กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์สำหรับการตัดสินคดีความระหว่าง “เสือพ่นไฟ” (Fire Tiger) และ “หมีพ่นไฟ” ที่ศาลให้เสือเป็นผู้ชนะ โดยระบุว่าทางหมีได้ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของเสือ และสั่งให้จ่ายค่าชดเชยเป็นเงินถึง 10 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม กระแสวิพากษ์วิจารณ์กลับไม่ได้ตกไปที่ตัว “หมี” แต่ตกไปที่ตัว “เสือ” ที่เป็นผู้ชนะคดี เพราะก็เจอกับคำครหาว่า “เสือพ่นไฟ” เองก็ก๊อปปี้มาจากแบรนด์ Tiger Sugar ของไต้หวันอีกทีนึง ซึ่งกระแสลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อปี 2019 โดยทางเจ้าของแบรนด์เสือพ่นไฟได้ฟ้องร้องหมิ่นประมาทคนที่วิจารณ์ไปบางส่วนแล้ว
พี่ทุยมาสรุปให้ฟังกันว่า ทำไมศาลถึงมองว่าหมีพ่นไฟเป็นคนก๊อปปี้แบรนด์เสือ แต่ก่อนถึงตรงนี้ พี่ทุยพามารู้จักกับที่มาของเสือพ่นไฟกันก่อน
“เสือพ่นไฟ” (Fire Tiger) คืออะไร ใครเป็นเจ้าของ ?
“เสือพ่นไฟ” หรือ Fire Tiger เป็นแบรนด์ชานมไข่มุกภายใต้ บริษัท รวยสบายสบาย จำกัด โดยมีกรรมการบริษัทจำนวน 2 คน ได้แก่ นางสาวนันทนัช เอื้อศิริทรัพย์ และนางสาวชุติมา เปรื่องเมธางกูร
ทั้งคู่ประสบความสำเร็จในธุรกิจอาหารปิ้งย่างเกาหลี ร้าน ‘Nice Two Meet U’ โดยนำแฟรนไชส์จากประเทศเกาหลีเข้ามาเปิดที่สยามสแควร์ซอย 3 เป็นแห่งแรกในปี 2016 ซึ่งจากทำเลที่ตั้งและเมนูอาหารจานเด็ดอย่าง “ปูดอง” ก็ทำให้ร้านปิ้งย่างประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาน จนคิวต่อแถวกันยาวเหยียด
จากการต่อแถวยาวเหยียดนั้นเอง ทั้งสองคนก็ต่างมองว่า ควรจะต้องรีบให้ลูกค้าออกจากร้านได้เร็วที่สุดหรือการเพิ่มอัตราหมุนเวียนโต๊ะ (Turnover Rate) เพื่อไม่ให้ลูกค้ารอนานและสามารถทำกำไรได้อย่างเต็มที่ จึงตัดสินใจไม่ขายขนมในร้านเพราะไม่ต้องการให้ลูกค้านั่งนานเกินไป
จากจุดนี้เองที่ทำให้หันมาตั้งร้านขายขนมและเครื่องดื่มข้าง ๆ ร้านปิ้งย่าง โดยใช้ชื่อ Seoulcial Club ซึ่งให้กลิ่นอายของเกาหลี และเสิร์ฟของหวานที่ขาดไปในร้านปิ้งย่าง
แต่ร้านขนม Seoulcial Club กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แม้จะตั้งอยู่ใจกลางสยาม แถมยังตั้งติดกับร้านอาหารคาวที่มีคนต่อคิวกันยาวเหยียด ซึ่งทั้งสองคนก็มองว่าเป็นเพราะร้านขาดผลิตภัณฑ์ตัวหลักที่จะดึงดูดลูกค้า ไม่เหมือนร้าน Nice Two Meet U ที่โด่งดังมาได้เพราะปูดอง
จนในที่สุดก็เมนูเด็ดของร้าน คือ “ชานมไข่มุกน้ำเชื่อมน้ำตาลทรายแดงท็อปครีม” ที่ขายดีมากจนต้องแยกร้านออกไปต่างหากที่ใช้ชื่อว่า Fire Tiger by Seoulcial Club
