ร้านทอง เสี่ยงปิดกิจการ ? เพราะคนแห่ขายทอง

ร้านทอง เสี่ยงปิดกิจการ ? เพราะคนแห่ขายทอง

3 min read  

ฉบับย่อ

  • รายได้ร้านทองมีหลายช่องทาง เช่น ค่ากำเหน็จ, ขายทองใหม่ให้ลูกค้า, ขายทองเก่าให้ผู้ส่งออกหรือผู้ผลิต, รับฝากขายทอง รายจ่ายก็มีเช่นกันไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทอง ค่าจ้างช่างทอง ดอกเบี้ยสินเชื่อที่ใช้ทำธุรกิจ เงินเดือนพนักงาน
  • ร้านทองทำเงินจากการจับคู่คนซื้อกับคนขาย แล้วทำกำไรจากส่วนต่าง หรือบวกค่าคอมมิชชั่นเข้าไป ถ้าเป็นทองรูปพรรณก็บวกค่ากำเหน็จ ส่วนทองคำแท่งก็บวกค่าบล็อก แต่ Margin ร้านทองบางเฉียบ ถ้ากำลังซื้อทองลดลง อาจทำให้ร้านทองขนาดเล็กมีรายได้ไม่คุ้มรายจ่าย ต้องปิดตัวลง
  • ในระยะสั้นราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อจากผลของสงคราม ส่วนระยะกลางถึงยาวถูกกดดันด้วย 2 ปัจจัยหลัก คือ ดอกเบี้ยสูงและดอลลาร์แข็ง ถ้าดอกเบี้ยลด ราคาทองคำก็มีโอกาสเป็นขาขึ้น

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ช่วงเดือน มี.ค. 2567 ราคาทองคำ All Time High ทะลุ 38,000 บาท หลายคนจึงน่าจะแห่กันไปขายทอง พี่ทุยก็เลยสงสัยว่า ร้านทอง รับซื้อทองขนาดนี้ จะเอากำไรมาจากไหน มีโมเดลธุรกิจยังไง วันนี้พี่ทุยหาข้อมูลธุรกิจร้านทองมาแชร์กัน พร้อมด้วยปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทอง และแนวโน้มราคาทองคำหลังจากนี้ ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย!!!

รายละเอียดธุรกิจที่ต้องรู้ของ ร้านทอง

ทองคำที่ขายในร้านทองแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

  • ทองคำแท่ง คือ ทองคำที่ยังไม่ได้ขึ้นรูปเป็นเครื่องประดับ มีลวดลาย ซึ่งในประเทศไทยมีขายทองคำแท่ง 2 ประเภท ได้แก่ ทองคำแท่ง 99.99% และทองคำแท่ง 96.5%
  • ทองรูปพรรณ คือ ทองคำที่ถูกนำไปเปลี่ยนรูปเป็นเครื่องประดับ สิ่งของตกแต่ง ใส่ลวดลายให้สวยงาม แบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ทองรูปพรรณ 99.99% และทองรูปพรรณ 96.5%

แหล่งรายได้ร้านทอง มีหลายช่องทางขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการจะทำธุรกิจอื่นควบคู่ไปด้วยหรือไม่ เช่น ค่ากำเหน็จ, ขายทองใหม่ให้ลูกค้า, ขายทองเก่าให้ผู้ส่งออกหรือผู้ผลิต, รับฝากขายทอง, รับจำนำ และบริการอื่น ๆ

แน่นอนว่าก็ต้องมีรายจ่าย ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทอง ค่าจ้างช่างทอง ดอกเบี้ยสินเชื่อที่ใช้ทำธุรกิจ เงินเดือนพนักงาน ค่าเช่า ค่าไฟ ค่าน้ำ ระบบรักษาความปลอดภัย

กำไร ร้านทอง มาจากไหน ?

ร้านทองจะมีกำไรได้ก็ต้องมาจากรายได้มากกว่ารายจ่าย แต่คงเห็นว่าธุรกิจก็แค่ซื้อขายทองคำ แถมบางครั้งราคาทองก็ผันผวนด้วย โมเดลธุรกิจร้านทองคล้ายกับธุรกิจรับแลกเงิน จับคู่คนซื้อกับคนขาย แล้วทำกำไรจากส่วนต่าง หรือบวกค่าคอมมิชชั่นเข้าไป

ธุรกิจร้านทองมีรายได้หลักจากค่ากำเหน็จ นับเป็นแหล่งที่ทำให้ร้านทองไม่ขาดทุน โดยค่ากำเหน็จ คือ ค่าดำเนินการในการผลิตหรือแปรรูปทองรูปพรรณ ร้านทองจะบวกค่ากำเหน็จให้คุ้มค่าครอบคลุมรายจ่าย ซึ่งร้านจะบวกเพิ่มขนาดไหนก็ขึ้นกับลวดลาย ความยากง่ายในการผลิต เลยจะเห็นว่าราคาทองรูปพรรณมีราคาขายสูงกว่าทองคำแท่ง

ส่วนทองคำแท่งนอกจากมีรายได้จากส่วนต่างราคาขายกับราคารับซื้อแล้ว ร้านทองยังบวกค่าบล็อกซึ่งก็คือค่าใช้จ่ายในการหลอมทองคำแท่ง

ถ้าคนแห่ขาย ร้านทองไม่เจ๊งหรอ?

