สัปดาห์นี้ที่จีนมีงานประชุมนานาชาติในโอกาสฉลอง 10 ปี โครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ซึ่งเป็นเส้นทางเศรษฐกิจที่จะเชื่อมเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา ไว้ด้วยกัน แม้ว่าสปอร์ตไลท์จะส่องไปที่การปรากฎตัวของ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ที่ตั้งแต่เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ไม่ได้ปรากฎตัวในงานประชุมระดับนานาชาติบ่อยครั้ง แต่การที่ผู้นำหลายชาติเข้าร่วมประชุมครั้งนี้เป็นสัญญาณ ก็ได้ตอกย้ำถึงผลกระทบอันมหาศาลของโครงการ BRI มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐของจีนที่มีต่อทั่วโลก และยังแสดงให้เห็นถึงว่ารัฐบาลและภาคธุรกิจของจีนมีทรัพย์สินอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลกมากมายขนาดไหนด้วย วันนี้พี่ทุยเลยอยากจะชวนทุกคนรุ้จัก โครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ให้มากขึ้น
โครงการ BRI นี้ เป็นนโยบายการลงทุนแบบข้ามทวีปในระยะยาวของจีน ที่มีเป้าหมายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศต่าง ๆ ตลอดเส้นทางสายไหม หรือ Silk Road ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าในอดีตที่จีนวางรากฐานเอาไว้ และสร้างความมั่งคั่งให้จีนมาจนถึงทุกวันนี้
ได้ยินชื่อโครงการ BRI พี่ทุยคิดว่า หลายคนอาจไม่ติดหู แต่ถ้าพูดถึงชื่อเดิมของโครงการนี้ หลายคนอาจจะร้องอ๋อ เดิมที โครงการ BRI มีชื่อเก่าว่า One Belt One Road (OBOR) แปลตรง ๆ หรือโครงการหนึ่งเข็มขัดเศรษฐกิจ หนึ่งเส้นทาง แต่ถ้าเรียกตามที่คนไทยเข้าใจกันมากกว่าก็คือ “เส้นทางสายไหมใหม่” ซึ่งพี่ทุยมองว่า จะเรียกโครงการนี้เป็นภาคต่อของเส้นทางสายไหมก็ได้
จุดเริ่มต้นของ Belt and Road Initiative (BRI)
พี่ทุยขอสรุปที่มาของโครงการ BRI สั้น ๆ แบบนี้
- ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เปิดตัวโครงการ BRI ในปี 2013
- โครงการนี้เป็นนโยบายและแผนการลงทุนระยะยาวของจีน
- เป้าหมายของโครงการคือ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเร่งความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศต่าง ๆ ตลอดแนวเส้นทางสายไหม (Silk Road) เดิมและเพิ่มเติมแนวเส้นทางใหม่ เพื่อเชื่อมโยงเอเชีย ยุโรป และแอฟริกาเข้าด้วยกัน
ประเทศไหนเป็นแนวร่วมในเส้นทาง Belt and Road Initiative บ้าง
- แอฟริกาใต้สะฮารา 43 ประเทศ
- ยุโรป และเอเชียกลาง 35 ประเทศ
- เอเชียตะวันออกและแปซิฟิก 25 ประเทศ
- ละตินอเมริกาและแคริบเบียน 20 ประเทศ
- ตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ 18 ประเทศ
- เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 6 ประเทศ
รวม 147 ประเทศ
พี่ทุยดูข้อมูลแล้วก็พบว่า โครงการ BRI เป็นการมัดรวมโครงการใหญ่ 2 ส่วนเข้าด้วยกัน ก็คือโครงการทางบกกับทางทะเล ดังนี้
โครงการ 2 ส่วนหลักในเส้นทางสายไหมใหม่
ทางบก
- เส้นทางสายไหม 6 เส้นทางการพัฒนา
- สะพานเศรษฐกิจยูเรเซียใหม่ New Eurasian Land Bridge Economic Corridor (NELBEC)
- ระเบียงเศรษฐกิจจีน-มองโกเลีย-รัสเซีย China – Mongolia – Russia Economic Corridor (CMREC)
- ระเบียงเศรษฐกิจจีน-เอเชียกลาง-เอเชียตะวันตก China – Central Asia – West Asia Economic Corridor (CCWAEC)
- ระเบียงเศรษฐกิจจีน-คาบสมุทรอินโดจีน China – Indochina Peninsula Economic Corridor (CICPEC)
- ระเบียงเศรษฐกิจบังกลาเทศ-จีน-อินเดีย-เมียนมา Bangladesh – China – India – Myanmar Economic Corridor (BCIMEC)
- ระเบียงเศรษฐกิจจีน-ปากีสถาน China – Pakistan Economic Corridor (CPEC)
ทางทะเล
- เส้นทางสายไหมทางทะเล ศตวรรษที่ 21
ครอบคลุมทะเลจีนใต้ ช่องแคบมะละกา มหาสมุทรอินเดีย อ่าวเบงกอล ทะเลอาหรับ อ่าวเปอร์เซีย และทะเลแดง
- เส้นทางสายไหมขั้วโลก Polar Silk Road
ความร่วมมือ 5 ด้าน ภายใต้โครงการ BRI
1. การประสานงานนโยบาย – ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างรัฐบาล แลกเปลี่ยนนโยบายมหภาคหลายระดับและกลไกการสื่อสารร่วมกัน
