เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวถึงประเด็น ระเบิดเวลาประชากร : เกิดน้อย แก่มาก ความท้าทายอนาคตไทย ที่จำนวนคนสูงอายุที่มีอายุยืนยาวขึ้น แต่เด็กกลับเกิดน้อยลง เพราะมุมมองคนที่เปลี่ยนไป ไม่อยากมีลูก ซึ่งเป็นกำลังปัญหาในไทย วันนี้พี่ทุยจะมาชวนคุยเรื่อง วิกฤตเด็กเกิดน้อย เป็นแค่ในไทย หรือเป็นปัญหาระดับโลก และปัญหานี้จะกระทบกับธุรกิจภาคส่วนไหนบ้าง
วิกฤตเด็กเกิดน้อย คนไทยไม่อยากมีลูกเพราะอะไร
อันดับแรก พี่ทุยขอสรุปประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเกิดที่น้อยลง ที่ TDRI นำเสนอออกมาก่อน
ประเด็นสำคัญที่คนไทยไม่อยากมีลูก จาก TDRI
- ต้นทุนการเลี้ยงลูกให้โตมาอย่างมีคุณภาพ “แพง” ขึ้นเรื่อย ๆ เพราะถ้าอยากให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี ต้องจ่ายแพง
- คนทำงานไม่พร้อมรับแรงกดดันและความเครียดจากการเลี้ยงลูก ในช่วงเศรษฐกิจโตช้า
- ครอบครัวมีขนาดเล็กลง ไม่มีคนที่จะมาช่วยเลี้ยงลูก
- อยากใช้ชีวิตเป็นอิสระ อยากเที่ยว อยากลองอะไรใหม่ๆ แต่ถ้ามีลูกแล้วจะทำให้มีอิสระน้อยลง
- รู้สึกว่าสังคมไทยในปัจจุบันไม่น่าอยู่อีกต่อไป
แนวทางที่ TDRI มองว่า จะทำให้คนตัดสินใจมีลูกมากขึ้น
- พัฒนาระบบการศึกษา ให้โรงเรียนทุกแห่งมีคุณภาพดี โดยไม่ต้องจ่ายแพง
- ให้พ่อแม่นำลูกมาทำงานได้
- มีศูนย์เด็กเล็ก เมื่อเลิกงานแล้วรับกลับบ้านได้ หรือมีสถานรับเลี้ยงเด็กคุณภาพสูงใกล้บ้านหรือที่ทำงาน
- ส่งเสริมทักษะการเลี้ยงเด็กให้พ่อแม่ หรือคนในครอบครัวที่ช่วยเลี้ยงที่วัยต่างกับเด็กค่อนข้างมาก เพื่อให้เด็กได้รับการเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการอย่างเหมาะสม
ดูจากข้อมูลที่ TDRI วิเคราะห์ออกมา พี่ทุยก็ค่อนข้างเห็นด้วย เพราะในสังคมปัจจุบัน ที่เราได้ยินเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้คนไทยไม่อยากมีลูก ก็เป็นเรื่องที่ TDRI สรุปมาทั้งสิ้น
คราวนี้ลองมาดูสถิติอัตราการเกิดของเด็กไทยกันดีกว่า ตอนนี้เด็กไทยเกิดน้อยลงแค่ไหน
จะเห็นได้ว่า จำนวนประชากรที่เกิด รวมถึงอัตราการเกิดต่อประชากร 1,000 คนในไทยนั้น ลดลงต่อเนื่องทุกปี ซึ่งแนวโน้มก็น่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไป
สรุปข้อมูลผลสำรวจเกี่ยวกับการมีลูกของคนไทย โดยนิด้าโพล (สำรวจวันที่ 26-28 ก.ย. 2023)
ความต้องการอยากมีลูก
- 53.89% อยากมี
- 44% ไม่อยากมี
- 2.11% ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
สาเหตุที่ไม่อยากมีลูก
- 38.32% ไม่อยากเพิ่มค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก
- 38.32% เป็นห่วงว่าลูกจะอยู่อย่างไรในสภาพสังคมปัจจุบัน
- 37.72% ไม่อยากมีภาระต้องดูแลลูก
- 33.23% ต้องการชีวิตอิสระ
- 17.66% กลัวเลี้ยงลูกได้ไม่ดี
- 13.77% อยากให้ความสำคัญกับงานมากกว่า
- 5.39% สุขภาพตนเองหรือคู่ครองไม่ค่อยดี
- 2.10% กลัวพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์จะไม่ดี ทำให้ลูกที่เกิดมาไม่ดีไปด้วย
- 0.90% กลัวกรรมตามสนอง เนื่องจากเคยทำไม่ดีไว้กับพ่อแม่