ในสถานการณ์ปกติร้านทองจะบริหารความเสี่ยง แล้วหากำไรจากส่วนต่างบวกค่ากำเหน็จ แต่ถ้าช่วงที่ทองขึ้น คนแห่ขายเยอะ แน่นอนว่าร้านทองก็รับซื้อทองเข้ามาด้วยราคาสูงขึ้น ในช่วงสั้น ๆ ทองส่วนที่ซื้อเข้ามาก็ต้องมีโอกาสขาดทุนกันบ้าง แต่ทองในคลังที่ซื้อมาก่อนหน้าก็ราคาขึ้นตามเหมือนกัน

แต่ที่ร้านทองที่ไม่เจ๊ง เพราะร้านทองบริหารความเสี่ยง ซึ่งก็คือ บริหารทองในคลังให้เหมาะสม หาสมดุลระหว่างทองที่ซื้อเข้ามาใหม่กับทองที่มีอยู่ในคลังแต่เดิม ไม่เก็งกำไรสินค้าคงคลัง และมีสภาพคล่องเพียงพอ

เมื่อบริหารสินค้าในคลังเหมาะสม มีสภาพคล่องให้กิจการผ่านระยะเวลาไปได้สักพัก ร้านทองก็จะเดินตามโมเดลทำกำไรจากส่วนต่างราคาซื้อขายและค่ากำเหน็จ (ค่าบล็อก)

ดังนั้นความยากของธุรกิจร้านทอง คือ การบริหารความเสี่ยง และการแห่ขายหรือแห่ซื้ออาจไม่ใช่สิ่งที่ร้านทองต้องการมากที่สุด แต่เป็นช่วงตลาดคึกคัก มีทั้งคนซื้อ-คนขายตลอดทั้งวัน เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคาซื้อและขาย

ช่วงปี 2566 ร้านทอง ขนาดเล็กทยอยปิดตัวเพราะอะไร ?

ข้อมูลผลประกอบการจาก DBD DataWarehouse+ ปี 2565

  • บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัซ จำกัด รายได้ 1.31 ล้านล้านบาท กำไรสุทธิ 236.7 ล้านบาท Margin 0.018%
  • บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด (ห้างทองแม่ทองสุก) รายได้ 617,105 ล้านบาท กำไรสุทธิ 35 ล้านบาท Margin 0.0056%
  • และบริษัท วาย แอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รายได้ 738,962 ล้านบาท กำไรสุทธิ 72.2 ล้านบาท Margin 0.0097%

จะเห็นว่าแม้เป็นร้านทองขนาดใหญ่ของประเทศ แต่ Margin บางเฉียบ มีต้นทุนขายประมาณ 99% ของรายได้

ร้านทองขนาดใหญ่อาจมีรายได้จากธุรกิจอื่น เช่น แพลตฟอร์มเทรดทองออนไลน์, ขายทองเก่าให้ผู้ส่งออกหรือผู้ผลิต

แต่ถ้าเป็นร้านทองขนาดเล็กก็ไม่มีเม็ดเงินพอทำธุรกิจอื่นเสริม ประกอบกับเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้นตัว กำลังซื้อลดลง เมื่อไม่มีการซื้อการขาย แม้จะร้านทองยังมีกำไรจากส่วนต่างและค่ากำเหน็จ แต่ด้วยยอดขายที่ลดลง ทำให้รายได้อาจไม่คุ้มค่ากับรายจ่ายคงที่ เช่น ค่าเช่า เงินเดือนพนักงาน ก่อนหน้านี้จึงมีกระแสร้านทองขนาดเล็กปิดกิจการ

ปัจจัยที่กระทบทิศทางราคาทองคำ

ก่อนอื่นเริ่มที่ราคาทองคำโลกซึ่งราคาทองคำในประเทศไทยอ้างอิงอยู่ มี 2 ปัจจัยหลัก ที่ทั้งช่วยหนุนราคาให้ขึ้นหรือกดดันราคาลง

  • อัตราดอกเบี้ย

ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่จ่ายผลตอบแทนทั้งดอกเบี้ยหรือเงินปันผล นักลงทุนเลยคำนวณความคุ้มค่าระหว่างถือเงินสดฝากธนาคารกินดอกเบี้ย กับเอาเงินสดไปซื้อทองคำ

