การ “เลือกตั้งสหรัฐ” ปี 2020 ที่จะถึงในวันที่ 3 พ.ย.นี้ เป็นการต่อสู้ระหว่างประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” จากพรรครีพับลิกัน และตัวแทนจากพรรคเดโมแครตอย่าง “โจ ไบเดน” อดีตรองประธานาธิบดีคู่บุญในของรัฐบาลโอบามา โดยทั้งสองฝ่าย มีนโยบายในด้านเศรษฐกิจที่ทั้งเหมือนและแตกต่างกันในเวลาเดียวกัน
พี่ทุยเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นโยบายทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจโลก การทำสงครามการค้ากับจีนของสหรัฐฯ กลายเป็นปัจจัยที่นำมาพูดถึงแทบทุกครั้งที่เกิดความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลก
ขณะที่ในแง่ของผู้บริโภคเองก็ได้รับผลกระทบเข้าไปเต็ม ๆ เช่น กรณีที่ Huawei ต้องโบกมือลาแอปพลิเคชันติดเครื่องของ Google จนทำให้ผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือของ Huawei ต้องประสบความยุ่งยากในการใช้งาน ซึ่งพี่ทุยก็เคยใช้ Huawei และเจอปัญหาหลายอย่างเวลาจะใช้แอปพลิเคชันของ Google
สงครามการค้าจะยังคงมีอยู่หรือไม่ หลัง “เลือกตั้งสหรัฐ” เสร็จสิ้น ?
ในขณะที่การดำรงตำแหน่งเทอมแรก ทรัมป์ได้เดินหน้าเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาค้าเสรีไปแล้ว ทั้งกับแคนาดาและเม็กซิโก หรือที่เรียกกันว่า “นาฟต้า” และยังทำตามที่ให้สัญญาไว้เมื่อตอนหาเสียงในปี 2016 ด้วยการลาออกจากการเป็นสมาชิกการค้าเสรีขนานใหญ่ระหว่างสหรัฐและเอเชียอย่าง Trans-Pacific Partnership หรือ TPP
นโยบาย “อเมริกามาก่อน” (America First) ของทรัมป์ยังเป็นฉนวนทำให้เกิด “สงครามการค้า” กับจีน และก่อให้เกิดการตั้งภาษีนำเข้าตอบโต้กันไปมาอย่างหนักหน่วงเป็นระยะเวลาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา พร้อมกับความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนไปถึงกรณีของ Huawei และ TikTok ที่ยังคงไม่ได้บทสรุปจนถึงทุกวันนี้
ในขณะที่ทรัมป์ไม่มีท่าทีจะเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าในปัจจุบันของตัวเอง ไบเดนกลับมีท่าทีที่อ่อนกว่าอย่างชัดเจนเมื่อต้องดีลกับนานาชาติ โดยไบเดนเคยกล่าวไว้ว่าจะไม่ใช้การตั้งกำแพงภาษีเพื่อกดดันคู่ค้า แต่จะใช้วิธี “สันติ” อย่างการเจรจาจัดตั้งพันธมิตรและคู่ค้าแทน
แต่ดูเหมือนไบเดนจะไม่ได้สนับสนุนการค้าเสรีในระดับเดียวกับอดีตประนาธาธิบดีบารัก โอบามา ผู้ริเริ่มโครงการ TPP เนื่องจากนโยบายการค้าหลักของไบเดน คือการลงทุนในเศรษฐกิจประเทศ โดยเฉพาะด้านนวัตกรรมและช่วยเหลือชนชั้นกลางเป็นอันดับแรก
เหตุผลที่ทั้งคู่ยังไม่ให้ความสนใจกับการค้าระหว่างประเทศในตอนนี้ เป็นเพราะภารกิจอย่างแรกในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐไม่ว่าจะเป็นทรัมป์หรือไบเดน ก็ต้องมุ่งไปที่การแก้ไขเศรษฐกิจภายในประเทศที่ได้ผลกระทบรุนแรงจากการระบาดของโควิด-19 ก่อน
ใครได้เป็นประธานาธิบดี อุตสาหกรรมไหนได้-เสีย ?
