ช่วงนี้มีแต่ข่าวไม่ค่อยดีเกี่ยวกับ เศรษฐกิจไทย 2568 ทั้ง Moody’s ปรับลดมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือ ทั้งสถาบันการเงินปรับลดการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เวลานี้หลายคนคงรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัว หรือไม่รู้ว่าจะส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันยังไง ? แต่พี่ทุยอยากบอกว่ามัน “แย่จริง ๆ” แล้วทุกคน
วันนี้พี่ทุยจะมาสรุปข่าวทั้งหมด แล้วเชื่อมโยงให้เห็นภาพว่าข่าวเหล่านี้ถึงจุดที่เริ่มส่งผลกระทบกับชีวิตคนธรรมดาอย่างพวกเราแล้ว และจะเตรียมรับมือยังไง ?
เศรษฐกิจไทย 2568 Moody’s ลดมุมมองเครดิตไทย : สัญญาณเตือน (สุดท้าย) จากสายตาต่างชาติ
เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 68 Moody’s ปรับลดมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ลงจาก “Stable” เป็น “Negative” แต่ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือไว้ที่ Baa1 ซึ่งอยู่ในระดับ Investment Grade (พันธบัตรคุณภาพดี) สะท้อนความสามารถในการชำระหนี้ของไทยที่ยังคงมีความน่าเชื่อถือ
Moody’s ให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตต่ำในระยะกลาง ภาระหนี้สาธารณะเพิ่มต่อเนื่อง และความท้าทายในการดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลเริ่มชัดมากขึ้น
แล้วเรื่องนี้บอกอะไรเราน่ะหรอ ? แปลง่าย ๆ ว่า “เศรษฐกิจโตช้า หนี้รัฐบาลเยอะ ทำให้มีช่องว่างกระตุ้นเศรษฐกิจยากมากขึ้น”
นอกจาก Moody’s แล้ว ในช่วงเวลาเดียวกัน ไทยก็ถูกจัดหนักต่อเนื่องด้วยการปรับลดมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือ (Outlook) ของสถาบันการเงินไทยอีก 7 แห่ง เป็น Negative เช่นกัน
ซึ่งฝั่งรัฐบาลก็ออกมาชี้แจงว่า “เป็นแค่การปรับมุมมองไม่ใช่การให้อันดับความน่าเชื่อถือ” “Moody’s ตัดสินใจลดมุมมองเร็วเกินไป”

แหม… ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไม่ว่าจะชี้แจงมุมไหนก็ตาม ถึงจะยังไม่ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ แต่การปรับลดมุมมองที่เกิดขึ้นไปแล้ว ก็นับเป็นสัญญาณเตือนหรือสัญญาณไฟเหลืองจากสายตาต่างชาติแล้ว
ก็คือหลังจากนี้ถ้าสภาพการเงินของไทยยังไม่มีการพัฒนาอีกล่ะก็ เตรียมตัวเห็นการปรับลด Outlook จากอีก 2 สถาบัน ได้แก่ S&P และ Fitch หรืออย่างแย่เลยก็ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือได้เลย
ทุกฝ่ายพร้อมใจปรับลดคาดการณ์ GDP ไทย
เรียกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดสุด ๆ เมื่อสถาบันการเงินทั้งของประเทศเราและระดับโลกต่างพร้อมใจกันลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ไทย
เริ่มจาก IMF หั่นประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 2025 ลงเหลือ 1.8% จากเมื่อเดือน ม.ค. ที่คาดไว้ 2.9% นอกจากตัวเลขระดับ 1-2% จะน่าผิดหวังมากแล้ว ยังโตต่ำสุดในกลุ่มอาเซียน ตามหลังฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนิเซีย มาเลเซีย อีกต่างหาก
ต่อด้วย World Bank ลดคาดการณ์ลงเหลือ 1.6% จากเมื่อเดือน ก.พ. ซึ่งคาดไว้ว่าจะโต 2.9% และก็ตามหลังเพื่อนบ้านอาเซียนเช่นกัน

ฝั่งธนาคารแห่งประเทศไทยก็ออกมาเผยประมาณการเศรษฐกิจปี 2025 ว่าถ้าเจรจาการค้าได้ดี (Reference Scenario) จะโต 2.0% และปี 2026 จะโต 1.8% แต่ถ้าสงครามการค้าไม่ดีอย่างที่คาด เจรจาลดภาษีกับสหรัฐฯ ได้เหลือครึ่งหนึ่งจากที่สหรัฐฯ ประกาศไว้ (Alternative Scenario) ประมาณการเศรษฐกิจปี 2025 โตที่ 1.3% และปี 2026 โตแค่ 1.0%
อ่านแบบนี้แล้วอาจจะยังดูงง ๆ แต่พูดง่าย ๆ ก็คือว่าเศรษฐกิจปีนี้จะเติบโตน้อยลงกว่าปีที่แล้ว ถ้าเปรียบเทียบง่าย ๆ การเติบโตของ GDP เหมือนการเติบโตของรายได้ประชาชนรวม ๆ แล้วโตน้อยมากแค่ประมาณ 1-2% เรียกว่าปาดเหงื่อแน่นอน
ส่วนการเติบโตของรายจ่ายก็ใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็นตัวเปรียบเทียบ จะเห็นว่าในกรณีที่การเจรจาการค้าออกมาดี ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าปี 2025 จะอยู่ที่ 0.5% และถ้าผลออกมาไม่ดีคาดไว้ที่ 0.2% ส่วนปี 2026 เพิ่มขึ้นมาที่ 0.8% และ 0.4% ตามลำดับ
เรียกว่า “รายได้โตมากกว่ารายจ่ายไม่ถึง 2% และในกรณีแย่สุดโตมากกว่าเพียง 0.6% งานนี้ชัดว่ารายได้โตช้า แต่ค่าครองชีพโตต่อ ไม่สนใจใคร ถ้าเกิดอะไรไม่คาดฝันขึ้น เศรษฐกิจสะดุดขาล้ม ค่าครองชีพที่แรงเครื่องมาจ่อขนาดนี้ อาจโตแซงรายได้ทันที”
ลดมุมมอง GDP โตช้า เกี่ยวอะไรกับชีวิตคนธรรมดาอย่างพวกเรา ?
