ำเสมอ และจัดกิจกรรมที่ผู้ปกครองมีส่วนร่วมได้
  • เน้นการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคุมค่าใช้จ่าย หาแหล่งเงินทุนสนับสนุนเพิ่มเติม 

สถานพยาบาล และคลินิกเด็ก

  • หันไปเน้นบริการผู้สูงอายุแทน เพราะประชากรสูงอายุมากขึ้น 
  • เน้นบริการสุขภาพเชิงป้องกัน 
  • นำเสนอบริการคุณภาพสูง 
  • พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ รวมถึงระบบ Telemedicine เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการการแพทย์ได้สะดวกขึ้น 
  • บริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นควบคุมค่าใช้จ่าย และหาแหล่งเงินทุนสนับสนุนเพิ่มเติม 

ธุรกิจบริการดูแลเด็ก 

  • เน้นบริการคุณภาพสูง ให้ความสำคัญกับความสะอาด ปลอดภัย ความสะดวกสบาย รวมทั้งมีกิจกรรมเสริมพัฒนาการที่หลากหลาย 
  • เปิดตลาดรับเลี้ยงเด็กวัยต่างๆ มากขึ้น โดยให้บริการในช่วงเวลาที่หลากหลาย พร้อมนำเสนอบริการรับส่งเด็ก บริการอาหาร บริการซักรีด ครบวงจร 
  • พัฒนาระบบติดตามเด็ก ระบบสื่อสารกับผู้ปกครอง นำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ 
  • เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ปกครอง อัปเดตข่าวสารพัฒนาการของเด็กสม่ำเสมอ และจัดกิจกรรมที่ผู้ปกครอง มีส่วนร่วม
  • บริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคุมค่าใช้จ่าย และหาแหล่งเงินทุนสนับสนุนเพิ่มเติม 

ตัวอย่างการปรับตัวของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 

  • พัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้น 
  • พัฒนาโครงการที่มีขนาดเล็กลง ราคาไม่แพง สอดคล้องกับครอบครัวที่มีขนาดเล็กลง 
  • พัฒนาโครงการที่เหมาะกับคนโสดมากขึ้น เช่น คอนโดมิเนียมแบบสตูดิโอ 
  • พัฒนาบริการเสริมภายในโครงการ เช่น บริการทำความสะอาด บริการรับส่ง บริการซ่อมบำรุงรักษา 
  • นำเทคโนโลยี Smart Home มาใช้ เพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้า 

สินค้าเครื่องใช้ในครัวเรือน 

  • พัฒนาสินค้าขนาดเล็ก ใช้งานง่าย ตอบโจทย์คนโสด และครอบครัวขนาดเล็ก
  • เน้นสินค้าที่อำนวยความสะดวก และปลอดภัย ตอบโจทย์ผู้สูงอายุที่มีมากขึ้น 
  • เน้นสินค้าที่มีนวัตกรรม ดึงดูดลูกค้า และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง 
  • นำเสนอบริการหลังการขายที่ดี สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า เช่น มีบริการรับประกันสินค้า บริการซ่อมแซม เพื่อสร้างความภักดีของลูกค้า
  • มุ่งเน้นการขายผ่านแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ ช่วยให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้สะดวก รวดเร็ว 

ธุรกิจท่องเที่ยว

  • เน้นเจาะตลาดนักท่องเที่ยวสูงอายุ ที่มีกำลังซื้อสูง มีเวลาท่องเที่ยวนาน
  • พัฒนาแพ็กเกจท่องเที่ยวที่เหมาะกับครอบครัวขนาดเล็ก 
  • เจาะตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ รองรับนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น 
  • เน้นพัฒนาสินค้าและบริการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ เช่น ที่พักมีมาตรฐาน อาหารอร่อย กิจกรรมท่องเที่ยวหลากหลาย 
  • นำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น ระบบจองที่พักออนไลน์ การชำระเงินออนไลน์ 
  • พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่เสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ 

