เป็นกระแสพูดถึงสนั่นกับ The Icon Group บริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์รูปแบบขายตรงออนไลน์ในประเทศไทย ที่มีโมเดลธุรกิจคล้าย ๆ ขายตรงหลาย ๆ เจ้า แต่กำลังถูกตั้งคำถามจากสื่อ Social ว่าเป็นธุรกิจที่ทำให้มีผู้เสียหายมากมายหรือเปล่า เรามาเจาะธุรกิจนี้กัน
The Icon Group คือใคร
The Icon เป็นบริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์รูปแบบขายตรงออนไลน์ ที่มีผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ และ มีระบบออนไลน์ความสะดวกทั้งผู้ซื้อผู้ขาย ก่อตั้งวันที่ 1 มิถุนายน 2561 โดย คุณ วรัตน์พล วรัทย์วรกุล (พอล)
บริษัท The Icon เปิดตัวในช่วงของการระบาดโควิด-19 ด้วยผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ต่อยอดไปผลิตภัณฑ์ความงาม โดยขายสินค้าผ่านตัวแทน มีการสร้างระบบ Drop ship ทำให้ไม่ว่าตัวแทนจะอยู่ที่ไหนก็สามารถทำงาน ทำรายได้ได้ ตัวแทนไม่ต้องสต็อกของ ไม่ต้องเป็นผู้ดำเนินการจัดส่งสินค้า บริษัทมีระบบรองรับทั้งหมด อีกทั้งยังมีการอบรมสอนความรู้การขายของออนไลน์ ทั้งการสร้างตัวตน สร้างเพจ รวมถึงการยิง Ads อีกด้วย
ที่น่าสนใจคือ The Icon มีการจ้างดารานักแสดงที่มีชื่อเสียงมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งสำคัญในบริษัทด้วย โดยมีคุณกันต์ กันตถาวร เป็นประธานเจ้าหน้าที่การตลาด, คุณยุรนันท์ ภมรมนตรี (แซม) เป็นเจ้าหน้าที่การวิจัย และ พีชญา วัฒนามนตรี (มีน) เป็นประธานเจ้าหน้าที่การสื่อสาร
การที่มีดาราดังสนับสนุน อีกทั้ง The Icon ยังได้เคยรับโล่รางวัลในงานวันคุ้มครองบริโภคไทย ปี 2565 อีกด้วย ทำให้ The Icon ได้รับการสนใจและความไว้ใจเป็นอย่างมากในสังคมไทย
โมเดลตัวแทนของ The Icon Group
การเป็นตัวแทนกับ The Icon จะต้องทำการเปิดบิลในครั้งแรกก่อน โดยจะมีให้เลือก 2 รูปแบบ
แบบที่ 1 ขายปลีก จะชำระเงินเพียง 2,500 บาท จะได้กำไรจากการขายปลีก และกำไรเพิ่มจากการนับยอดรวมของเดือนนั้น ๆ
แบบที่ 2 ค้าส่ง จะแบ่งเป็น ขนาดกลางประมาณ 25,000 บาท และ ขนาดใหญ่ (Dealer) ประมาณ 50,000 – 250,000 บาท โดยทั้งสองแบบจะได้กำไร 5 ต่อ โดยมีส่วนที่เพิ่มมาจากขายปลีกคือ ได้เรทพิเศษจากการขายส่ง ได้กำไรเพิ่มจากการเป็นหุ้นส่วน ได้โปรโมชั่นประจำเดือน และพิเศษสำหรับ Dealer จะได้รับกำไรสะสมในรูปแบบคะแนนสะสม
ซึ่ง Dealer ยังได้รับรางวัลหากเปิดบิลที่สูง ไม่ว่าจะเป็นรถหรู ทริปเรือยอร์ช ทริปต่างประเทศ ทองและเงินสด
นอกจากนี้ยังมีทีมยิง Ads ที่จะช่วยหารายชื่อผู้มุ่งหวังให้ตัวแทน สร้างเครือข่ายจากการยิง Ads ได้ แต่ค่าใช้จ่ายนั้นจะเป็นภาระของฝ่ายตัวแทนเป็นผู้ดูแลเอง
งบการเงิน
บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ก่อตั้งกลางปี 2561 ก่อนที่จะมีรายได้ 322 ล้านบาท ในปี 2562 ด้วยกำไร 5.9 ล้านบาท เพียง 2 ปี เท่านั้น ก็สามารถโตกว่า 12 เท่า โตขึ้นมาเป็น 4,949 ล้านบาท หรือ เกือบ 5 พันล้านในระยะเวลาอันสั้น
แต่ที่น่าแปลกคือธุรกิจที่โตอย่างรวดเร็วกลับมีรายได้หายไปครึ่งหนึ่งในปี 2565 เหลือเพียง 2,536 ล้านบาท พร้อมกับกำไรที่เหลือไม่ถึง 1 ใน 4 ของปี 2564 ด้วย และในปี 2566 ก็เหลือรายได้เพียง 1,882 ล้าน และกำไรเหลือเพียง 19.8 ล้านเท่านั้น ลดลงเกือบ 90% ของปี 2565
ผู้ถือหุ้นหลักของ The Icon
บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จดทะเบียนธุรกิจ การขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต
โดยมีผู้ถือหุ้นคือ
- วรัตน์พล วรัทย์วรกุล (บอสพอล) 75%
- จินดา แซ่ก๊อก 21%
- ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร (บอสปัน) 4%
นอกจากเป็นผู้ถือหุ้นหลักของ The Icon Group แล้ว บอสพอล ยังพบเป็นกรรมการและผู้หุ้นในบริษัทอื่นอีกอย่างน้อย 5 แห่ง ซึ่งเลิกกิจการไปแล้ว 1 แห่ง ได้แก่
บริษัท ดิไอคอน เวลเนส จำกัด จดทะเบียนเป็น ธุรกิจคลินิกโรคเฉพาะทาง เป็นศูนย์ความงามครบวงจร
บริษัทดิไอคอนการบัญชี จำกัด จดทะเบียนเป็น ธุรกิจกิจกรรมบริการเพื่อสำนักงานแบบเบ็ดเสร็จ
บริษัท นิรมิตรโกลบอล จำกัด จดทะเบียนเป็น ธุรกิจการขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต
บริษัทเดอะไอคอน แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด จดทะเบียนเป็น ธุรกิจขายส่งเครื่องสำอาง ปัจจุบันมีสถานเสร็จการชำระบัญชี เมื่อปี 2565
บริษัท เฟรนด์ชิป ฟูลฟิลเม้นท์ จำกัด จดทะเบียนเป็น ธุรกิจขนส่งสินค้า ปี 2566 มีรายได้ 20 ล้าน เป็นกำไร 4 ล้าน มีผู้ถือหุ้นเป็น บริษัท ดิไอคอนริช จำกัด 34% บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด 33% บริษัท เซิร์ฟริช จำกัด 33%
บริษัท ไอคอนซูวีเนียร์ จำกัด จดทะเบียนเป็น ธุรกิจการขายปลีกสินค้าอื่น ๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่นบนแผงลอยและตลาด
เสียงผู้ร้องเรียงในรายการ โหนกระแส
ภาพรวมของธุรกิจก็จะเหมือนธุรกิจขายตรงหลาย ๆ เจ้า แต่มีผู้ออกมาร้องเรียนว่าเป็นผู้เสียหายจากธุรกิจนี้ โดยให้ข้อมูลอ้างว่า การตลาดของบริษัทนั้นจะโฟกัสในการชวนคนและยิง Ads เป็นหลัก โดยที่ไม่ได้โฟกัสในการสร้างความรู้ความเข้าใจในตัวสินค้า เน้นการสร้างแรงบันดาลใจและเชื้อเชิญให้ลงทุนสูงเพื่อผลตอบแทนที่สูง และหากขายของไม่ได้ก็จะผลักดันให้ตัวแทนหาคนมาเป็น Downline เพิ่ม มากกว่าการเน้นการขายสินค้า
ซึ่งในด้านของการยิง Ads นั้น ผู้ร้องเรียนอ้างว่า จะเน้นเป็นการหาลูกทีมเพิ่มมากกว่าการยิง Ads เพื่อขายสินค้า ซึ่งคนที่เคยยิง Ads จะทราบดีว่าต้นทุนของการยิง Ads สูงขนาดไหน อีกหนึ่งปัญหาคือราคาจำหน่าย จะเห็นว่าตัวแทนจะมีกฎในการควบคุมราคาสินค้า มีการนำสินค้าไปขายต่อใน Shopee Lazada ในราคาที่ถูกกว่าราคาที่กำหนดไว้ ถึง 1 ใน 5 เลยทีเดียว
และด้วยปัญหาเหล่านี้ ผู้อ้างตนว่าเสียหายมองว่า ทำให้ตัวแทนส่วนใหญ่เน้นการสร้างลูกขายและผลักภาระสินค้า การเปิดบิลไปให้กับตัวแทนใหม่ ๆ และเมื่อมีสินค้าเป็นจำนวนมากและขายไม่ทัน ก็ทำให้หลาย ๆ คนพยายามเอาตัวรอดและขายตัดราคา ส่วนคนที่ไม่มีรายชื่อและต้องจ่ายเงินยิง Ads แลกกับรายชื่อ ยิ่งทำให้คนยิ่งสูญเงินจากการทำธุรกิจนี้มากขึ้น
สุดท้ายนี้ธุรกิจขายตรง หรือ ตัวแทน จะอยู่อย่างยั่งยืนได้นั้น สินค้าและบริการเป็นหัวใจหลักของระบบ หากสินค้าหรือบริการมีคุณภาพก็จะทำให้ธุรกิจแข็งแรง ในด้านของตัวแทนเป็นหนึ่งในช่องทางขยายธุรกิจที่เติบโตเร็ว แต่ก็ต้องระวังเรื่องการควบคุมระบบ เพราะต่อให้บริษัทมีเจตนาที่ถูกต้องแต่หากเครือข่ายใช้วิธีการชักชวนหรือหลอกลวงก็อาจทำให้แบรนด์เสียชื่อเสียงได้
ต่อจากนี้ก็ต้องรอดูการแถลงของฝ่าย “บอสพอล” ว่าจะมีวิธีการแก้ไขวิกฤตของบริษัทครั้งนี้ยังไง เพราะหากธุรกิจโปร่งใสจริง ๆ การกู้ชื่อเสียงบริษัทและการจัดการระบบตัวแทนในช่วงวิกฤตอย่างนี้ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายเป็นอย่างมาก
อ่านเพิ่ม