เส้นทางของธุรกิจ Fire Tiger เติบโตไปได้สวย
เสือพ่นไฟเปิดตัวในปี 2018 ที่สยามสแควร์ซอย 7 เป็นที่แรก โดยมีจุดเด่นที่การเสิร์ฟสินค้าผ่านปากเสือ ถือเป็นจุดดึงดูดลูกค้าควบคู่ไปกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นชานมไข่มุก และสร้างกระแสในโลกออนไลน์ผ่านการถ่ายรูปลงโซเชียล
นอกเหนือจากการขยายสาขาจนมากกว่า 10 สาขาในปัจจุบัน ทางแบรนด์ยังได้ทำการตลาดด้วยการเข้าไป Co-Brand กับ MK ขายชานมไข่มุกในร้านสุกี้ และไปร่วมมือกับทาง Netflix สตรีมมิ่งชื่อดังในการจิบชาดูหนัง โดยได้สร้างสรรค์เมนูพิเศษล้อไปกับซีรีส์เกาหลีชื่อดัง ซึ่งเป็นออริจินัลของ Netflix อย่าง Kingdom
ผลประกอบการของบริษัท รวยสบายสบาย จำกัด ที่จดทะเบียนในปี 2019
ปี 2019
รายได้ 75,830,660 บาท
กำไร 3,851,921 บาท
ปี 2020
รายได้ 91,083,348 บาท
กำไร 3,904,020 บาท
แม้ว่ากำไรจะไม่ได้เติบโตมากนักในยุคโควิด-19 แต่เพราะด้วยธุรกิจชานมไข่มุกที่กำลังเติบโตไปได้ด้วยดีนี้เอง จึงทำให้เกิดการแข่งขันตามมาอย่างมหาศาล
กลยุทธ์การก๊อปปี้ทำให้แบรนด์อื่น ๆ เข้ามาแข่งได้
ในหนังสือ Marketing Management ของ Philip Kotler และ Kevin Keller ซึ่งนับเป็นตำรา Marketing ที่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วโลกใช้กัน ได้บอกว่ามี 3 กลยุทธ์ของแบรนด์ที่ตามหลังอยู่ แต่ต้องการแทรกตัวเข้ามาอยู่ในตลาด คือ
1. ก๊อบปี้ให้เกือบเหมือน เช่น การตั้งชื่อให้คล้ายกัน
2. ก๊อปปี้บางอย่าง แต่เปลี่ยน Packaging
3. ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ เช่น เพิ่มบริการที่แปลกใหม่
ซึ่งการทำแบบนี้ เหมือนเป็นทางลัดขึ้นทางด่วนที่ทำให้แบรนด์นั้น ๆ แทรกซึมเข้ามาอยู่ในตลาดที่แสนดุเดือดได้
จึงไม่แปลกที่จะเห็นเหล่าสรรพสัตว์พ่นไฟออกมาโลดแล่นในตลาดชานมไข่มุก โดยทางหมีพ่นไฟ (The Fire Bear) เป็นชานมที่ขายในตลาด Medium คือ ราคากลาง ๆ ไม่เกิน 70 บาท เพื่อหลบคู่แข่งตัวหลักอย่าง Fire Tiger ที่ขายอยู่ในตลาดพรีเมี่ยมที่ขายอยู่ที่แก้วละ 100 บาทขึ้นไป
พี่ทุยรู้จักหมีพ่นไฟครั้งแรกตอนไปเที่ยวตรัง และเพื่อนพี่ทุยก็บอกเช่นกันว่าที่เพชรบุรีก็มีร้านลักษณะนี้ จึงไม่แปลกถ้าพี่ทุยจะคิดว่า หมีพ่นไฟ ใช้กลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” เริ่มจากเมืองรอง ๆ ถึงค่อยเข้าสู่เมืองใหญ่และเมืองหลวง ซึ่งสาขาในเมืองรองเหล่านั้น คือสาขาที่ Fire Tiger ไม่ครอบคลุมนั่นเอง
แต่ในที่สุด การก๊อปปี้ที่มากเกินไป ก็นำไปสู่การฟ้องร้องกันเกิดขึ้น
ศาลตัดสินว่าอะไรบ้าง ?
