เสื้อคอเต่าสีดำ กางเกงยีนซีดทรงหลวม รองเท้ากีฬาคู่ใหญ่ ถ้าพูดถึงการแต่งตัวแบบนี้ หลายๆคนก็คงจะนึกชายผู้ยิ่งใหญ่ ที่วันหนึ่งขึ้นมากลางเวทีและเริ่มพลิกโฉมโลกทั้งใบ เชื่อว่าเราทุกคนคงรู้จักชายที่ชื่อว่า Steve Jobs
นวัตกรผู้สร้างนวัตกรรมสุดยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษ ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะจากไปนานแล้ว แต่ชิ้นส่วนทางความคิดที่หลงเหลือไว้กลับมากพอที่จะทำให้ชื่อของเขากลายเป็นตำนานไปตลอดกาล
คราวนี้พี่ทุยอยากให้ลองนึกภาพว่าตัวเองว่าต้องมารับช่วงต่อจากชายคนนี้ดูสิ จะรู้สึกยังไง ภาคภูมิใจ? กดดัน? หรือแค่ทำตามๆอย่างที่เขาเคยทำ? มันคงเป็นเรื่องน่าปวดหัวเหลือเกินสำหรับผู้ชายชื่อ Tim Cook ผู้บริหารคนใหม่ที่มารับช่วงต่อจากมรดกระดับโลกอย่างบริษัทแอปเปิล
ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา CEO ของบริษัท Apple ได้รับการพูดถึงในสื่ออีกครั้ง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ดันเผลอเปลี่ยนชื่อของเขาจาก Tim Cook เป็น Tim Apple ถึงแม้ว่าภายหลังท่านประธานาธิบดีนักแปลงชื่อผู้นี้จะออกมาทวีตแก้ตัวว่านั่นเป็นการรวบคำระหว่างชื่อของ Tim Cook กับชื่อบริษัท เพื่อให้ไวและเข้าใจง่าย แต่มันทันซะที่ไหนเล่า
ไหนๆ ใครเป็นเหล่าสาวกของแอปเปิลบ้าง หรือเป็นคอเทคโนโลยี ที่คอยตั้งตารองานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของแอปเปิลในทุกๆปี ก็คงคุ้นชื่อผู้ชายคนนี้อยู่บ้าง ในฐานะของผู้สืบทอดบัลลังก์อาณาจักร Holy Apple Empire ต่อจาก Steve Jobs แล้วต่อจากนั้นล่ะ CEO ผู้มีบทบาทน้อย ไม่หวือหวาอย่าง CEO คนก่อน เลยทำให้คนรู้จักกับเขาน้อยเหลือเกิน
ถ้าเทียบกับจ็อบส์แล้ว Tim Cook เป็นที่รู้จักหรือพูดถึงน้อยกว่ามาก ก็น้อยจนขนาดที่ว่าประธานาธิบดียังเรียกชื่อเขาผิดนั่นแหละ (ถ้าเป็นพี่ทุยนี่น้อยใจตายเลย) ถึงแม้ว่า Tim Cook จะเป็นผู้บริหารบริษัทลำดับต้นๆของโลก แต่ด้วยบุคลิกที่คนละเรื่องกันกับจ็อบส์ และความเป็นนักประดิษฐ์คิดค้นที่น้อยกว่ามาก ทำให้เขาไม่มีอะไรน่าหวือหวาดึงดูดพื้นที่สื่อมากเท่าไหร่นัก
แต่ที่จริงแล้วเขาคนนี้กลับไม่ธรรมดา ถึงแม้จะไม่สามารถแทนที่จ็อบส์ได้ แต่เขาก็มีแนวทางพา Apple เดินหน้าสู่ความยิ่งใหญ่ในแบบของเขาเอง
สุภาพ พูดน้อย แต่เข้มงวดและเปี่ยมด้วยวินัยในการทำงาน ฟังดูช่างตรงข้ามกับจ็อบส์ผู้มากคาแรคเตอร์ แต่ Tim Cook คนนี้เป็นเสมือนหยินที่แสนลงตัวกับหยางอย่างจ็อบส์ เพราะในขณะที่จ็อบส์คือหน้าตาของแอปเปิล Tim Cook ก็เป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าจะเอาแอปเปิลของจ็อบส์มาทำเงินได้อย่างไร
การเข้ามาของ Tim Cook ทำปัญหาต่างๆที่จ็อบส์ต้องแบกเอาไว้ก็คลี่คลายลง
Tim Cook เริ่มต้นชีวิตการทำงานที่บริษัทคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ของยุคนั้นอย่าง IBM โดยไต่ระดับไปจนถึงตำแหน่งผู้อำนวยการคลังสินค้าของทวีปอเมริกาเหนือ ที่นั่น Tim Cook ได้เรียนรู้ระบบการตลาด การออกแบบผลิตภัณฑ์อย่างลึกซึ้ง การจัดการระบบ Supply Chain และระบบ Logistic รวมทั้งการบริหารการลดต้นทุนด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนมีคุณค่ามหาศาลต่อบริษัท Apple ในภายหลัง