2. การเชื่อมโยงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ – ปรับปรุงการเชื่อมต่อกับแผนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบมาตรฐานทางเทคนิค
3. การค้าที่ไม่มีข้อจำกัด – ลดอุปสรรคทางการลงทุนและการค้า สนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
4. การบูรณาการด้านการเงิน – ประสานงานและร่วมมือด้านนโยบายการเงิน การจัดตั้งสถาบันการเงิน
5. สร้างความผูกพันระหว่างคนกับคน – มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและวิชาการ รวมถึงการจัดเสวนา และความร่วมมือด้านสื่อ
ถ้าดูจากข้อมูลที่เล่ามานี้ พี่ทุยคิดว่า หลายคนน่าจะพอนึกภาพออกแล้วแหละว่า จีนเล่นใหญ่แค่ไหนสำหรับการวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อกับประเทศในเส้นทางสายไหมใหม่ ซึ่งก็สร้างแรงสั่นสะเทือนไปยังสหรัฐฯ มหาอำนาจของโลกไม่น้อย
ถึงขั้นที่สหรัฐฯ ไปผนึกกำลังกับประเทศอื่นในกลุ่ม G7 ทำโครงการ Build Back Better World (B3W) สนับสนุนเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานให้ประเทศกำลังพัฒนา
10 ปีที่ผ่านมา จีนทำอะไรบ้าง
โครงการ BRI ได้ขยายการลงทุนจากเดิมที่เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โรงไฟฟ้าและทางรถไฟ เริ่มต้นด้วยเงินทุน 1 ล้านล้านดอลลาร์ ไปสู่การลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ความมั่นคง และการพัฒนาที่ยั่งยืน จีนลงทุนในโครงการจำนวนกว่า 3,000 โครงการ ภายใต้ BRI
โครงการนี้ประสบความสำเร็จอย่างจำกัดในการบรรลุเป้าหมายบางประการ เช่น การทำให้เงินหยวนเป็นสากล และการแก้ปัญหากำลังการผลิตล้นเกินของบริษัทจีน แต่จีนเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาลในด้านการค้า ข้อตกลงหลายฉบับทำให้จีนสามารถเข้าถึงทรัพยากรได้มากขึ้น เช่น น้ำมัน ก๊าซ และแร่ธาตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโครงการ BRI มุ่งเน้นไปที่แอฟริกา อเมริกาใต้ และตะวันออกกลาง สินค้ามูลค่าประมาณ 19.1 ล้านล้านดอลลาร์มีการซื้อขายระหว่างจีนและกลุ่มประเทศ BRI ในทศวรรษที่ผ่านมา
สถาบันอเมริกันเอ็นเตอร์ไพรส์ (American Enterprise Institute: AEI) ระบุว่า 15 ประเทศที่ได้รับเงินลงทุนสูงสุดจากจีน ได้แก่ อินโดนีเซีย ปากีสถาน สิงคโปร์ รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บังกลาเทศ เปรู ลาว อิตาลี ไนจีเรีย อิรัก อาร์เจนตินา และชิลี เรียกได้ว่า จีนส่งอิทธิพลไปยังทุกภูมิภาคทั่วโลก และในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ เคนยาก็เป็นอีกประเทศที่หวังจะได้รับเงินลงทุนจากจีน
ข้อมูลจาก AEI ยังระบุอีกว่า เงินลงทุนส่วนใหญ่จากโครงการ BRI มักถูกส่งไปยังประเทศที่รัฐบาลจีนมีแรงจูงใจทางยุทธศาสตร์อย่างแรงกล้าที่จะกระชับความสัมพันธ์ด้วย อย่างเช่น อินโดนีเซีย และปากีสถาน
ถ้านึกไม่ออกว่าโครงการ BRI มีอะไรบ้าง ก็ยกตัวอย่างเช่น เส้นทางรถไฟที่ สปป.ลาว ซึ่งเชื่อมต่อนครหลวงเวียงจันทน์ เมืองหลวงของลาว ไปยังคุนหมิง ในจังหวัดยูนนานของจีน เปิดให้บริการในปี 2021 ทางรถไฟสายนี้ช่วยลดเวลาการเดินทางจากเวียงจันทน์ไปยังชายแดนลาว-จีน เหลือเพียง 3 ชั่วโมง ทำให้ผู้โดยสารเดินทางถึงเมืองคุนหมิงได้ภายในวันเดียว
หรือจะท่าเรือพิราอุสในกรีซ ซึ่งมักจะถูกขนานนามว่าเป็น “หัวมังกร” แห่งยุโรป โดยท่าเรือแห่งนี้ รัฐวิสาหกิจของจีนมีสิทธิการควบคุมอยู่กว่า 60% และสามารถรองรับตู้คอนเทนเนอร์จากเรือได้เป็นจำนวนมาก ๆ
โดยรวมแล้ว พี่ทุยมองว่า โครงการ BRI ของจีน หากดำเนินการสำเร็จ ก็จะทำให้จีนมีความแข็งแกร่งมากขึ้นแน่นอนในด้านการเป็นผู้นำทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองโลก อีกทั้งจะลดทอนความสำคัญของสหรัฐฯ ในเวทีเศรษฐกิจโลกไปโดยปริยาย ซึ่งเราก็คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า จีนจะเดินหน้าโครงการต่อไปอย่างไร เมื่อตอนนี้หลายประเทศเองก็เริ่มระวังจีน ที่จะเข้ามาแทรกแซงการเมืองเศรษฐกิจในประเทศผ่านการลงทุนและให้กู้
อ่านเพิ่ม