ช่วงที่อัตราดอกเบี้ยกำลังเพิ่มขึ้นหรือดอกเบี้ยสูง นักลงทุนเลยมักขายทองคำหรือไม่ซื้อทองคำเพิ่ม แล้วเอาเงินสดไปฝากธนาคาร ราคาทองคำจึงไม่ค่อยขึ้นตอนช่วงดอกเบี้ยเพิ่มหรือดอกเบี้ยสูง

ช่วงที่อัตราดอกเบี้ยกำลังลดลงหรือดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนคิดว่าการถือเงินสดไม่ค่อยมีประโยชน์ จึงเอาเงินสดออกมากระจายความเสี่ยงซื้อทองคำ ราคาทองคำจึงมักเพิ่มขึ้นตอนช่วงดอกเบี้ยลดหรือดอกเบี้ยต่ำ

  • ค่าเงินดอลลาร์

ทองคำในตลาดโลกซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์ ดังนั้นเงินดอลลาร์เลยกลายเป็นต้นทุนของทองคำไปด้วย ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เงินดอลลาร์แข็งค่า ก็แปลว่าเงินดอลลาร์มีค่ามากขึ้น ต้นทุนซื้อทองคำก็มากตาม นักลงทุนเลยไม่ค่อยอยากเสียเงินดอลลาร์ซื้อทอง ราคาทองจึงลดลงเมื่อเงินดอลลาร์แข็งค่า ในทางกลับกัน ถ้าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ต้นทุนซื้อทองคำก็ลดลง นักลงทุนมีความยินดีซื้อทองคำมากขึ้น ราคาทองจึงเพิ่มขึ้นเมื่อเงินดอลลาร์อ่อนค่า

แต่ทุกปัจจัยจะไม่มีผลทันที ราคาทองคำจะเพิ่มขึ้น ถ้าเกิดเหตุการณ์อันตรายที่ไม่คาดคิด เช่น สงครามยูเครน-รัสเซีย, สงครามอิสราเอล-ฮามาส, โรคระบาด COVID-19

ส่วนราคาทองคำในประเทศไทยต้องคิดเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนบาท-ดอลลาร์ เข้าไปด้วย ถ้าเงินบาทอ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์ ก็ช่วยหนุนให้ราคาทองคำในประเทศเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเงินบาทแข็งค่าเทียบกับดอลลาร์ ก็กดดันราคาทองคำในประเทศปรับตัวลง

ส่องแนวโน้มราคาทองคำ จะขึ้นหรือลง?

ช่วงต้นปี 2567 ที่ทองวิ่งกระฉูดขนาดนี้ ส่วนหลัก ๆ น่าจะมาจากการตุนสำรองทองคำของธนาคารกลางของหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งคาดการณ์จาก World Gold Council ก็มองว่าปีนี้จะเป็นอีกปีที่ความต้องการทองคำจากธนาคารกลางค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะธนาคารกลางจากตลาดเกิดใหม่

ถ้านับดูการเข้าซื้อขายทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศตั้งแต่ปีที่ผ่านมา จนถึงเดือน ม.ค. 2567 ก็พบว่า ธนาคารกลางซื้อสุทธิติดต่อกัน 8 เดือนแล้ว ปัจจัยสำคัญ ๆ คือ ธนาคารกลางมองว่า การถือทองคำจะสามารถรักษามูลค่า ตอบสนองต่อภาวะวิกฤตได้ รวมทั้งช่วยกระจายความเสี่ยง รับมือกับเงินเฟ้อได้

ดั้งนั้นปัจจัยหลายอย่างตอนนี้ จึงหนุนให้ราคาทองมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นได้ไม่ยาก ทั้งการซื้อทองคำของธนาคารกลางที่ยังแข็งแกร่ง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังสูง ความต้องการลงทุนทองคำของรายย่อยที่อยู่ในช่วงใกล้ฟื้นตัว และความต้องการทองคำของรายย่อย ที่มีแรงขับเคลื่อนมาจากความมั่งคั่งที่สูงขึ้น

อีกทั้ง Fed มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ย ช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ค่อนข้างสูง โดยคาดว่าจะเป็นแรงส่งสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำจะปรับขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดใหม่อีกครั้ง ที่ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในปี 2568

ธุรกิจร้านทองทำกำไรจากส่วนต่างราคาซื้อกับขาย พร้อมกับบวกค่าคอมมิชชั่นเข้าไป เช่น ค่ากำเหน็จ ค่าบล็อก ถ้าเป็นร้านทองใหญ่อาจมีธุรกิจอื่นเสริม ซึ่งโดยรวมแล้วกำไรบางเฉียบ ทำให้ร้านทองขนาดเล็กปิดตัวลงบ้าง

ส่วนราคาทองคำก็ขึ้นในระยะสั้นจากผลของสงคราม ส่วนระยะกลางถึงยาวถูกกดดันด้วยดอกเบี้ยสูงและดอลลาร์แข็ง

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย