ใกล้เข้ามาทุกขณะ สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 27 ของประเทไทย ในวันที่ 14 พ.ค. 2566 แต่ก่อนที่เราจะได้รัฐบาลใหม่ พี่ทุยจะชวนทุกคนมาย้อนดูรัฐบาล ประยุทธ์ 8 ปี มีผลงานด้านเศรษฐกิจอะไรบ้าง ประเทศไทยภายใต้การบริหารของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เดินไปถึงไหนแล้ว ไปดูกัน
ประยุทธ์ 8 ปี เจอวิกฤตโควิด-19 ลากยาว 3 ปี เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า
ในช่วงต้นของการระบาดโควิด-19 เศรษฐกิจไทยแทบไม่ได้รับความเสียหายเท่าไหร่นัก เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อและอัตราการเสียชีวิตในไทยต่ำกว่าหลายประเทศทั่วโลกอย่างมาก ทำให้ไทยได้รับการจัดอันดับว่าเป็นประเทศที่บริหารจัดการโควิด-19 ได้ดีที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลกในเดือน ส.ค. 2563 จากการจัดอันดับดัชนี Global COVID-19 Index (GCI)
อย่างไรก็ตาม จากการประเมินความน่ากลัวของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ต่ำเกินไป และมองว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดาของรัฐบาล ทำให้ผ่อนคลายและลดความเข้มงวดในการควบคุมโรคอยู่เป็นระยะ รวมถึงจัดหาวัคซีนที่ด้อยประสิทธิภาพและล่าช้า
ส่งผลให้ 1 ปีถัดมา จากประเทศที่รับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ดีที่สุดในโลก กลายเป็นประเทศที่เศรษฐกิจฟื้นตัวจากโควิด-19 ช้าที่สุดในโลก จากการจัดทำดัชนี Nikkei COVID-19 Recovery Index ของสำนักข่าวชั้นนำอย่าง Nikkei Asia
แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบันของไทยจะคลี่คลายลงไปมาก ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตแทบจะเป็นปกติ แต่เหตุการณ์ที่่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่า การบริหารจัดการด้านสาธารณสุขที่ต่างชาติมองว่าไทยมีความพร้อมด้านการแพทย์ โรงพยาบาลไทยหลายแห่งได้รับมาตรฐานระดับโลก กลับขาดประสิทธิภาพภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ขณะเดียวกันก็อาจเป็นสิ่งเตือนใจให้รัฐบาลชุดใหม่ต้องประเมินความเสี่ยงให้ถี่ถ้วนและรอบด้านมากขึ้นยามเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นอีกในอนาคต
กู้เงินเพิ่มจนต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะ
หนี้สาธารณะ หมายถึง การกู้ยืมเงินของรัฐบาลเมื่อรัฐบาลมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย จึงจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ โดยเศรษฐกิจไทยสมัยแรกของ พล.อ.ประยุทธ์ (ปี 2558 – 2561) เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่เผชิญวิกฤตหรือเหตุการณ์ใดที่จำเป็นต้องกู้เงิน สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ในช่วงเวลานี้ค่อนข้างคงที่ราว 41 – 42% ต่อ GDP
อย่างไรก็ตาม จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เศรษฐกิจดำดิ่งเข้าสู่ภาวะถดถอย รัฐบาลทั่วโลกรวมถึงไทยต้องเร่งอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อรักษา เยียวยาอย่างมหาศาล
แต่ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณ ทำให้รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กู้เงิน 2 ฉบับ วงเงินรวม 1.5 ล้านล้านบาท ในปี 2564 ขณะที่สถานะของวงเงินดังกล่าวได้เบิกจ่ายและอนุมัติไปแล้วเกือบ 99% ของวงเงินรวม
ผลจากการกู้เงินดังกล่าว ทางสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) คาดการณ์ล่วงหน้าไว้ว่า สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จะปรับเพิ่มขึ้นจาก 41.1% ณ สิ้นปีงบประมาณ 2562 (หรือก่อนโควิด-19) มาอยู่ที่ 58.4% ณ สิ้นปีงบประมาณ 2564 หรือเกือบแตะเพดานหนี้สาธารณะตามกฎหมายที่กำหนดไว้ที่ 60%
รัฐบาลจึงได้ขยายกรอบเพดานหนี้เป็น 70% ต่อ GDP เมื่อเดือน ก.ย. 2564 ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยล่าสุด ณ สิ้นปีงบประมาณ 2565 อยู่ที่ 60.5% เท่ากับว่า ภายใต้การบริหารประเทศ 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ สัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยเพิ่มขึ้นเกือบ 20% หรือมีมูลค่าหนี้เพิ่มขึ้นมากกว่า 5 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว
แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะทำให้รัฐบาลชุดนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่กู้เงินเยอะ กู้เงินเก่ง แต่อย่างน้อยหากเจาะลึกดูโครงสร้างหนี้สาธารณะของไทยยังพออุ่นใจได้อยู่บ้าง เพราะส่วนใหญ่ราว 98.4% เป็นหนี้ที่อยู่ในรูปสกุลเงินบาท ทำให้ไทยมีความเสี่ยงด้านค่าเงินหรือความผันผวนจากปัจจัยภายนอกประเทศค่อนข้างต่ำ
การกู้เงินของรัฐบาลแม้จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่เข้ามาช่วยเหลือและบรรเทาความทุกข์ร้อนของประชาชนได้ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การนำเงินที่กู้มาใช้อย่างตรงจุด เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงแนวทางการหารายได้เพิ่มเติม เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน แต่กลับเป็นสิ่งที่ประชาชนยังคงมีเครื่องหมายคำถามต่อรัฐบาลชุดนี้อยู่เสมอ
ประยุทธ์ 8 ปี ความเหลื่อมล้ำไทยที่ไม่เคยลดลงจริง
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นโยบายหาเสียงเพื่อลดความเหลื่อมล้ำเป็นนโยบายสำคัญลำดับแรก ๆ ของพรรคการเมือง ตลอดจนเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำแรก ๆ ของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยเมื่อยามเข้ามาบริหารประเทศ โดยเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้ที่มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นฐานเสียงใหญ่ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มค่าแรงขึ้นต่ำ การลดหนี้ การเพิ่มรายได้ และการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร
แม้ว่าดัชนีความเหลื่อมล้ำของไทยที่วัดตามหลักมาตรฐานสากลที่ชื่อว่า ค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค (GINI Coefficient) จะปรับลดลงต่อเนื่อง แต่ประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มคนรายได้ปานกลางลงมา รวมถึงเกษตรกรกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
เห็นได้จากค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศขยับเพิ่มขึ้นจาก 300 – 310 บาทต่อวันในช่วงปี 2559 – 2560 มาอยู่ที่ 328 – 354 บาทต่อวันในปัจจุบัน หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงปีละไม่ถึง 2%
ขณะที่รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละราว 2-3% สวนทางกับภาระหนี้สินของครัวเรือนภาคเกษตรที่มีมากถึง 4.6 แสนบาทต่อครัวเรือนโดยเฉลี่ย หรือมีหนี้เพิ่มขึ้นปีละ 5%
รวมไปถึงเงินเดือนของผู้ที่จบปริญญาตรีก็เพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่ถึง 1% ในช่วง 5 ปีหลังสุด สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยที่อยู่ในระดับสูงแตะ 90% ต่อ GDP มาตลอดเกือบ 3 ปี ยังเป็นปัญหาที่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ยังแก้ไม่ตก
ความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษาก็เช่นเดียวกัน รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ชูนโยบายที่ให้ความสำคัญด้านการศึกษามาโดยตลอด ทั้งการปฏิรูปการศึกษาไทย การมุ่งเน้นการส่งเสริมให้การศึกษาเป็นหัวใจของชาติ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับพบว่า ผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนตามมาตรฐานสากล (PISA) ของไทยทั้งวิชาคณิตศาสตร์ (Math) วิทยาศาสตร์ (Science) และการอ่าน (Reading) ต่างมีอันดับรั้ง 20 สุดท้ายของโลกในทุกวิชา สาเหตุสำคัญและเป็นที่น่าตกใจอย่างยิ่ง นั่นคือ งบประมาณรายจ่ายด้านศึกษาของภาครัฐลดลงอย่างน่าใจหายจากราว 5.3 ล้านล้านบาท (3.9% ต่อ GDP) ในปี 2558 เหลือ 4.6 ล้านล้านบาท (3.0% ต่อ GDP) ในปัจจุบัน