ในหมวดของพลังงาน หากไบเดนสามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ จะทำให้หุ้นของ “พลังงานทางเลือก” ได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากพรรคเดโมแครตเป็นที่รู้กันดีว่าให้การสนับสนุนพลังงานทางเลือกและไม่สนับสนุนพลังงานฟอสซิลหรือถ่านหินที่ก่อให้ภาวะเรือนกระจก ซึ่งการสนับสนุนนี้อาจรวมไปถึง “รถยนต์พลังงานไฟฟ้า” ด้วย
อย่างที่พี่ทุยได้เล่าให้ฟังไปแล้วว่าไบเดนแข็งกร้าวน้อยกว่าทรัมป์ในเรื่องสงครามการค้า จึงทำให้หุ้นของบริษัทที่มี Supply Chain อยู่ที่จีนได้รับความน่าสนใจมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ JP Morgan ระบุว่า Procter & Gamble (P&G) และ 3M จะเป็นหนึ่งในบริษัทที่น่าจับตามองมาก เพราะต่างเคยได้รับผลกระทบจากการทำสงครามการค้า
เมื่อปี 2019 David Taylor ซีอีโอของ P&G ได้บอกว่า ภาษีนำเข้าที่ทรัมป์ตั้ง ทำให้ต้นทุนในการผลิตมีดโกนแบรนด์ Gillette สูงขึ้น ขณะที่ Mike Roman ซีอีโอของ 3M ผู้ผลิต Post-it ก็เคยบอกเหมือนกันว่า 3M จำเป็นต้องลดการผลิตและลดคนงานลง 2,000 คน เพราะต้นทุนที่สูงขึ้นจากสงครามการค้า ดังนั้น หากสงครามการค้าทุเลาลง จะช่วยลดปัจจัยกดดันต่อบริษัทเหล่านี้ได้มาก
อย่างไรก็ตาม ไบเดนต้องการขึ้นภาษี ทั้งภาษีเงินได้ในอัตราสูงสุดให้กลับไปในระดับเดิมที่ 39.6% หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปรับลดลงมาเหลือ 37% ขณะที่ขึ้นภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 28% รวมถึงขึ้นภาษีกับบริษัทต่างชาติที่มีบริษัทลูกอยู่ในสหรัฐเป็น 21% เพิ่มขึ้นถึงเท่าตัวเลยทีเดียว พี่ทุยว่าเรื่องนี้ เราก็คงต้องจับตามองเหมือนกันว่าตลาดจะให้ผลตอบรับแบบไหน
ในทางกลับกัน ทรัมป์จะยังคงเดินหน้าลดภาษีให้กับชาวอเมริกันและบริษัทต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยจะขยายการลดภาษีในครั้งก่อนที่จะสิ้นสุดในปี 2025 ออกไปอีก การลดอัตราภาษีของทรัมป์นั้นรวมถึงการใช้อัตราภาษีเดียวสำหรับนิติบุคคลที่ 21% ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับระดับเดิมก่อนหน้าที่ทรัมป์จะรับตำแหน่งที่อยู่สูงถึง 39%
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังมีท่าทีผ่อนปรนต่อการกำกับดูแลภาคธนาคารมาโดยตลอด เช่น การยกเลิกกฎหมายการกำกับดูแลธนาคาร Dodd-Frank เมื่อปี 2018 ซึ่ง Dodd-Frank เป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นมาเพื่อควบคุมบรรดาธนาคารไม่ให้เข้าไปลงทุนเสี่ยง ๆ จนซ้ำรอยวิกฤตการเงินเมื่อปี 2008 อีก โดยเป็นจุดยืนที่ต่างกับพรรคเดโมแครตอย่างชัดเจน
ในทางตรงกันข้ามกับพรรคเดโมแครตอีกเช่นเคย ทรัมป์บอกเสมอว่าไม่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นเรื่องจริง และนั่นทำให้ทรัมป์สนับสนุนบริษัทผู้ผลิตพลังงานฟอสซิลมาโดยตลอด
ตอนนี้โพลให้ไปทางไบเดนเฉือนชนะทรัมป์อยู่ ซึ่งหากทรัมป์พ่ายแพ้ในครั้งนี้ จะเป็นประธานาธิบดีคนแรกนับตั้งแต่จอร์จ บุช คนพ่อ ที่ไม่สามารถไปต่อในสมัยที่สองได้ในการเลือกตั้งปี 1992
แต่พี่ทุยได้บทเรียนจากเลือกตั้งครั้งก่อน ตอนปี 2016 ฮิลลารี คลินตัน ก็นำทรัมป์แบบนี้แหละ และใคร ๆ ก็เชื่อว่าเธอจะได้รับชนะ แต่ผลกลับออกมาพลิกโพลล์จากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว เพราะของแบบนี้ พี่ทุยว่าเราต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว
เปรียบเทียบนโยบาย โดนัลด์ ทรัมป์ vs โจ ไบเดน
ด้านการค้าระหว่างประเทศ
- โดนัลด์ ทรัมป์
- ไม่มีท่าทีเปลี่ยนแปลงการทำสงครามการค้า
- โจ ไบเดน
- เลือกวิธีสันติกว่าด้วยการเจรจามากกว่าตั้งกำแพงภาษี
การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19
- โดนัลด์ ทรัมป์
- เซ็นต์กฎหมายช่วยเหลือไปแล้ว 4 ฉบับ
- ช่วยเหลือวงเงิน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- โจ ไบเดน
- ให้สัญญาจะช่วยเหลือด้วยวงเงินที่มากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมเปิดแผน 7 จุด
- รณรงค์ให้สวมหน้ากาก
พลังงานและสิ่งแวดล้อม
- โดนัลด์ ทรัมป์
- ไม่เชื่อในภาวะโลกร้อน
- ให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิลและถ่านหิน
- โจ ไบเดน
- ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหลือศูนย์ภายในปี 2050
- สนับสนุนพลังงานทางเลือก
ภาษี
- โดนัลด์ ทรัมป์
- ต้องการขยายระยะเวลาลดภาษีบุคคลธรรมดาและบริษัท
- โจ ไบเดน
- ต้องการขึ้นภาษีรายได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล
การกำกับดูแลธนาคาร
- โดนัลด์ ทรัมป์
- เป็นผู้เดินหน้ายกเลิกกฎหมายควบคุมธนาคารลงทุนเสี่ยง
- โจ ไบเดน
- สมาชิกพรรคเป็นตัวตั้งตัวตีสนับสนุนการควบคุมธนาคาร
กลุ่มหุ้นที่คาดจะได้รับประโยชน์
- โดนัลด์ ทรัมป์
- ธนาคาร
- พลังงานฟอสซิล
- กิจการทั่วไปที่ได้รับประโยชน์จากการลดภาษี
- โจ ไบเดน
- พลังงานทางเลือก
- พาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV)
- บริษัทที่มี Supply Chain อยู่ในจีน
ถ้าใครอยากอ่านกรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เลี่ยงภาษีมามากกว่า 10 ปี เข้าไปอ่านต่อได้เลย ที่นี่
Comment