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้พิพากษาชี้ขาดว่าทางแบรนด์ The Fire Bear ใช้ประติมากรรมหัวหมีพ่นไฟ ที่มีลักษณะอ้าปากเป็นช่องส่งชานมไข่มุกให้กับลูกค้า ทำให้ลูกค้าเข้าใจผิดได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับทางแบรนด์ Fire Tiger จึงต้องให้ชดเชย 10 ล้านบาทแก่ผู้ฟ้องร้อง
ความผิดในลักษณะนี้ เป็นการละเมิด Trade Dress หรือเครื่องหมายรูปลักษณ์ ดังเช่นหัวเสือที่เป็นช่องส่งชานมไข่มุกนั้นเป็นเครื่องหมายทางการค้าที่สำคัญของแบรนด์ Fire Tiger
จากการสัมภาษณ์ในรายการ The Secret Sauce ของ THE STANDARD บอกว่า คอนเซปต์ของร้านและแบรนด์ดิ้งของร้านต้องเข้มแข็งมากถึงจะสามารถขายได้ เพราะคู่แข่งมีศักยภาพมากพอที่จะทำให้รสชาติ คุณภาพ และการบริการออกมาได้ทัดเทียมกันหมด
ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ทางแบรนด์เสือพ่นไฟ (Fire Tiger) จะหวงเครื่องหมายทางการค้าอย่างหัวเสือที่เป็นช่องสำหรับเสิร์ฟชานมไข่มุก
เสือพ่นไฟ ก็โดนครหาว่าก๊อปปี้มาจาก Tiger Sugar
ในปี 2019 ทางแบรนด์เสือพ่นไฟได้ฟ้องร้องผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งในข้อหาหมิ่นประมาท โดยในข้อความระบุว่า ทางแบรนด์ได้นำชื่อ Seoulcial Club มาใส่ให้ดูเป็นเกาหลี และยัง ไปเอา “เสือ” มาจากไต้หวัน
แน่นอนว่าเพราะมีข้อความที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงจึงเปิดช่องให้สามารถฟ้องร้องหมิ่นประมาทได้
แต่พี่ทุยว่าในคราวนี้ทางแบรนด์เสือพ่นไฟก็ไม่อาจหนีพ้นข้อครหา “ก๊อปปี้” ไปได้โดยง่าย เนื่องจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ Trade Dress ของแบรนด์ แต่เป็นการมุ่งประเด็นไปที่ตัวผลิตภัณฑ์ และดีไซน์น้ำเชื่อมลาย “เสือ” ต่างหาก
ผลิตภัณฑ์ของเสือพ่นไฟนั้นเป็นชานมไข่มุกน้ำเชื่อมน้ำตาลทรายแดงที่ละเลงรอบขอบถ้วยจนเหมือนลายเสือ และท็อปด้วยครีม ซึ่งจุดนี้ก็ไปคล้ายกับชานมจากไต้หวันอย่างแบรนด์ Tiger Sugar
แบรนด์ Tiger Sugar เปิดตัวที่ไต้หวันในปี 2017 และเข้ามาบุกตลาดไทยในปี 2019 โดยในเว็บไซต์ของแบรนด์เองก็เขียนเอาไว้ว่า เป็นต้นตำหรับชาไข่มุกน้ำตาลทรายได้ ที่ท็อปด้านบนด้วยครีม และมีดีไซน์ลายเสือ (จากน้ำเชื่อมน้ำตาลทรายแดง) ซึ่งโดดเด่นไม่เหมือนใคร
“แม้ใครจะพยายามลอกเลียนแบบผลิตภัณฑ์ของเรา แต่ก็ไม่สามารถเทียบเคียงได้กับคุณภาพและการใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมงในการเตรียมน้ำเชื่อมและไข่มุก” ทางแบรนด์ Tiger Sugar เขียนเอาไว้บนเว็บไซต์
หลังจากข่าวชนะการฟ้องร้องหมีพ่นไฟ ทาง Tiger Sugar Thailand ได้ทำคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียด้วยข้อความทำนองว่า “เราของแท้” หรือ “ของแท้ 100%” ซึ่งได้รับเสียงต้อนรับที่ดีอย่างล้นหลาม
อนาคตของ “เสือพ่นไฟ” (Fire Tiger) จะเป็นยังไง ?
ในปี 2019 มีการเปิดเผยว่า ทางแบรนด์เตรียมจะเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อหาทุนเพิ่มสำหรับการขยายสาขาไปยังต่างประเทศทั้งในตะวันออก (มาเลเซีย จีนฟิลิปปินส์) และตะวันตก (สหรัญฯ อังกฤษ)
และเมื่อเดือน มิ.ย. 2021 ที่ผ่านมาก็ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ได้มีการเริ่มขยายไปที่ประเทศเพื่อนบ้านเรียบร้อยแล้ว
แต่กว่าจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้จำต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี โดยนอกเหนือจากเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้ว ยังมีเรื่องของการปรับโครงสร้างให้เหมาะสมสำหรับการเข้าตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากบริษัทเริ่มจากการเป็นบริษัทเล็ก ๆ มาก่อน
จากการแข่งขันในตลาดที่แสนดุเดือด เพื่อต่อกรกับเหล่าบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ออกมาพ่นไฟกันทั้งสวนสัตว์ เสือพ่นไฟก็จำเป็นต้องแตกแบรนด์ออกไป ไม่ว่าจะเป็น Fire Tiger Dessert Cafe (โรงเตี๊ยมเสือพ่นไฟ) หรือรวมถึงร้านอาหารและบาร์ในชื่อ Fire Tiger Bar & Restaurant ที่ ICONSIAM ด้วย
แต่พี่ทุยว่าหากเกิดเหตุการณ์ฟ้องร้องเรื่อง “ก๊อปปี้” กันขึ้นมาอีก ทางแบรนด์ก็คงไม่อาจหลีกหนีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้ ทำได้แค่รับมือกับมันให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง