ช่วงนี้พี่ทุยเห็นข่าวหรือบทความเกี่ยวกับยักษ์ใหญ่ในวงการต่าง ๆ ที่กำลังถูกเขย่าขาเก้าอี้หลายเรื่อง เช่น Netflix ที่กำลังโดนรุมกินโต๊ะจากบริการสตรีมมิ่งต่าง ๆ เช่น Apple+ Disney+ หรือกระทั่ง YouTube Premium ในวงการอื่น ๆ ก็เริ่มมีเรื่องนี้เหมือนกัน ล่าสุดบริการโลจิสติกส์ระดับโลกที่คุ้นชื่ออย่าง FedEx ก็ออกมายอมรับเเล้วว่า เค้ามองว่า “Amazon” เป็นคู่แข่งคนสำคัญของ FedEx ไม่ใช่ Amazon ขายกาแฟในบ้านเรานะ แต่เป็น Amazon ของ Jeff Besoz
ถ้าใครเคยสั่งของจากต่างประเทศ คงเคยใช้บริการส่งสินค้าของ FedEx อย่างแน่นอน ด้วยคำเคลมว่าเค้าสามารถส่งของถึงมือเราได้อย่างรวดเร็ว ถ้าถามว่าเร็วแค่ไหน ? ก็เร็วขนาดที่ว่าของส่งไวกว่าใช้บริการส่งแบบลงทะเบียนในประเทศอีกนะ ฮ่า ๆ อันนี้แค่การส่งแบบธรรมดาเท่านั้นนะ สำหรับการส่ง แบบด่วนพิเศษที่เรียกว่า FedEx International First หรือ FedEx International Priority เค้าเคลมว่าสามารถส่งถึงหน้าประตูบ้านได้ ในเช้าวันถัดไปเลยนะ เรียกได้ว่าเร็วแบบทะลุผ่านประตูมิติไปเลยไง อิอิ
หลายคนอาจจะงงถ้าบอกว่า Amazon กำลังจะกลายเป็นคู่เเข่งของเค้า เพราะ ในภาพที่เราคุ้นเคยกัน คือ ตลาดขายของออนไลน์ขนาดใหญ่ซึ่งสามารถสั่งสินค้าข้ามทวีปได้ ดูยังไงก็น่าจะเป็นธุรกิจที่เกื้อกูลกับ FedEx มากกว่า เมื่อลูกค้าสั่งสินค้าจาก Amazon ก็ต้องใช้บริการส่งสินค้าของ FedEx ด้วยไง ก็น่าจะ win-win สิ แล้วที่ผ่านมาคู่เเข่งหลัก ๆ ของ FedEx คือ DHL, UPS และ US Portal Service เท่านั้น แล้วทำไมตอนนี้ Amazon กระโดดเข้ามาร่วมวงด้วยแทนซะงั้น
นั้นก็เพราะว่า Amazon เขาก็มีบริการส่งสินค้าของตัวเองเหมือนกันนั้นเอง โดยบริการส่งของของเขาก็ไม่ได้มาเล่น ๆ ก่อนหน้านี้ลงทุนสร้างคาร์โก้เพื่อเก็บและเป็นศูนย์กระจายสินค้า ด้วยมูลค่าสูงถึง 47,000 ล้านบาท และประกาศออกมาว่าสามารถส่งของได้ภายใน 1 วันภายในอเมริกา แถมยังมีโดรนส่งสินค้าของตัวเองด้วย นอกจากนี้ยังแว่ว ๆ มาอีกด้วยว่า เค้าตั้งเป้าจะมีเครื่องบินส่งสินค้าของตัวเองมากถึง 70 ลำ ภายในปี 2021
ซึ่งจริง ๆ แล้ว Amazon และ FedEx เค้าระหองระแหงกันมาพักนึงแล้วนะ โดยเริ่มขึ้นในช่วงที่ Amazon เริ่มมุ่งทำขนส่งของตัวเองเนี่ยแหละ
ความขัดแย้งระลอกแรก เริ่มจากเมื่อช่วงครึ่งปีแรก FedEx ขอยกเลิกสัญญากับ Amazon ในการส่งสินค้าทางอากาศ ในตอนนั้นเค้าก็ยังไฟเขียวให้กับการส่งทางอื่นอีกนะ เช่น ส่งทางภาคพื้นดิน เป็นต้น
ความขัดแย้งระลอกที่สอง คือในตอนเดือนสิงหาคม เมื่อ FedEx ประกาศไม่ต่อสัญญาส่งสินค้าทางภาคพื้นดินกับ Amazon การส่งสินค้าภาคพื้นดินนี้คือ การที่ก่อนหน้านี้ FedEx ทำหน้าที่ในการกระจายสินค้าจากคาร์โก้ของ Amazon
FedEx ตัดสัมพันธ์กับ Amazon ทั้งยกเลิกและไม่ต่อสัญญา
ความขัดแย้งระลอกที่สาม คือ เมื่อไม่กี่วันมานี้ Amazon ได้ทำการส่งอีเมลไปยังผู้ขายสินค้า โดยจำกัดไม่ให้ผู้ขายจัดส่งสินค้า Prime ผ่าน FedEx Ground และ Home ชั่วคราว ซึ่งแน่นอนการตัดสัมพันธ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อ Amazon โยตรงทำให้มีประสิทธิภาพการจัดส่งสินค้าลดลงในฤดูกาลแห่งการช้อปปิ้ง เช่นช่วง Black Friday ที่ผ่านมา
ล่าสุดทาง FedEx ออกมายอมรับแล้วว่า Amazon ได้เปลี่ยนฐานะจากคู่ค้าเป็นคู่แข่งที่สำคัญไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ FedEx ยังไม่มองว่า Amazon เป็นคู่แข่งสักเท่าไหร่ ชี้ให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่า มวยรองหรือม้ามืดเมื่อวานนี้อาจจะวิ่งแซงหน้าขึ้นมาได้ง่ายๆ ก็ในโลกทุกวันนี้ แสงไฟสาดส่องสว่างไปทั่วทุกมุมนี่หน่า… ประมาทนิดเดียว คู่แข่งที่เรามองไม่เห็น ก็อาจแซงขึ้นมาให้เห็นเด่นชัดในที่เเจ้งได้
ก่อนหน้าที่จะเห็นตัวเลข หลายคนอาจจะเดาว่าอีคอมเมิร์ซระดับโลกอย่าง Amazon ต้องเป็นแหล่งรายได้หลักระดับหลายสิบเปอร์เซ็นต์ของ FedEx อย่างแน่นอน แต่FedExได้ออกมาแย้งว่า เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา รายได้จาก Amazon คิดเป็นเพียงแค่ 1.13% เท่านั้นเอง เพราะAmazon ไม่ได้พึ่งพาการขนส่งจาก FedEx อย่างเดียว แต่ยังมีบริการเจ้าอื่น ๆ เช่น บริการขนส่งภายในประเทศสหรัฐอเมริกา (US portal service) และ UPS ทาง FedEx ประเมินว่า Amazon น่าจะส่งของด้วยบริการของตัวเองประมาณครึ่งนึงด้วย
แต่เมื่อวันอังคารที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมานี้ FedEx ได้ประกาศงบการเงินของออกมาและปรากฏว่ากำไรของเค้าลดลงถึง 40% ในหลายไตรมาสนี้ โดยบอกว่าเป็นผลมาจากต้นทุนที่สูงขึ้น การที่ช่วงวันหยุดสั้นลงทำให้คนสั่งของออนไลน์น้อยลง รายได้จากการส่งของก็เลยลดลงด้วยยังไงล่ะ ปรกติเทศกาล Thanksgiving จะยาวนานกว่านี้มาก แต่ปีนี้มาช้าไปถึงหกวัน ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลถึงต้นทุนที่สูงขึ้นด้วย เพราะ Thanksgiving มาช้าขนาดนี้ ก็เลยมีช่องว่างระหว่าง Thanksgiving กับ Christmas ‘s สั้นมาก (สั้นที่สุดนับตั้งเเต่ปี 2013) เลยต้องเพิ่มจำนวนคนขับให้ส่งของได้ทัน ต้นทุนเลยแพงขึ้น และสาเหตุสุดท้ายก็คือ การที่เค้ายกเลิกกับ Amazon เนี่ยแหละ ซึ่ง FedEx บอกว่า รายได้จาก Amazon ที่สูญเสียไปเนี่ยจะสะท้อนออกมาในงบการเงินไตรมาสที่ 2 ของปี
โดยรายได้ที่ FedEx ประกาศออกมาโดยนับถึงวันที่ 30 พฤศจิกายนคือ 560 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐหรือ 2.13 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น จาก935 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐหรือ 3.51 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปีที่ผ่านมา นอกจากนี้รายได้และผลกำไรในไตรมาสที่สองก็ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้อีกด้วย
ราคาหุ้น AMZN และ FDX ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ NYSE
จากกราฟราคาหุ้น AMZN และ FDX ใน Timeframe day หลังจากที่ FedEx ประกาศงบการเงินออกมาในวันอังคาร ราคาหุ้น FDX ก็กระโดดลงอย่างรุนแรงและปิดตลาดด้วยการที่ราคารูดลงไปกว่า 7% แสดงถึงความผิดหวังของนักลงทุน แม้หุ้น AMZN ของ Amazon จะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมจนเสียแนวโน้มขาขึ้นไป แต่กราฟราคาดูดีมีราศีกว่า FDX เพราะดูเหมือนจะเจอฐานของตัวเองแล้วและสะสมออกข้างไปเรื่อย ๆ
ดูเหมือนว่ารายได้ 1.13% ที่มาจาก Amazon จะส่งเรื่องกระเพื่อมถึงเค้าเหมือนกันนะเนี่ย มารอดูกันว่าในปีต่อ ๆ มาเมื่อไม่มีเรื่องต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นแล้ว รายได้ของเค้าจะเป็นยังไง พี่ทุยสะบัดพู่เชียร์อยู่ตรงนี้อิอิ ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าตอนนี้ Amazon ทำธุรกิจอะไรกันบ้าง?
ทุกวันนี้ Amazon มีมูลค่าตลาดสูงกว่า 4.5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขนี้สูงกว่า GDP ของไทยเสียอีก อย่างที่เรารู้กันว่าเค้าเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการตลาดออนไลน์ มีรายงานว่าง Amazon มีส่วนเเบ่งทางการตลาดเป็นครึ่งหนึ่งของตลาดอีคอมเมิร์ซในอเมริกาเลยและรายได้ประมาณ 90% ของ Amazon มาจากการค้าปลีก หรือการสั่งแบบชิ้นสองชิ้นเท่านั้นยังไงล่ะ นอกจากเค้าจะมีรายได้มาจากอีคอมเมิร์ซแล้ว รู้มั้ยว่า ? บ่อข้าวบ่อน้ำของ Amazon คือธุรกิจให้บริการ Cloud ซึ่งถึงแม้จะเพิ่งเปิดให้บริการมาเพียงเเค่ 11 ปี แต่ทำรายได้ให้ Amazon แซงหน้าธุรกิจอีคอมเมิร์ซไปแล้ว
สำหรับคนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจว่า Cloud คืออะไร พี่ทุยขออธิบายให้ฟังง่าย ๆ ว่า
Cloud คือ การที่เราสามารถเข้าถึงข้อมูลของเราได้จากอินเทอร์เน็ต โดยที่เราไม่ต้องเก็บข้อมูลไว้กับตัวเรา เปลี่ยนมือถือเครื่องใหม่ เราก็สามารถเรียกไฟล์งานหรือไฟล์รูปต่าง ๆ มาได้ถ้าก่อนหน้านี้อัพโหลดฝากข้อมูลไว้กับ Cloud ในปี 2017 ที่ผ่านมาบริการ Cloud ของ Amazon ที่มีชื่อว่า AWS (Amazon Web Services) ครองส่วนเเบ่งในการตลาด Cloud service ถึง 47% ซึ่งกำไรจากส่วนของ AWS เพิ่มขึ้นพุ่งทำ New high ใหม่เรื่อย ๆ ในทุกไตรมาส ในขณะที่กำไรในส่วนธุรกิจอีคอมเมิร์ซไม่ดีนัก หลายไตรมาสก็ขาดทุน
นอกจากนี้ Amazon ยังมีธุรกิจอื่น ๆ เช่น การโฆษณา ร้านขายยาออนไลน์ที่ชื่อว่า Pillback ผู้ช่วยในการเลือกสินค้าออนไลน์ที่ชื่อว่า Alexa และบริการสตรีมมิ่งของตัวเองอย่าง Amazon Prime ที่จะมาเป็นคู่เเข่งของ Netflix ยังไงล่ะ
Comment