แม้เรื่องการปรับลดมุมมองเครดิต การเติบโตของ GDP จะเป็นอะไรที่เข้าใจยาก และเป็นเรื่องของภาครัฐ แต่จริง ๆ แล้วชีวิตประจำวันของพวกเราก็ได้รับผลกระทบไปด้วย แยกออกมาได้เป็น
- ค่าครองชีพพุ่ง รายได้ไม่ขึ้นตาม
ความเชื่อมั่นของต่างชาติต่อไทยลดลง เงินลงทุนก็ไม่ค่อยเข้า งานหายาก เงินเดือนขึ้นน้อย แต่ค่าใช้จ่ายทั้งอาหาร ค่าน้ำมัน ค่าเดินทาง ค่าที่พัก “เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ” คนที่ตั้งใจจะเก็บเงินก็เก็บยากขึ้น แถมบางคนต้องเริ่มเอาเงินสำรองออกมาใช้
- ภาระหนี้มากขึ้น คนเริ่มหมุนเงินไม่ทัน
รายจ่ายของคนหนึ่ง เป็นรายได้ของอีกคน แต่เมื่อคนเราไม่ค่อยมีความมั่นใจว่าจะมีรายได้เหมือนเดิม ก็ลดการใช้จ่าย ทีนี้รายได้ของอีกคนก็ลดลงตามไปด้วย หนี้ที่มีเริ่มหมุนไม่ทัน บางคนต้องสร้างหนี้เอาเงินมาใช้จ่าย แล้วถามว่าจะใช้หนี้ก้อนนี้ได้ตอนไหน บอกเลยว่าด้วยสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ คงได้แต่ขัดดอกไปก่อน
- รัฐบาลช่วยประเทศและประชาชนได้น้อยลง
ด้วยมุมมองที่แย่ลงหรือถ้าอันดับความน่าเชื่อถือถูกปรับลด รัฐบาลจะกู้เงินได้น้อยลงหรือไม่ก็กู้ด้วยดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แปลว่ารัฐบาลมีงบประมาณน้อยลง ใช้นโยบายช่วยเหลือประชาชนหรือกระตุ้นเศรษฐกิจยากขึ้น
เรียกได้ว่าทุกทางออกมีปัญหาของแท้ ! ไปทางไหนก็เงียบกริบ แถมส่งออกกำลังเจอพายุสงครามการค้าเข้าไปอีก ส่วนท่องเที่ยวซบเซาไปเยอะ นักท่องเที่ยวจีนหาย
พวกเราควรตั้งรับอย่างไรดี ?
คือด้วยสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ การแก้ไขสถานการณ์จากภาครัฐเช่นนี้ ดูยังไงคงไม่น่ามีอะไรดีขึ้นในเร็ว ๆ นี้แน่ ๆ แต่ชีวิตคนธรรมดาแบบพวกเราที่โดนผลกระทบไปแล้ว คงรอเศรษฐกิจฟื้น (เมื่อไหร่ ?) ไม่ไหว ต้องเตรียมตัวรับสถานการณ์ทันที ซึ่งพี่ทุยก็มีข้อแนะนำดังนี้
- วางแผนรายรับรายจ่าย
การวางแผนรายรับรายจ่ายจะช่วยให้เห็นภาพรวมว่าค่าใช้จ่ายอันไหนไม่จำเป็น อันไหนฟุ่มเฟือยต้องตัดออก อันไหนจำเป็นแต่ลดได้
- ตรวจสอบสิทธิ์จากภาครัฐ
สภาพเศรษฐกิจแบบนี้คงต้องหาตัวช่วยกันหน่อย ซึ่งภาครัฐก็มีสิทธิ์ขั้นพื้นฐานให้บริการประชาชนทุกคน ทั้งค่ารักษาพยาบาล สิทธิ์ลดหย่อนภาษี มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ ถึงแม้จะไม่มากไม่มายอะไร แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ใช้อะไรเลย
- หารายได้เสริม
ยุคนี้สมัยนี้ รายได้ทางเดียวคงไม่อุ่นใจแล้ว ยิ่งเศรษฐกิจฝืดขนาดนี้ อาจตกงานกันได้ง่าย ๆ รายได้อีกทางจึงมีความจำเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ต้องไม่ลงทุนเกินตัว ถ้ามีแววรุ่งก็อย่ารีบออกจากงานประจำ รอจนกว่ารายได้เสริมจะมากกว่ารายได้จากงานประจำ ตอนนั้นค่อยคิดว่าจะออกหรือไม่อีกทีก็ยังทันนะ
รวม 4 เว็บไซต์ หารายได้เสริม ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ
พี่ทุยยอมรับจริง ๆ ว่าเพียงแค่ประมาณการตัวเลข GDP ก็เห็นภาพความย่ำแย่ของเศรษฐกิจไทยแล้ว แถมมีการปรับลดมุมมองเข้ามาซ้ำอีก ทุกคนต้องเตรียมตัวรับมือทันที ลดการใช้จ่าย มีเงินสำรองไว้อยู่เสมอ ที่สำคัญมองหาโอกาสใหม่อยู่เสมอ