ความสามารถการแข่งขันบนเวทีโลกของไทยลดลง
หนึ่งในกุญแจสำคัญที่ช่วพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับขีดความสามารถของประเทศ นั่นคือ การพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศ โดยนับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือน ส.ค. 2557 ได้มีนโยบายเพื่อดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติมาโดยตลอด
ทั้งการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและมิใช่ภาษี อาทิ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมทั้งอุตสาหกรรมเดิมที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ และอุตสาหกรรมใหม่ที่สอดรับกับเทรนด์โลก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาจากเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำ ประสิทธิภาพของภาครัฐลดลง ค่าแรงสูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงญี่ปุ่นซึ่งเคยเป็นนักลงทุนต่างชาติของไทยก็เผชิญกับเศรษฐกิจที่โตช้า ทำให้ไทยซึ่งเคยเป็นหมุดหมายสำคัญของนักลงทุนต่างชาติทั่วโลกในการเข้ามาลงทุนและตั้งฐานการผลิตเริ่มมีบทบาทลดน้อยลง
เห็นได้จากมูลค่าเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากประเทศในไทยเฉลี่ยช่วงปี 2558 – 2564 อยู่ที่ 7,000 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งล้วนแต่เคยเป็นประเทศที่ไทยได้รับเงินลงทุนจากต่างประเทศมากกว่าทั้งสิ้นในอดีต
ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ นักลงทุนต่างชาติก็ขายสุทธิตลาดหุ้นไทยไปมากกว่า 7 แสนล้านบาท และเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้ SET Index เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 2% ต่อปีเท่านั้น
สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจไม่โต ภาครัฐขาดประสิทธิภาพ กฎระเบียบไม่เอื้ออำนวย จนส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลกของไทยเริ่มน้อยลง นักลงทุนต่างชาติก็พร้อมหันหน้าออกจากไทยและมุ่งสู่ประเทศคู่แข่งในภูมิภาคเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ชี้ให้เห็นว่า ปี 2565 นักลงทุนต่างชาติเข้ามายื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 300 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้นเกือบ 40% โดยเฉพาะในยามที่ญี่ปุ่นอยู่ในช่วงขาลง ก็เป็นจีนที่ก้าวขึ้นมาเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับ 1 ของไทย นับว่าเป็นข่าวดีส่งท้ายรัฐบาลปัจจุบัน แต่ก็เป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับรัฐบาลใหม่ที่จะต้องหาแนวทางเพิ่มความสามารถการแข่งขันของประเทศและนโยบายเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติต่อไป
การกระชับความสัมพันธ์กับต่างประเทศไม่เป็นสองรองใคร
จาก 4 ผลงานข้างต้น หลายคนคงคิดว่า เศรษฐกิจไทย 8 ปีที่ผ่านมาดูแย่ขนาดนี้เลยหรอ แต่พี่ทุยอยากบอกว่า มีบางเรื่องที่สำคัญที่ทำให้ไทยสามารถเชิดหน้าชูตาบนเวทีโลกได้อยู่บ้าง ถึงแม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ มักจะโดนกล่าวหาว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศได้ดีเท่าที่ควร แต่เรื่องการกระชับความสัมพันธ์กับต่างประเทศไม่เป็นสองรองใครแน่นอน
โดยเฉพาะเรื่องแรกคือ การฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับซาอุดีอาระเบีย ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาหรับและมีรายได้ต่อประชากรมากกว่าไทยกว่า 3 เท่า หลังจากที่ซาอุฯ ลดระดับความสัมพันธ์กับไทยเมื่อกว่า 30 ปีก่อน แม้ว่ารัฐบาลไทยก่อนหน้าจะพยายามฟื้นความสัมพันธ์อยู่เรื่อย แต่มาประสบความสำเร็จในรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์เมื่อต้นปี 2565
ตลอดระยะกว่า 1 ปีที่ฟื้นความสัมพันธ์กับซาอุฯ เห็นได้ชัดเจนว่า มูลค่าการส่งออกของไทยไปซาอุฯ ปี 2565 เติบโตถึง 24% ส่วนไตรมาสแรกของปี 2566 ก็เติบโตถึง 42% ขณะที่ด้านท่องเที่ยวปี 2565 มีนักท่องเที่ยวซาอุฯ เดินทางเข้าไทยกว่า 7,600 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีเพียง 200 กว่าคน ถึง 3,500% และเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิด-19 เกือบ 300%
เรื่องที่สองคือ การบรรลุความตกลง RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) หรือความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ประกอบไปด้วยสมาชิก 15 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 10 ประเทศ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นความตกลงทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาด GDP และจำนวนประชากรรวมกันมากกว่า 1 ใน 3 ของโลก
ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ นั่นคือ การยกเลิกภาษีสินค้านำเข้าเหลือ 0% เกือบ 30,000 รายการ ความตกลงฉบับนี้ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทยต่อไปในอนาคต
และเรื่องสุดท้ายคือ การเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับโลกอย่างการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกหรือ APEC (Asia-Pacific Economic Cooperation) ซึ่งถือเป็นความร่วมมือของ 21 เขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก การประชุมดังกล่าวไม่เพียงแต่ไทยได้รับโอกาสเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับโลกครั้งแรกในรอบหลายปีเท่านั้น
แต่สิ่งที่ตามมาคือ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดี และการต่อยอดทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนของกลุ่มสมาชิก ตลอดจนการเผยแพร่วัฒนธรรมและประเพณีของไทยหรือที่เรียกว่า Soft Power ไม่ว่าจะเป็น อาหาร การท่องเที่ยว สินค้าท้องถิ่น เป็นต้น ให้ออกสู่สายตาชาวโลกอีกด้วย
ประยุทธ์ 8 ปี มีผลงานที่สำเร็จชัดเจนเหมือนกัน
มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ/กระตุ้นเศรษฐกิจ
- โครงการ “เราชนะ”
- โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน”
- บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
- โครงการ “คนละครึ่ง”
- มาตรการช่วยเหลือธุรกิจ SMEs เช่น มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan)
จำนวนคนจน
แม้สังคมไทยยังมีคนจนอยู่มาก แต่สถานการณ์ความยากจนของไทยดีขึ้นต่อเนื่อง สัดส่วนคนจนลดลง จาก 7.2% ในปี 2558 เหลือ 6.3% ในปี 2564 ขณะที่คนจนเข้าถึงสวัสดิการของรัฐเพิ่มขึ้น เช่น คนยากจนได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มขึ้นจาก 35.2% ในปี 2561 เป็น 49.7% ในปี 2564
โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล
- เข้าสู่สังคมไร้เงินสดมากขึ้น เช่น บริการพร้อมเพย์ (PromptPay) และแอปฯ เป๋าตัง และการทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบออนไลน์ (e-payment) ต่างๆ
- ประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนที่มีบริการ 5G เชิงพาณิชย์
- ประเทศที่ใช้ Mobile Banking มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก
บทสรุปของเศรษฐกิจไทย 8 ปีที่ผ่านมาในยุคของ พล.อ.ประยุทธ์ คงเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยเผชิญความยากลำบากและความท้าทายในหลายด้าน โดยเฉพาะโควิด-19 ที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เศรษฐกิจไทยยังไม่สามารถกลับไปโตได้เหมือนอดีต ปัญหาหนี้รัฐบาล หนี้ครัวเรือน และความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้นยังคงเป็นปัญหาที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งแก้ไข ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดูดีขึ้นก็เป็นโจทย์สำคัญของรัฐบาลใหม่ที่ต้องเข้ามาสานต่อให้ดียิ่งขึ้นในระยะถัดไป
อ่านเพิ่ม