เทคโนโลยี Blockchain เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นรากฐานให้กับคริปโต ระบบ Blockchain เองก็มีรายละเอียดเชิงลึกที่นักลงทุนควรจะต้องทำการศึกษาก่อนการลงทุน เช่น บล็อกเชน Layer 1 และ Layer 2
ทุกคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า บล็อกเชน Layer 2 กันมาแล้วบ้าง แล้วเจ้าบล็อกเชน Layer 2 นี้มันคืออะไร เกี่ยวข้องอะไรกับการบริหารจัดการความเสี่ยงและการจัดพอร์ตการลงทุนของเราอย่างไร พี่ทุยจะมาอธิบายให้ฟังกัน
Blockchain Layer 1 และ Layer 2 ต่างกันอย่างไร ?
คริปโตหรือเหรียญดิจิทัลทั้งหมดนั้นจะดำเนินการอยู่บนระบบที่เรียกว่าเครือข่ายบล็อกเชน (Blockchain Network) ซึ่งจะมีด้วยกันหลายเครือข่ายด้วยกัน เปรียบเสมือน Server การเกิดขึ้นของ Layer 1 จะเป็นเหมือนตัวตั้งต้นของระบบบล็อกเชน โดย Layer 1 ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในโลกของคริปโตก็คือ Bitcoin หรือ Ethereum
อย่างไรก็ตาม การเกิดขึ้นของ Layer 1 ในบางครั้งก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบเท่าไหร่นัก เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีรุ่นบุกเบิก นักพัฒนาจึงได้เล็งเห็นช่องทางที่จะเอาเทคโนโลยีของ Layer 1 มาพัฒนาเป็น Layer 2 เพื่อเปิดช่องทางใหม่ ๆ ของการทำธุรกิจและมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาที่ทาง Layer 1 ประสบ ซึ่งส่วนมากจะเป็นเรื่องของค่าธรรมเนียมที่แพงและการทำธุรกรรมที่ช้า ดังนั้น Layer 2 จึงมักสร้างโดยมีพื้นฐานมาจากบล็อกเชนที่เป็น Layer 1 ทั้งหลาย
หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่า Layer 2 เป็นเหมือน Version ที่พัฒนาแล้วของ Layer 1
การบริหารจัดการพอร์ตการลงทุน
ในการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุน ควรจะจัดพอร์ตตามชนิดของเหรียญคริปโตต่าง ๆ เช่น หมวดบล็อกเชน หมวดการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) หมวด GameFi และหมวด Meme Coin เป็นต้น
ซึ่งในหมวดบล็อกเชนก็จะมีแบ่งออกเป็น Layer 1 และ Layer 2 ซึ่งต้องบอกทั้ง 2 รูปแบบไม่ได้เกิดมาเพื่อฆ่ากันเอง แต่เกิดขึ้นเพื่อทำงานร่วมกัน สามารถแบ่งการลงทุนทั้ง 2 รูปแบบเลย เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสการลงทุนให้มากขึ้นนั่นเอง
เหรียญคริปโตจาก Layer 2 ตัวเทพในโลกคริปโต
Polygon (MATIC)
- Polygon (MATIC) เป็น Layer 2 ที่พัฒนามาจากเครือข่ายบล็อกเชน Ethereum เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างหรือพัฒนาแพลตฟอร์มบนเครือข่ายได้อย่างง่ายขึ้น ขยาย Scaling และความยืดหยุ่นในการพัฒนา Infrastructure ได้รับการสนับสนุนจาก Binance และ Coinbase.