ธุรกิจอาหาร 

  • มุ่งเน้นพัฒนาร้านอาหารที่มีบรรยากาศเหมาะกับผู้สูงอายุมากขึ้น มีเมนูอาหารที่เหมาะกับสุขภาพ 
  • เน้นพัฒนาร้านอาหารขนาดเล็ก ที่มีราคาไม่แพง 
  • มีบริการเดลิเวอรี่ และอาหารจานด่วน ตอบโจทย์คนโสดที่มากขึ้น 
  • พัฒนาเมนูอาหารที่หลากหลาย พร้อมเพิ่มบริการเสริมต่างๆ เช่น จัดเลี้ยง และส่งอาหารถึงบ้าน 

ถ้าดูแบบรวม ๆ แล้วการปรับตัวของธุรกิจเพื่อรับมือกับแนวโน้มอัตราการเกิดที่ลดลงนั้น หลัก ๆ แล้ว ก็มี 2 รูปแบบ โดยในกรณีที่มุ่งเจาะตลาดเด็กต่อไป ก็ต้องให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพที่มากขึ้น เจาะตลาดระดับบนมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์กลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีกำลังซื้อ มีจำนวนบุตรลดลง ทำให้สามารถเน้นคัดเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับบุตรได้มากขึ้น เพราะหากยังเน้นปริมาณต่อไป ก็อาจจะไม่ตอบโจทย์ เนื่องจากจำนวนเด็กเกิดใหม่ ไม่ได้เพิ่มสูงมาก

ส่วนในกรณีที่จะหันไปเจาะตลาดอื่นที่มีโอกาสมากกว่า ก็ต้องเน้นพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าศักยภาพเหล่านั้นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ผู้สูงอายุ หรือคนโสด 

อย่างไรก็ตาม พี่ทุยมองว่า ถึงจุดนี้ อาจจะเป็นความยากลำบากสำหรับพ่อแม่ ที่มีกำลังซื้อน้อย รายได้น้อย ในการเข้าถึงสิ่งที่ดีสำหรับบุตรที่เกิดมา ในเมื่อธุรกิจต่างก็มุ่งไปที่คุณภาพ เพิ่มราคา ก็ทำให้กลุ่มนี้ยิ่งห่างไกลจากการเข้าถึงสิ่งที่ดีมากขึ้น

ในขณะที่กลุ่มที่ยังลังเลว่าควรจะมีลูกดีหรือไม่ และเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อไม่มาก ก็อาจจะยิ่งพับแผนการมีลูกกันมากขึ้น เพราะมองว่า ไม่สามารถเลี้ยงดูลูกได้ดี ท่ามกลางภาวะค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่แพงขึ้น ฉะนั้นปัญหาเรื่องการเกิดที่น้อยลง ก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นต่อไปเรื่อยๆ และส่งผลตามมาต่อเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้ไม่สามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากขาดแคลนกำลังแรงงานในอนาคตที่จะมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 

ฉะนั้นพี่ทุยมองว่า เรื่องนี้รัฐบาลก็ต้องยื่นมือเข้ามาสนับสนุนการมีลูกมากขึ้น หากทำให้คนรู้สึกสบายใจ กังวลใจน้อยลง พร้อมมีลูกมากขึ้นได้ ก็พอจะทำให้ปัญหาเบาบางลงได้ ไม่อย่างนั้นก็คงต้องหันไปเปิดกว้างให้คนอพยพเข้าเมืองมากขึ้น เพื่อหากำลังแรงงานมาทดแทน ซึ่งพี่ทุยมองว่า สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ เพื่อสนับสนุนกลุ่มคนที่มีลูกอาจจะยังไม่มากพอ ส่วนที่ควรจะทำอะไรเพิ่มเติมบ้างนั้น จากผลสำรวจที่ออกมาว่า คนที่อยากมีลูกอยากเห็นรัฐบาลทำอะไรบ้าง ก็ออกมาให้เห็นชัดอยู่แล้ว อยู่ที่รัฐบาลจะเลือกหยิบเรื่องไหนมาทำรึเปล่า

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile