ยุค “เงินเฟ้อ” ได้รับการพูดถึงท่ามกลางการฟื้นตัวเศรษฐกิจจากพิษโรคระบาดโควิด-19 อีกปัจจัยที่เลี่ยงจะพูดถึงไม่ได้คือ “ความปั่นป่วนใน Supply Chain” ของโลก ยิ่งภาพของเรือยักษ์ Ever Given ที่ขวางคลองสุเอซ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ยิ่งทำให้ทั่วโลกเป็นกังวล
เพราะนอกเหนือจะเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากและแปลกแล้ว ยังเป็นเพราะคลองสุเอซเป็นทางเดินเรือที่สำคัญที่จะลัดจากตะวันตกไปยังตะวันออกได้อย่างง่ายได้โดยไม่ต้องไปอ้อมทวีปแอฟริกา
เรียกได้ว่าทั้งวัสดุตั้งต้น ส่วนประกอบ น้ำมัน หรือแม้แต่สินค้าที่สำเร็จรูปแล้ว ไม่สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ เส้นทางทางน้ำระหว่างตะวันตกและตะวันออกถูกตัดขาดออกจากกัน สร้างความปั่นป่วนให้แก่สายการผลิตทั่วโลกเลยทีเดียว
เมื่อเรือ Ever Given ขวางคลองจากไปแล้ว สถานการณ์ก็ควรกลับมาเป็นปกติจริงไหม ?
แต่พี่ทุยว่าการขวางคลองสุเอซที่ผ่านมา เป็นแค่ตัวกระตุ้นให้เห็นภาพสายการผลิตโลกที่กำลังย่ำแย่อยู่แล้วต่างหาก โดยปัญหาเรื่อง Supply Chain ที่มีปัญหาอยู่ในปัจจุบัน คือ Supply Chain
Supply Chain คืออะไร ?
Supply Chain หรือ ห่วงโซ่อุปทาน คือ กระกวบกวนขนส่งสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ หรือ ตั้งแต่กระบวนการติดต่อ Supplier ในเรื่องของวัตถุดิบ จากนั้นก็นำวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการผลิต, จัดเก็บ และขั้นตอนสุดท้ายคือการส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้า
ปัญหา Supply Chain ในปัจจุบัน เรือ Ever Given ทำให้ปัญหา
ตู้คอนเทนเนอร์หายาก
ตู้คอนเทนเนอร์กลายเป็นสิ่งที่หายาก ยิ่งในยุคที่โลกเพิ่งฟื้นฟูจากการระบาดทันที เพราะในช่วงที่ผ่านมาระหว่างการระบาดของโควิด-19 โลกแทบจะหยุดชะงักลง หลายโรงงานปิดตัวชั่วคราวหรือถาวร ทำให้บริษัทเดินเรือต้องลดจำนวนคอนเทนเนอร์ที่ส่งออกไปในทะเล และพักตู้เหล่านั้นไว้ที่ชายฝั่ง
ในเอเชีย ประเทสมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีนเริ่มฟื้นตัวเร็วกกว่าใคร แต่กลับไม่มีตู้ให้ส่งออกเพราะเมื่อเรือพร้อมตู้สินค้าส่งออกจากท่าเรือจีนไปยังยุโรปและอเมริกาเหนือแล้ว ทั้งสองทวีปกลับไม่ส่งตู้กลับมา เนื่องจากโรงงานยังไม่กลับมาผลิตได้เร็วเหมือนในเอเชีย
ในทางกลับกัน เศรษฐกิจของฝั่งทวีปอเมริกาเหนือก็เริ่มฟื้นตัวเช่นเดียวกัน โดยผู้บริโภคหันมาสั่งสินค้าจากทางเอเชียมามากขึ้น ทำให้ทางเอเชียต้องเร่งส่งสินค้าไป แต่กลับพบปัญหาการขาดตู้ เพราะตู้ไม่ส่งกลับมา ซึ่งอัตราส่วนอยู่ที่ส่งออกไปอเมริกาเหนือ 100 ตู้ แต่กลับมายังเอเชียแค่ 40 เท่านั้น
การขาดแคลนตู้ส่งสินค้ากลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้ต้นทุนการขนส่งพุ่งสูงขึ้น โดยดัชนี Drewry World Container Index ที่ติดตามสถานการณ์การขนส่งทางเรืออย่างใกล้ชิด พบว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี เมื่อปลายปี 2020 ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากช่วงก่อนการระบาด
ตัวอย่าง ราคาตู้หากส่งออกจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตู้ เป็น 4,500 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่บางแห่งทะลุ 9,000 ดอลลาร์สหรัฐเข้าไปแล้ว
เมื่อต้นทุนในการขนส่งสินค้าเพิ่มสูงขึ้นไม่นาน ราคาสินค้าก็จะปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งนำไปสู่สถานการณ์ที่เงินเฟ้อทะยานขึ้นเช่นเดียวกัน
สถานการณ์ “ชิป” หาย
การระบาดของโควิด – 19 เมื่อปีก่อน ไม่ได้ทำให้ตู้คอนเทนเนอร์ไปอยู่ผิดที่ผิดทางจนเกิดภาวะขาดแคลนเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งผลกระทบต่อ Supply Chain ของผู้ผลิตรถยนต์อีกด้วย
ในสถานการณ์การระบาด บรรดาบริษัทน้อยใหญ่ต้องประหยัดเงินสดเอาไว้มากที่สุด ซึ่งรวมถึงการลดการผลิตด้วยเช่นกัน โดยบรรดาค่ายรถต่างยกเลิกคำสั่งซื้อชิปเพื่อลดต้นทุนเอาตัวรอดในช่วงนั้น
แต่นั่นกลับทำให้ผู้ผลิตชิปไม่มีทางเลือกนอกจากส่งชิปยังลูกค้าที่พร้อมรับในอุตสาหกรรมอื่น นั่นคือ สมาร์ทโฟน อุปกรณ์สำหรับการเล่นเกม และอุปกรณ์เทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ต่างได้ประโยชน์จากการหยุดอยู่บ้านและ Work From Home
ผู้ผลิตจึงไม่สามารถผลิตชิปให้เพียงพอต่อความต้องการได้เมื่อบรรดาค่ายรถกลับมาผลิตอีกครั้งหลังสถานการณ์ดีขึ้น ประกอบกับสถานการณ์การขนส่งที่ต้นทุนสูง ทำให้ผลที่ตามมาคือ บรรดาค่ายรถ เช่น Ford Volkswagen หรือ Hyundai ต่างต้องจำใจยอมระงับการผลิตชั่วคราว
แม้ชิปจะเป็นตัวอย่างเดียวที่เห็นภาพได้ชัดมากที่สุดตามพาดหัวข่าวของสำนักข่าวต่าง ๆ แต่ยังมีอีกหลายบริษัทออกมาเผยว่ากำลังประสบปัญหาสายการผลิตอย่างหนัก เนื่องด้วยต้นทุนการขนส่งที่แพงขึ้น เช่น Hasbro ผู้ผลิตของเล่นชื่อดัง หรือ Crocs แบรนด์รองเท้าแตะสุดฮิต
ปัญหาของ Supply Chain กำลังจะนำมาซึ่ง “เงินเฟ้อ”
ในการประชุมคณะกรรมการการเงินของธนาคารกลางสหรัฐเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำใกล้ศูนย์เอาไว้ โดยในการประชุมเมื่อเดือนมี.ค. ได้มีการเปิดเผยคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจของบรรดาคณะกรรมการการเงินด้วย หรือที่เรียกกันว่า Fed Dot Plot
ใน Dot Plot ล่าสุดนี้ บรรดาหัวกระทิทางเศรษฐกิจของสหรัฐคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อจะปรับสูงขึ้น โดยมีค่ากลางการคาดการณ์ของสมาชิกจำนวน 17 คน อยู่ที่ 2.4% ในปีนี้ ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด (และธนาคารกลางรายใหญ่อย่างอีซีบีของยุโรป และบีโอเจของญี่ปุ่น) เสียอีก
แม้การมีอัตรา “เงินเฟ้อ” นิด ๆ จะช่วยให้เห็นว่าเศรษฐกิจกำลังหมุนเวียน มีการจับจ่ายใช้สอย และประชาชนมีรายได้มากขึ้น แต่หากเงินเฟ้อที่มากเกินไป ก็อาจกระทบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้เช่นกัน เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นและอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยก็ลดน้อยลงจากการที่สินค้ามีราคาแพงขึ้น
เงินเฟ้อยังส่งผลกระทบต่อโลกการเงินด้วยเช่นกัน โดยเกิดการแห่เทขายในตลาดพันธบัตร (Bond) เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อายุ 10 ที่อัตราผลตอบแทน (Yield) ปรับเพิ่มขึ้นทะลุ 1.7% อยู่ในระดับก่อนการเกิดโรคระบาด ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นในยุโรป ญี่ปุ่น รวมถึงไทยด้วย
ผลตอบแทนจะเคลื่อนไหวสวนทางกับราคา ดังนั้น การที่ผลตอบแทนขึ้นจึงหมายความว่าราคากำลังปรับลดลงจากการเทขาย โดยอัตราเงินเฟ้อถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้โดยตรง เช่น เมื่อถือตราสารหนี้ที่จะจ่ายดอกเบี้ย 100 บาทเป็นเวลาทุกปี ซึ่งเงิน 100 บาทสามารถซื้อแอปเปิ้ลได้ 4 ลูกในปีนี้ แต่อาจซื้อได้แค่ 2 ลูกในปีหน้า หากสินค้ามีราคาแพงขึ้น
การเทขายตราสารหนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาด Cryptocurrency บูม ประกอบกับการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอย่างการลดดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้นักลงทุนยิ่งหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นเช่นกัน แต่ยื่งสินทรัพย์ยิ่งมีความเสี่ยงมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งควรทั้จะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมากขึ้นเท่านั้น