- ซึ่ง Polygon มีจุดประสงค์ในการทำงานแบบระบบ Multi-Chain สามารถทำงานร่วมกับหลาย ๆ เครือข่ายได้อย่างอิสระ จึงจะส่งผลดีให้กับระบบนิเวศของระบบมากยิ่งขึ้น
- โดยที่ Polygon เปิดตัวว่าจะเป็น Scaling Solution จึงทำให้การอนุมัติธุรกรรมบนระบบมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมด้วยระบบฉันทามติแบบ Proof-of-Stake จึงมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าระบบ Proof-of-Work โดยสามารถอนุมัติธุรกรรมได้ถึง 65,000 ธุรกรรมต่อวินาที
- เหรียญที่ใช้เป็นค่าธุรกรรมของ Polygon คือ MATIC
Loopring (LRC)
- Loopring (LRC) เป็นระบบ Layer 2 ที่พัฒนามาจากเครือข่ายบล็อกเชน Ethereum เป็น Open Protocol หรือโปรโตคอลแบบเปิดที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างกระดานเทรดคริปโตแบบกระจายศูนย์ (DEX)
- จุดประสงค์ของ Loopring (LRC) คือ การรวมการทำงานระหว่างออร์เดอร์แบบรวมศูนย์ (Centralized Order) ให้จับคู่กับออร์เดอร์แบบรวมศูนย์ เพื่อที่จะลบข้อเสียของกระดานเทรดแบบรวมศูนย์ในด้านความไม่ปลอดภัยของระบบการรักษาสินทรัพย์และความไม่โปร่งใส
- โทเค็นที่ทาง Loopring เปิดทำ ICO ไปเมื่อปี 2017 ก็คือ LRC
OMG Network (OMG)
- OMG Network หรือที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อ OmiseGo เป็นอีกหนึ่ง Layer 2 จาก Ethereum สร้างขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาด้าน Scaling ของ Ethereum อีกทั้งยังเป็นระบบที่จะไม่มีการเก็บรักษาสินทรัพย์ใด ๆ บนระบบ ดังนั้นผู้ใช้งาน OMG Network จะสามารถโอนเหรียญ ETH และโทเค็นที่อยู่บนเครือข่าย ERC-20 ของ Ethereum ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ในค่าธรรมเนียมที่ถูกลงกว่าการทำธุรกรรมบนเครือข่าย Ethereum แต่ข้อจำกัดก็คือการถอนออกจากระบบ จะใช้เวลานานกว่าธุรกรรมปกติที่ทำบน Ethereum Chain โดยตรง
- โดยที่ OMG Network มองเห็นช่องทางที่จะทำให้ Ethereum สามารถนำมาใช้ในเชิงธุรกิจใหญ่ ๆ ได้โดยการเพิ่มความสามารถในการโอนที่รวดเร็ว ในค่าบริการที่ไม่แพง (2 ใน 3 เท่าของ Ethereum) จึงได้สร้าง Layer 2 นี้ขึ้น นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาระบบเพื่อลด Carbon Footprint และรักษาสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ Plasma-Based Sidechain Solution เพื่อลดการใช้ไฟฟ้าในระบบได้ถึง 99%
- OMG Network มี OMG เป็น Utility Token สามารถใช้เป็นค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมบน OMG Network และ Stake ในระบบเพื่อรับดอกเบี้ยได้อีกด้วย
Celer Network (CELR)
- Celer Network (CELR) เป็น Layer 2 ที่โดดเด่นในเรื่องของความเร็วและการประมวลผลในการทำธุรกรรม รวมถึงความง่ายและความปลอดภัยในการทำธุรกรรมแบบ Off-Chain สำหรับทั้งบริการชำระเงินและ Smart Contract เพื่อพัฒนาขีดจำกัดของเครือข่ายบล็อกเชนและพัฒนาการทำงานของ Dapp หรือแอพพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ โดยการใช้ขอบข่าย Substrate Framework อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในระบบนิเวศของ Polkadot ซึ่งเป็นเครือข่ายบล็อกเชน Layer 1
- ผู้ที่ถือเหรียญ CELR จะเป็นผู้มอบสภาพคล่องให้กับระบบ อีกทั้งยังได้รับรางวัลเป็นผลตอบแทน โดยจุดประสงค์หลักของ Celer Network คือการขยาย Scaling ผ่านการพัฒนาระบบ Layer 2 ดังกล่าวให้กับกับทุกเครือข่ายบล็อกเชน ดังนั้น Celer Network จะมีขอบข่ายที่กว้างอย่างมากในตลาด อีกทั้งยังสามารถพัฒนาการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- Celer Network มีเหรียญ CELR เป็นโทเค็นมาตรฐาน ใช้เพื่อบริหารจัดการระบบ เป็นเหรียญบนเครือข่าย ERC-20 ของ Ethereum
Bancor (BNT)
- Bancor (BNT) เป็นโปรโตคอลที่สามาถสลับสับเปลี่ยนโทเค็นโดยไม่ต้องผ่านกระดานเทรดคริปโต โดยการทำงานของ Smart Contracts จะบริหารจัดการ Liquidity Pool ที่จะเชื่อมต่อโทเค็นจำนวนมากที่อยู่ในระบบเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ พูดอีกอย่างก็คือจะใช้ Smart Contract ของโปรโตคอลเข้ามาในการทำการแลกเปลี่ยนแทนเอากระดานเทรดคริปโตหรือแพลตฟอร์มบุคคลที่สาม
- ความโดดเด่นของ Bancor ก็คือการสร้างสภาพคล่องให้กับเหรียญ Altcoin ต่าง ๆ และเปิดโอกาสให้ผู้มอบสภาพคล่องให้กับระบบให้เข้ามามากยิ่งขึ้น โดยที่โทเค็นที่จะทำการแลกเปลี่ยน ไม่จำเป็นต้องอยู่บนบล็อกเชนเดียวกัน
- โทเค็นหลักของ Bancor Network ก็คือ BNT
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะเลือกลงทุนไปที่เหรียญใดก็ตาม อย่าลืมศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ให้รอบคอบเสียก่อน เพื่อใช้เป็นข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน เดี๋ยวจะหาว่าพี่ทุยไม่เตือน
รูปล่าง ของ mobile