มาตรการที่รัฐควรสนับสนุนเพื่อให้คนไทยมีลูก
- 65.19% สนับสนุนการศึกษาฟรีในประเทศจนถึงขั้นสูงสุดสำหรับคนมีลูก
- 63.66% รัฐอุดหนุนค่าเลี้ยงดูลูกจนถึงอายุ 15 ปี
- 30.00% ลดภาษีเงินได้สำหรับคนมีลูก
- 29.47% เพิ่มวันลาให้แม่และพ่อในการเลี้ยงดูลูก
- 21.91% มีเงินรางวัลจูงใจที่สูงสำหรับเด็กแรกเกิด
- 19.92% อุดหนุนทางการเงินแม่ พ่อเลี้ยงเดี่ยว
- 17.18% พัฒนาและอุดหนุนการเงิน ศูนย์เลี้ยงเด็กเล็ก
- 9.85% มีบริการฟรี ศูนย์ผู้มีบุตรยาก
- 7.48% เพิ่มภาษีเงินได้สำหรับคนไม่มีลูก
- 5.50% รัฐเปิดช่องทางในการอุ้มบุญมากขึ้น
- 4.89% รัฐมีหน่วยงานจัดหาคู่ให้กับคนไทย
- 2.75% รัฐไม่จำเป็นต้องมีมาตรการใดๆ
- 0.76% ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
คราวนี้ ลองมาเทียบสถิติกันดีกว่า จากการคาดการณ์อัตราการเกิดต่อประชากร 1,000 คน ของแต่ละประเทศในโลกเป็นยังไง โดยอัตรานี้เผยแพร่โดย The World Factbook ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับโลก ที่จัดทำโดยรัฐบาลสหรัฐฯ
คาดการณ์ อัตราการเกิดต่อประชากร 1,000 คน ปี 2024 ของทั่วโลก
- ออสเตรเลีย 12.2
- จีน 10.2
- สหภาพยุโรป 8.9
- อินเดีย 16.2
- อินโดนีเซีย 14.8
- ญี่ปุ่น 6.9
- เกาหลีใต้ 7.0
- มาเลเซีย 14.2
- รัสเซีย 8.4
- สิงคโปร์ 8.8
- ไทย 9.9
- อังกฤษ 10.8
- สหรัฐฯ 12.2
- เวียดนาม 14.9
- โลก 17
ถ้าดูจากข้อมูลการคาดการณ์นี้ ก็จะเห็นว่า คาดการณ์ของประเทศไทยเอาไว้สูงกว่าตัวเลขจริงที่ออกมาในอดีตไม่น้อย อย่างไรก็ตาม หากนำไปเทียบกับอัตราเฉลี่ยของทั้งโลก ก็จะพบว่า อัตราการเกิดของไทย อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก และทุกประเทศที่เราหยิบมานำเสนอ ก็ล้วนมีอัตราการเกิดต่ำกว่าเฉลี่ยโลกเช่นกัน ส่วนประเทศที่อัตราการเกิดสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกนั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะฝั่งแอฟริกา เป็นต้น
ทั้งนี้ วารสารทางการแพทย์ The Lancet เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการเกิดที่ลดลงว่า จะทำให้เกิดการเปลี่ยนในด้านประชากรโลกภายในปี 2100 ดังนี้
- ภายในปี 2050 มากกว่า 3 ใน 4 (155 จาก 204 ประเทศ) จะไม่มีอัตราการเจริญพันธุ์สูงมากพอจะรักษาขนาดประชากรไว้ได้ และจะเพิ่มเป็น 97% ของประเทศทั้งหมด (198 ใน 204 ประเทศ) ในปี 2100
- รูปแบบการเกิดจะเปลี่ยนแปลงไป โดยในประเทศที่รายได้ต่ำ อัตราการเกิดและรอดชีวิตจะเพิ่มเท่าตัวจาก 18% ในปี 2021 เป็น 35% ในปี 2100 โดยที่แอฟริกา ซับซาฮารา จะเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีเด็กเกิด 1 ใน 2 คน ของเด็กที่เกิดบนโลกใบนี้ภายในปี 2100
- ประเทศที่รายได้ต่ำ มีอัตราการเจริญพันธุ์สูง ขณะที่การเข้าถึงการศึกษาของผู้หญิงจะทำให้อัตราการเกิดลดลง ส่วนประเทศที่รายได้สูง อัตราการเจริญพันธุ์ต่ำ จะมีนโยบายที่สนับสนุนผู้ปกครอง และเปิดกว้างสำหรับการเข้าเมืองมากขึ้น เพื่อรักษาขนาดประชากรและการเติบโตของเศรษฐกิจ
วิกฤตเด็กเกิดน้อย มีปัญหาอะไรตามมา?
