เมื่อไม่นานมานี้ Amazon Web Services (AWS) บริษัทในเครือ Amazon.com ประกาศแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ในไทย มากกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.9 แสนล้านบาท ในไทย ในช่วง 15 ปีข้างหน้า
ได้ยินแบบนี้แล้วหลายคนอาจจะร้องโอ้โห เพราะนี่คือเจ้าแห่งวงการคลาวด์เลยทีเดียว ตั้งใจมาบุกไทยขนาดนี้ แสดงว่าไทยต้องมีดีอะไรสักอย่าง
วันนี้พี่ทุยก็เลยจะชวนมาทำความรู้จักกับโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ว่า คืออะไรกัน มีประโยชน์ยังไง และทำไม Amazon Web Services ถึงต้องมาปักหมุดในไทย
รู้จัก Cloud ธุรกิจที่ AWS กำลังจะมาลงทุนในไทย 1.9 แสนล้านบาท
Cloud ย่อมาจาก Cloud computing เป็นเทคโนโลยีระบบประมวลผลบนอินเทอร์เน็ต
ประเภทของ Cloud
1) แบ่งตามลักษณะการใช้งาน
1.1) Public Cloud
เป็นระบบสาธารณะ ที่ใครจะใช้ก็ได้ แต่ต้องยอมรับเงื่อนไข แล้วจ่ายเงินค่าใช้บริการ
ตัวอย่างผู้ให้บริการ ได้แก่ AWS (ของ Amazon) Azure (ของ Microsoft) และ Google Cloud (ของ Google)
1.2) Private Cloud
เป็นระบบคลาวด์ที่องค์กรลงทุนสร้างเองเพื่อใช้งานเอง จะมีความปลอดภัยสูงกว่าคลาวด์ที่ให้บริการสาธารณะ มีความเป็นส่วนตัวสูงกว่า
1.3) Hybrid Cloud
เป็นระบบคลาวด์แบบผสมผสาน แบ่งการใช้งานบางส่วนด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานใน Public Cloud และเก็บข้อมูลไว้ใน Private Cloud เพื่อความปลอดภัยกว่า
1.4) Multi Cloud
เป็นการใช้ทั้งระบบคลาวด์ของผู้ให้บริการ 2 ราย ผสมกัน
2) แบ่งตามประเภทบริการ
2.1) SaaS (Software as a Service) – สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป
รูปแบบจะเป็นการเช่าใช้งานพื้นที่บนคลาวด์ สำหรับการใช้ซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชัน
2.2) PaaS (Platform as a Service) – สำหรับนักพัฒนาโปรแกรมหรือแอปพลิเคชัน
เป็นระบบคลาวด์ที่แยกย่อยออกมาจาก SaaS โดยมีความซับซ้อนมากขึ้น เหมาะสำหรับใช้พัฒนาโปรแกรม หรือแอปพลิเคชัน
ผู้ให้บริการจะเตรียมเครื่องมือที่จำเป็นในการสร้างแพลตฟอร์ม หรือแอปพลิเคชัน ระบบที่รองรับซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และคำสั่งอื่น ๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานจัดการ พัฒนา และทดสอบแอปพลิเคชันผ่านระบบได้
2.3) IaaS (Infrastructure as a Service) – สำหรับงานโครงสร้างพื้นฐาน
เป็นระบบคลาวด์เพื่อการใช้งานด้านโครงสร้างพื้นฐานของคอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ ใช้เพื่อสร้างแพลตฟอร์ม หรือทำให้แอปพลิเคชันใช้งานได้
ผู้ให้บริการจะเตรียมเซิร์ฟเวอร์ พื้นที่จัดเก็บข้อมูล และบริการเครือข่ายเอาไว้ให้ ส่วนผู้ใช้งานก็เลือกใช้ทรัพยากรได้ยืดหยุ่นตามความต้องการ
พี่ทุยไปดูข้อมูลคาดการณ์มูลค่าตลาดคลาวด์มาจากหลายสำนัก จึงขอนำมาสรุปคร่าวๆ ตามนี้
Grand View Research
ปี 2021 : 368,970 ล้านดอลลาร์
คาดการณ์ปี 2030 : 1,554,940 ล้านดอลลาร์
อัตราการเติบโต ปี 2022-2030 : +15.7% ต่อปี
Precedence Research
ปี 2021 : 380,250 ล้านดอลลาร์
คาดการณ์ปี 2030 : 1,614,100 ล้านดอลลาร์
อัตราการเติบโต ปี 2022-2030 : +17.43% ต่อปี
ถ้าดูข้อมูลกันลึกกว่านั้นอีก โฟกัสไปที่บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์อย่างเดียว MarketsandMarkets เคยทำประเมินเอาไว้ว่า ตลาดนี้ที่เคยมีมูลค่าประมาณ 73,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2019 จะโตเป็น 166,600 ล้านดอลลาร์ ในปี 2024 หรือ +18% ต่อปี
โดยปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดนี้โตก็คือ ต้นทุนที่ต่ำลง ความยืดหยุ่น ความสามารถในการปรับขนาดการใช้งานได้ และความปลอดภัย
มีข้อมูลที่น่าสนใจก็คือ Precedence Research ประเมินว่า ถึงแม้อเมริกาเหนือเป็นภูมิภาคที่มูลค่าตลาดคลาวด์สูงสุด แต่ถ้าดูในเชิงการเติบโตแล้ว พบว่า เอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่ตลาดคลาวด์เติบโตรวดเร็วที่สุด ในช่วงปี 2022-2030
ทำไมคลาวด์ในเอเชียแปซิฟิกถึงเติบโตรวดเร็วที่สุด
– การมุ่งเน้นเปลี่ยนมาใช้ดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรม
– การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีและสุขภาพของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ เช่น อินเดีย และจีน
– การลงทุนมหาศาลในเอเชียแปซิฟิก ที่มุ่งเน้นเปลี่ยนการปฏิบัติการไปสู่ดิจิทัล
เมื่อตลาดเอเชียแปซิฟิกเป็นดาวเด่นแบบนี้ ก็เลยไม่น่าแปลกใจที่บรรดาผู้นำตลาดคลาวด์จะแท็กทีมกันเข้ามาลงทุนในภูมิภาคนี้เพื่อรองรับการเติบโต
สำหรับ Amazon Web Services เจ้าใหญ่รายล่าสุดที่ประกาศแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ในไทยนั้น เบื้องต้นมีแผนจะสร้าง Availability Zones หรือโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ส่วนภูมิภาค 3 แห่งในไทย
แผนงานนี้ เป็นส่วนหนึ่งในแผนสร้าง Availability Zones เพิ่มมากกว่า 24 แห่ง ในสำนักงานภูมิภาค คือ ออสเตรเลีย แคนาดา อินเดีย อิสราเอล นิวซีแลนด์ สเปน สวิตเซอร์แลนด์ และไทย ขณะที่ปัจจุบัน Amazon Web Services มีโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ส่วนภูมิภาคอยู่แล้ว 87 แห่ง ใน 27 ภูมิภาคทั่วโลก
การลงทุนของ Amazon Web Services ในไทย ครั้งนี้ ก็ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะ ปี 2020 Amazon Web Services ก็เปิดตัว Amazon CloudFront เครือข่ายการเชื่อมต่อความเร็วสูง ในกรุงเทพฯ ไปแล้ว ซึ่งเป็นตัวช่วยที่ทำให้การส่งข้อมูล วิดีโอ แอปพลิเคชันต่าง ๆ มีความปลอดภัยสูงและตั้งโปรแกรมการส่งได้
นอกจากนี้ยังเปิดตัว AWS Outposts โซลูชันการยกฮาร์ดแวร์ที่ลงซอฟต์แวร์ไว้พร้อมแล้วมาทำงานบนไซต์ของลูกค้า เชื่อมต่อกับคลาวด์ได้แบบไร้รอยต่อ
ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ที่ Amazon Web Services จะประกาศลงทุน เมื่อเดือน ส.ค. 2022 Google Cloud ก็เพิ่งเปิดตัวแผนการสร้างเครือข่าย Google Cloud ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเอาไว้ 3 พื้นที่ คือ มาเลเซีย ไทย และนิวซีแลนด์
ส่วน 6 ภูมิภาคที่ประกาศแผนสร้างเครือข่ายไปแล้วคือ เบอร์ลิน (เยอรมนี) ดัมมาม (ซาอุดิอาระเบีย) โดฮา (กาตาร์) เม็กซิโก เทลอาวีฟ (อิสราเอล) และทูริน (อิตาลี)
โดยรวมแล้ว การที่ Amazon Web Services ลงทุนในไทย ก็สอดคล้องกับเทรนด์ตลาดเอเชียแปซิฟิกที่โตแรง ซึ่งการมีเครือข่ายในไทย ก็จะทำให้ Amazon Web Services มีเครือข่ายที่แน่นปึ๊กมากขึ้นในเอเชียแปซิฟิก
และถ้ากลับมาดูที่ไทยเราเองจะได้อะไรบ้าง ก็ต้องบอกว่า ก็จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น รวมถึงทำให้ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการใช้คลาวด์ต่อยอด ยกระดับธุรกิจ มีทางเลือกในการเข้าถึงคลาวด์ได้มากขึ้นด้วย
ส่วนนักลงทุนอย่างเรา ถ้าสนใจลงทุนในหุ้นบริษัทที่ทำธุรกิจคลาวด์ ก็สามารถไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้โดยตรงผ่านแอปพลิเคชันที่เปิดให้ลงทุนตรงในหุ้นต่างประเทศ หรืออาจจะลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับธุรกิจคลาวด์ก็ได้
อ่านเพิ่ม