ต่อมา Tim Cook ออกจาก IBM เพื่อเข้ารับตำแหน่งรองประธานฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่บริษัท Compaq ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่จ็อบส์กลับมาเป็นผู้นำในบริษัท Apple อีกครั้ง และกำลังมองหาใครสักคนเข้ามาช่วยจัดการความยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นในห้วงที่เขาออกจากบริษัทไป และแน่นอนว่า Tim Cook คือคนคนนั้นนั่นเอง
Tim Cook อาจไม่ใช่นักประดิษฐ์อัจฉริยะ แต่เขาคือนักจัดการมือหนึ่ง
Tim Cook ดำเนินการปิดโรงงานผลิตของบริษัทและเปลี่ยนเป็นทำสัญญากับบริษัทภายนอกให้ผลิตชิ้นส่วนของอุปกรณ์ให้แทน ในทันทีที่เขาเข้ามารับตำแหน่ง Senior Vice President ในทีมปฏิบัติการของแอปเปิล
เขาได้เริ่มวางระบบใหม่ให้กับบริษัทหลายอย่าง ด้วยวิธีนี้ทำให้ชิ้นส่วนต่างๆสามารถผลิตได้ในปริมาณมากยิ่งขึ้นและได้รับการขนส่งอย่างรวดเร็ว Tim Cook ยังเป็นผู้เข้ามาสะสางปัญหาอื่นๆภายในบริษัท โดยเฉพาะคุณภาพการผลิตที่แย่และงบประมาณที่ควบคุมไม่ได้ และยังรื้อระบบการขนส่งจนทำให้ก้าวมาเป็นบริษัทชั้นนำในตลาดได้ ซึ่งผลจากความพยายามของเขาก็เห็นผลชัดเจนขึ้นจากกำไรและมูลค่าของหุ้นที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและชัดเจน Tim Cook จึงกลายเป็นคนข้างเคียงที่จ็อบส์ขาดไปไม่ได้
จนกระทั่งในปี 2007 ปีเดียวกับที่จ็อบส์แนะนำให้โลกรู้จักกับพระเจ้าแห่งโทรศัพท์อย่างไอโฟน Tim Cook ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของ Apple ที่จริงจะเรียกได้ว่าเค้าทำหน้าที่ทางการบริหารแทนจ็อบส์ทั้งหมดก็ว่าได้ เพราะจ็อบส์ลดบทบาทตัวเองไว้เพียงช่วยตัดสินใจในเรื่องที่มีความสำคัญเท่านั้น และต่อจากนั้น อย่างที่เราทราบกันดี จ็อบส์เริ่มประสบปัญหาทางสุขภาพหลายครั้ง และ Tim Cook ก็ได้รับโอกาสขึ้นมาดูแลบริษัทแทนในฐานะซีอีโอชั่วคราว ก่อนที่จ็อบส์จะจากไปตลอดกาลและส่งมอบมงกุฎให้เขาอย่างสมบูรณ์
Apple ในสายตาของ Tim Cook คือบริษัทที่ประสบความสำเร็จแล้ว แต่ยังสามารถประสบความสำเร็จได้อีก
ในเดือนสิงหาคมของปีที่แล้ว Apple กลายเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันบริษัทแรกที่มีมูลค่าเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯได้ โดยในเวลานั้นหุ้นของบริษัทมีมูลค่าถึงหุ้นละ 207.5 ดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว และแน่นอนว่าทั้งหมดที่พูดมานี้เกิดขึ้นในยุคของ Tim Cook โดยหากเปรียบเทียบระยะเวลาที่ Tim Cook เริ่มรับตำแหน่ง CEO ของบริษัทอย่างเต็มตัวในปี 2011 ตอนนั้นมูลค่าของแอปเปิลอยู่ที่ราวๆเกือบ 400 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น (400 Billion Us Dollar) ก่อนที่ Tim Cook จะพาบริษัทเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งจนมีมูลค่านับล้านล้านในปัจจุบัน
เส้นทางเหมือนจะโปรยไปด้วยกลีบกุหลาบ แอปเปิลกลายเป็นบริษัทที่เติบโตอย่างมั่นคง แต่เรื่องพวกนี้ก็เหมือนจะเป็นแค่ความน่าตื่นตาในตลาดหุ้นเท่านั้น เพราะด้วยวิสัยการเป็น CEO ที่ไม่ได้มีสายตานักประดิษฐ์ของ Tim Cook ทำให้แอปเปิลอาจต้องเผชิญกับความจริงที่ว่า บริษัทของพวกเขาไม่สามารถเปิดตัวเทคโนโลยีที่ทำให้ต้องร้องว้าวได้เหมือนสมัยก่อนอีกต่อไป
โดยหากเรามองย้อนแอปเปิลในร่มเงาของ Tim Cook จะพบว่าแอปเปิลไม่เคยมีผลิตภัณฑ์ที่ปฏิวัติวงการได้เหมือนอย่างในสมัยจ็อบส์ แอปเปิลมีผลิตภัณฑ์สุดไฮป์ออกมาเพียงแค่ iPhone X ที่เอาปุ่ม home ออก Apple Watch หูฟังไร้สายหรือ AirPods Apple Pen และ เอ่ออ เคสชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย ?! เท่านั้น
ถ้ามองในแง่นวัตกรรม โดยเฉพาะยิ่งถ้ามองลงไปในสินค้าหลักของบริษัทอย่างโทรศัพท์ iPhone ก็ดูเหมือนว่าบริษัทคู่แข่งอื่นๆ กำลังเติบโตจนทั้งแซงและใกล้จะแซง Apple ไปเสียแล้ว
โดยในเดือนมกราคม 2019 ที่ผ่านมา ดูเหมือนสิ่งที่พูดไปยิ่งไม่ดูเกินเลย เมื่อ Apple ประกาศรายได้ประจำไตรมาสล่าสุด 84.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งลดลงถึง 5 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เท่านั้นยังไม่พอ รายได้จาก iPhone ยังลดลงไปถึง 15 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับยอดขายของปีก่อนหน้า ทำให้ไตรมาสที่ผ่านมาที่แอปเปิลมีกำไรพุ่งเพิ่มเกือบ 30% อาจจะเป็นแค่ผลจากการขึ้นราคาโทรศัพท์เท่านั้น ถึง Tim Cook จะบอกว่าทั้งหมดเป็นเพียงแค่ปัญหาระยะสั้นจากปัจจัยอื่นๆที่ควบคุมไม่ได้ เช่น สงครามการค้า แต่นี่ก็อาจเริ่มเป็นสัญญาณกลายๆว่าบัลลังก์ของพระเจ้าแห่งวงการโทรศัพท์ อาจกำลังสั่นคลอนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
แต่อย่างที่เคยบอกไปว่าถึง Tim Cook จะไม่ใช่สุดยอดนักประดิษฐ์ แต่เขาคือยอดนักบริหารที่รู้ดีที่สุดว่าจะเอามรดกที่มีอยู่มาทำกำไรอย่างไร ซึ่งสามารถยืนยันได้จากการที่ ถึงแม้ยอดขายโทรศัพท์จะตก แต่รายได้จากผลิตภัณฑ์อื่นๆและธุรกิจบริการกลับเติบโตขึ้นกว่า 19 เปอร์เซ็นต์ โดยรายได้ของธุรกิจบริการสูงสุดเป็นประวัติการที่ 10.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 19 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อน
นอกจากนี้ ยังมีรายได้รายได้จาก MacBook และพวกอุปกรณ์สวมใส่ อุปกรณ์ใช้ภายในบ้าน และอุปกรณ์เสริมที่เพิ่มขึ้นกว่า 9 เปอร์เซ็นต์ และ 33 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ และยังมีรายได้จาก iPad เพิ่มขึ้นกว่า 17 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถ้าสังเกตรายได้เหล่านี้ก็จะเห็นว่า Apple สามารถทำเงินจากผลิตภัณฑ์อื่นๆในบริษัทได้มากขึ้น และ Tim Cook ก็คงจะหาวิธีหาเงินจากของที่มีอยู่ได้ต่อไปมากมากขึ้นเรื่อยๆ
ในวันที่ 25 มีนาคม 2019 ที่ผ่านมา บริษัทได้ยืนยันว่าจะมีการแถลงเปิดตัวบริการใหม่ล่าสุด ที่คาดการณ์กันว่ามันคือ Apple Streaming หรือบริการคอนเทนต์ออนไลน์ของแอปเปิล หากยังจำกันได้เมื่อนานมาแล้ว จ็อบส์เคยเปิดตัว iPod และ itunes และพลิกโลกของการฟังเพลงไปตลอดกาล
แต่ช้าก่อน โปรดลดความคาดหวัง เพราะตลาด Streaming ในปัจจุบันมีหลายเจ้าจนดูกันซะตาเมื่อย แต่ถึงมันจะไม่ว้าวอะไรขนาดนั้น พี่ทุยก็เชื่อว่านี่จะเป็นการเดินเกมครั้งสำคัญของ Tim Cook ที่จะมาดึงเงินในกระเป๋าของผู้บริโภคอย่างเราๆ เพราะก็อย่างที่บอก Tim Cook ไม่ใช่ยอดนักประดิษฐ์ แต่คือยอดนักทำกำไรนั่นเอง
Comment