พี่ทุยลองรวบรวมผลกระทบมาให้ว่า ถ้าคนเกิดน้อยลงแบบนี้ จะทำให้เกิดปัญหาอะไรตามมาบ้างกับสังคมไทย โดยสรุปได้ดังนี้
ผลกระทบที่ตามมาจากการเปิดน้อยลง
- โครงสร้างประชากรเปลี่ยน คนอายุมาก มีมากกว่าคนอายุน้อย
- ขาดแคลนแรงงาน กระทบภาคการผลิตและเศรษฐกิจโดยรวม เพราะคนหนุ่มสาวลดลง
- ภาระต่อระบบสวัสดิการและบริการสุขภาพสูงขึ้น เพราะมีคนสูงอายุมากขึ้น ทำให้คนอาจต้องมีภาระภาษีเพิ่มขึ้นเพื่อมารองรับ
- ครอบครัวมีขนาดเล็กลง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเปลี่ยนแปลง
- ชุมชนมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม เพราะไร้คนสืบสานต่อ
พี่ทุยจะชวนมาเจาะลึกกันบ้างว่า อัตราการเกิดที่ลดลง อาจจะมีผลกระทบกับธุรกิจอะไรบ้าง
รวมธุรกิจที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการเกิดน้อยลง
1. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเด็กโดยตรง
- สินค้าสำหรับเด็ก
- โรงเรียนและสถานศึกษา
- สถานพยาบาลและคลินิกเด็ก
- ธุรกิจบริการดูแลเด็ก
2. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว
- อสังหาริมทรัพย์
- สินค้าเครื่องใช้ในครัวเรือน
- ธุรกิจท่องเที่ยว
- ธุรกิจอาหาร
ตัวอย่างการปรับตัวของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเด็กโดยตรง
สินค้าสำหรับเด็ก
- ผ้าอ้อมเด็ก – เน้นผลิตผ้าอ้อมเด็กคุณภาพสูง ปลอดภัย ตอบโจทย์ความต้องการ เช่น ผ้าอ้อมเด็กแบบบาง ผ้าอ้อมเด็กแบบเปียก ผ้าอ้อมเด็กสำหรับเด็กผิวแพ้ง่าย ขณะที่บางรายหยุดผลิตผ้าอ้อมเด็ก แล้วหันไปผลิตผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่แทน
- ผู้ผลิตเสื้อผ้าเด็ก – หันไปเน้นเพิ่มคุณภาพสินค้า เจาะตลาดแนวโน้มพ่อแม่ที่มีจำนวนบุตรลดลง ทำให้มีกำลังซื้อต่อเด็กหนึ่งคนมากขึ้น จึงเน้นสินค้าคุณภาพดีขึ้น ราคาสูงขึ้นได้ รวมถึงมุ่งเน้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์
- นมผงเด็ก - เน้นผลิตนมผงเด็กที่มีสูตรเฉพาะ ตอบโจทย์ความต้องการเด็กในวัยต่างๆ เช่น นมผงเด็กสำหรับทารกแรกเกิด นมผงเด็กสำหรับเด็กวัย 1-3 ขวบ นมผงเด็กสำหรับเด็กวัย 3 ขวบขึ้นไป เป็นต้น
- ของเล่นเด็ก – เน้นผลิตของเล่นเด็กที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย และส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก เช่น ของเล่นไม้ ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเล่นบทบาทสมมติ
โรงเรียนและสถานศึกษา
- เพิ่มมาตรฐานการศึกษาให้สูงขึ้นเพื่อดึงดูดนักเรียน รวมถึง เน้นสอนทักษะชีวิต การคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหา เพื่อให้นักเรียนนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงได้
- นำเสนอโปรแกรมการเรียนการสอนที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความสนใจและความต้องการของนักเรียนมากขึ้น เช่น เปิดหลักสูตรพิเศษ หลักสูตรเสริมทักษะ และหลักสูตรนานาชาติ
- นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการเรียนรู้ และใช้สื่อการสอนที่ทันสมัย
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ปกครอง สื่อสารข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการจัดการศึกษาอย่างสม่ำเสมอ และจัดกิจกรรมที่ผู้ปกครองมีส่วนร่วมได้
- เน้นการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคุมค่าใช้จ่าย หาแหล่งเงินทุนสนับสนุนเพิ่มเติม
สถานพยาบาล และคลินิกเด็ก
- หันไปเน้นบริการผู้สูงอายุแทน เพราะประชากรสูงอายุมากขึ้น
- เน้นบริการสุขภาพเชิงป้องกัน
- นำเสนอบริการคุณภาพสูง
- พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ รวมถึงระบบ Telemedicine เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการการแพทย์ได้สะดวกขึ้น
- บริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นควบคุมค่าใช้จ่าย และหาแหล่งเงินทุนสนับสนุนเพิ่มเติม
ธุรกิจบริการดูแลเด็ก
- เน้นบริการคุณภาพสูง ให้ความสำคัญกับความสะอาด ปลอดภัย ความสะดวกสบาย รวมทั้งมีกิจกรรมเสริมพัฒนาการที่หลากหลาย
- เปิดตลาดรับเลี้ยงเด็กวัยต่างๆ มากขึ้น โดยให้บริการในช่วงเวลาที่หลากหลาย พร้อมนำเสนอบริการรับส่งเด็ก บริการอาหาร บริการซักรีด ครบวงจร
- พัฒนาระบบติดตามเด็ก ระบบสื่อสารกับผู้ปกครอง นำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ
- เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ปกครอง อัปเดตข่าวสารพัฒนาการของเด็กสม่ำเสมอ และจัดกิจกรรมที่ผู้ปกครอง มีส่วนร่วม
- บริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคุมค่าใช้จ่าย และหาแหล่งเงินทุนสนับสนุนเพิ่มเติม
ตัวอย่างการปรับตัวของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
- พัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้น
- พัฒนาโครงการที่มีขนาดเล็กลง ราคาไม่แพง สอดคล้องกับครอบครัวที่มีขนาดเล็กลง
- พัฒนาโครงการที่เหมาะกับคนโสดมากขึ้น เช่น คอนโดมิเนียมแบบสตูดิโอ
- พัฒนาบริการเสริมภายในโครงการ เช่น บริการทำความสะอาด บริการรับส่ง บริการซ่อมบำรุงรักษา
- นำเทคโนโลยี Smart Home มาใช้ เพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้า
สินค้าเครื่องใช้ในครัวเรือน
- พัฒนาสินค้าขนาดเล็ก ใช้งานง่าย ตอบโจทย์คนโสด และครอบครัวขนาดเล็ก
- เน้นสินค้าที่อำนวยความสะดวก และปลอดภัย ตอบโจทย์ผู้สูงอายุที่มีมากขึ้น
- เน้นสินค้าที่มีนวัตกรรม ดึงดูดลูกค้า และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
- นำเสนอบริการหลังการขายที่ดี สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า เช่น มีบริการรับประกันสินค้า บริการซ่อมแซม เพื่อสร้างความภักดีของลูกค้า
- มุ่งเน้นการขายผ่านแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ ช่วยให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้สะดวก รวดเร็ว
ธุรกิจท่องเที่ยว
- เน้นเจาะตลาดนักท่องเที่ยวสูงอายุ ที่มีกำลังซื้อสูง มีเวลาท่องเที่ยวนาน
- พัฒนาแพ็กเกจท่องเที่ยวที่เหมาะกับครอบครัวขนาดเล็ก
- เจาะตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ รองรับนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น
- เน้นพัฒนาสินค้าและบริการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ เช่น ที่พักมีมาตรฐาน อาหารอร่อย กิจกรรมท่องเที่ยวหลากหลาย
- นำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น ระบบจองที่พักออนไลน์ การชำระเงินออนไลน์
- พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่เสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ
ธุรกิจอาหาร
- มุ่งเน้นพัฒนาร้านอาหารที่มีบรรยากาศเหมาะกับผู้สูงอายุมากขึ้น มีเมนูอาหารที่เหมาะกับสุขภาพ
- เน้นพัฒนาร้านอาหารขนาดเล็ก ที่มีราคาไม่แพง
- มีบริการเดลิเวอรี่ และอาหารจานด่วน ตอบโจทย์คนโสดที่มากขึ้น
- พัฒนาเมนูอาหารที่หลากหลาย พร้อมเพิ่มบริการเสริมต่างๆ เช่น จัดเลี้ยง และส่งอาหารถึงบ้าน
ถ้าดูแบบรวม ๆ แล้วการปรับตัวของธุรกิจเพื่อรับมือกับแนวโน้มอัตราการเกิดที่ลดลงนั้น หลัก ๆ แล้ว ก็มี 2 รูปแบบ โดยในกรณีที่มุ่งเจาะตลาดเด็กต่อไป ก็ต้องให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพที่มากขึ้น เจาะตลาดระดับบนมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์กลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีกำลังซื้อ มีจำนวนบุตรลดลง ทำให้สามารถเน้นคัดเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับบุตรได้มากขึ้น เพราะหากยังเน้นปริมาณต่อไป ก็อาจจะไม่ตอบโจทย์ เนื่องจากจำนวนเด็กเกิดใหม่ ไม่ได้เพิ่มสูงมาก
ส่วนในกรณีที่จะหันไปเจาะตลาดอื่นที่มีโอกาสมากกว่า ก็ต้องเน้นพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าศักยภาพเหล่านั้นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ผู้สูงอายุ หรือคนโสด
อย่างไรก็ตาม พี่ทุยมองว่า ถึงจุดนี้ อาจจะเป็นความยากลำบากสำหรับพ่อแม่ ที่มีกำลังซื้อน้อย รายได้น้อย ในการเข้าถึงสิ่งที่ดีสำหรับบุตรที่เกิดมา ในเมื่อธุรกิจต่างก็มุ่งไปที่คุณภาพ เพิ่มราคา ก็ทำให้กลุ่มนี้ยิ่งห่างไกลจากการเข้าถึงสิ่งที่ดีมากขึ้น
ในขณะที่กลุ่มที่ยังลังเลว่าควรจะมีลูกดีหรือไม่ และเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อไม่มาก ก็อาจจะยิ่งพับแผนการมีลูกกันมากขึ้น เพราะมองว่า ไม่สามารถเลี้ยงดูลูกได้ดี ท่ามกลางภาวะค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่แพงขึ้น ฉะนั้นปัญหาเรื่องการเกิดที่น้อยลง ก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นต่อไปเรื่อยๆ และส่งผลตามมาต่อเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้ไม่สามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากขาดแคลนกำลังแรงงานในอนาคตที่จะมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ฉะนั้นพี่ทุยมองว่า เรื่องนี้รัฐบาลก็ต้องยื่นมือเข้ามาสนับสนุนการมีลูกมากขึ้น หากทำให้คนรู้สึกสบายใจ กังวลใจน้อยลง พร้อมมีลูกมากขึ้นได้ ก็พอจะทำให้ปัญหาเบาบางลงได้ ไม่อย่างนั้นก็คงต้องหันไปเปิดกว้างให้คนอพยพเข้าเมืองมากขึ้น เพื่อหากำลังแรงงานมาทดแทน ซึ่งพี่ทุยมองว่า สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ เพื่อสนับสนุนกลุ่มคนที่มีลูกอาจจะยังไม่มากพอ ส่วนที่ควรจะทำอะไรเพิ่มเติมบ้างนั้น จากผลสำรวจที่ออกมาว่า คนที่อยากมีลูกอยากเห็นรัฐบาลทำอะไรบ้าง ก็ออกมาให้เห็นชัดอยู่แล้ว อยู่ที่รัฐบาลจะเลือกหยิบเรื่องไหนมาทำรึเปล่า
อ่านเพิ่ม