"Amazon" กำลังจะกลายเป็นคู่เเข่งคนสำคัญ​ของ​ FedEx

Amazon กำลังจะกลายเป็นคู่เเข่งคนสำคัญ​ของ​ FedEx

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • ยักษ์ใหญ่ด้านโลจิสติกส์​อย่าง​ FedEx ออกมายอมรับว่า​ ตอนนี้​ Amazon ถือเป็นคู่แข่งรายหนึ่งที่มีความสำคัญ​ นอกจากคู่แข่งรายอื่น ๆ​ เช่น​ UPS, DHL, US Portal Service
  • FedEx ยกเลิกสัญญาส่งสินค้าทางอากาศกับ​ Amazon​ เมื่อราวเดือนมิถุนายน และต่อมาก็ประกาศไม่ต่อสัญญาส่งสินค้าทางภาคพื้นดินกับทางAmazon เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
  • FedEx ออกมาแย้งว่า​ มีรายได้จาก​ Amazon​ เป็นสัดส่วนเพียง​13% จากรายได้ทั้งหมดเท่านั้น
  • รายได้ของ​ FedEx ลดลงถึง 40% ในหลายไตรมาสที่ผ่านมา​ โดยบอกว่าเป็นผลมาจากต้นทุนที่สูงขึ้น​ ช่วงเวลาวันหยุดที่สั้นลงและเรื่องการยกเลิกสัญญากับ​ Amazon

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ช่วงนี้พี่ทุยเห็นข่าวหรือบทความเกี่ยวกับยักษ์​ใหญ่ในวงการต่าง ๆ​ ที่กำลังถูกเขย่าขาเก้าอี้หลายเรื่อง​ เช่น​ Netflix ที่กำลังโดนรุมกินโต๊ะจากบริการสตรีมมิ่งต่าง ๆ​ เช่น​ Apple+ Disney+ หรือกระทั่ง YouTube Premium ในวงการอื่น ๆ​ ก็เริ่มมีเรื่องนี้เหมือนกัน​ ล่าสุด​บริการโลจิสติกส์​ระดับโลกที่คุ้นชื่ออย่าง​ FedEx ก็ออกมายอมรับเเล้วว่า​ เค้ามองว่า​ “Amazon” เป็นคู่แข่งคนสำคัญของ FedEx ไม่ใช่ Amazon ขายกาแฟในบ้านเรานะ แต่เป็น Amazon ของ Jeff Besoz

ถ้าใครเคยสั่งของจากต่างประเทศ​ คงเคยใช้บริการส่งสินค้าของ FedEx​ อย่างแน่นอน​ ด้วยคำเคลมว่าเค้าสามารถส่งของถึงมือเราได้อย่างรวดเร็ว​ ถ้าถามว่าเร็วแค่ไหน ?  ก็เร็วขนาดที่ว่าของส่งไวกว่าใช้บริการส่งแบบลงทะเบียน​ในประเทศอีกนะ​ ฮ่า ๆ​ อันนี้แค่การส่งแบบธรรมดาเท่านั้นนะ​ สำหรับการส่ง แบบด่วนพิเศษที่เรียกว่า​ FedEx International First หรือ​ FedEx International Priority เค้าเคลมว่าสามารถส่งถึงหน้าประตูบ้านได้​ ในเช้าวันถัดไปเลยนะ​ เรียกได้ว่าเร็วแบบทะลุผ่านประตูมิติไปเลยไง​ อิอิ

หลายคนอาจจะงง​ถ้าบอกว่า​ Amazon กำลังจะกลายเป็นคู่เเข่งของเค้า​ เพราะ​ ในภาพที่เราคุ้นเคยกัน​ คือ​ ตลาดขายของออนไลน์​ขนาดใหญ่​ซึ่งสามารถสั่งสินค้าข้ามทวีปได้​ ดูยังไงก็น่าจะเป็นธุรกิจ​ที่เกื้อกูลกับ​ FedEx มากกว่า​ เมื่อลูกค้าสั่งสินค้าจาก​ Amazon ก็ต้องใช้บริการส่งสินค้าของ​ FedEx ด้วยไง​ ก็น่าจะ win-win สิ​ แล้วที่ผ่านมาคู่เเข่งหลัก ๆ​ ของ​ FedEx คือ​ DHL, UPS และ​ US Portal Service เท่านั้น​ แล้วทำไมตอนนี้ Amazon กระโดดเข้ามาร่วมวงด้วยแทนซะงั้น

นั้นก็เพราะว่า Amazon เขาก็มีบริการส่งสินค้าของตัวเองเหมือนกันนั้นเอง โดยบริการส่งของของ​เขาก็ไม่ได้มาเล่น ๆ​ ก่อนหน้านี้​ลงทุนสร้างคาร์โก้เพื่อเก็บและเป็นศูนย์​กระจายสินค้า​ ด้วยมูลค่าสูงถึง​ 47,000 ล้านบาท​ และประกาศออกมาว่าสามารถส่งของได้ภายใน​ 1 วันภายในอเมริกา​ แถมยังมีโดรนส่งสินค้าของตัวเองด้วย​ นอกจากนี้​ยังแว่ว ๆ​ มาอีกด้วยว่า​ เค้าตั้งเป้าจะมีเครื่องบินส่งสินค้าของตัวเองมากถึง​ 70​ ลำ​ ภายในปี​ 2021

ซึ่งจริง ๆ​ แล้ว​ Amazon และ​ FedEx เค้าระหองระแหง​กันมาพักนึงแล้วนะ​ โดยเริ่มขึ้นในช่วงที่​ Amazon เริ่มมุ่งทำขนส่งของตัวเองเนี่ยแหละ

ความขัดแย้งระลอกแรก​ เริ่มจากเมื่อ​ช่วงครึ่งปีแรก​ FedEx ขอยกเลิกสัญญากับ​ Amazon ในการส่งสินค้าทางอากาศ​ ในตอนนั้นเค้าก็ยังไฟเขียวให้กับการส่งทางอื่นอีกนะ​ เช่น​ ส่งทางภาคพื้นดิน​ เป็นต้น

ความขัดแย้ง​ระลอกที่สอง​ คือในตอนเดือนสิงหาคม​ เมื่อ​ FedEx ประกาศไม่ต่อสัญญาส่งสินค้าทางภาคพื้นดินกับ​ Amazon​ การส่งสินค้าภาคพื้นดินนี้คือ​ การที่ก่อนหน้านี้​ FedEx ทำหน้าที่ในการกระจายสินค้าจากคาร์โก้ของ​ Amazon​

FedEx ตัดสัมพันธ์กับ​ Amazon ทั้งยกเลิกและไม่ต่อสัญญา

ความขัดแย้งระลอกที่สาม​ คือ​ เมื่อไม่กี่วันมานี้​ Amazon ได้ทำการส่งอีเมลไปยังผู้ขายสินค้า โดยจำกัดไม่ให้ผู้ขายจัดส่งสินค้า Prime ผ่าน FedEx Ground และ Home ชั่วคราว ซึ่งแน่นอนการตัดสัมพันธ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อ Amazon โยตรงทำให้มีประสิทธิภาพ​การจัดส่งสินค้าลดลงในฤดูกาลแห่งการช้อปปิ้ง เช่น​ช่วง Black​ Friday ที่ผ่านมา

ล่าสุด​ทาง​ FedEx ออกมายอมรับแล้วว่า​ Amazon ได้เปลี่ยนฐานะจากคู่ค้าเป็นคู่แข่งที่สำคัญ​ไปแล้ว​ ทั้ง ๆ​ ที่ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ FedEx ยังไม่มองว่า Amazon เป็นคู่แข่งสักเท่าไหร่ ชี้ให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่า​ มวยรองหรือม้ามืดเมื่อวานนี้อาจจะวิ่งแซงหน้าขึ้นมาได้ง่ายๆ​ ก็ในโลกทุกวันนี้​ แสงไฟสาดส่องสว่างไปทั่วทุกมุมนี่หน่า… ประมาทนิดเดียว​ คู่แข่งที่เรามองไม่เห็น​ ก็อาจแซงขึ้นมาให้เห็นเด่นชัดในที่เเจ้งได้

ก่อนหน้าที่จะเห็นตัวเลข​ หลายคนอาจจะเดาว่าอีคอมเมิร์ซ​ระดับโลกอย่าง​ Amazon​ ต้องเป็นแหล่งรายได้หลักระดับหลายสิบเปอร์เซ็น​ต์ของ​ FedEx อย่างแน่นอน​ แต่​FedExได้ออกมาแย้งว่า​ เมื่อปี 2018​ ที่ผ่านมา​ รายได้จาก​ Amazon​ คิดเป็นเพียงแค่​ 1.13% เท่านั้นเอง​ เพราะAmazon ไม่ได้พึ่งพาการขนส่งจาก​ FedEx อย่างเดียว​ แต่ยังมีบริการเจ้าอื่น ๆ​ เช่น​ บริการขนส่งภายในประเทศ​สหรัฐอเมริกา ​(US portal service) และ​ UPS ทาง​ FedEx ประเมินว่า​ Amazon น่าจะส่งของด้วยบริการของตัวเองประมาณ​ครึ่งนึงด้วย

แต่เมื่อวันอังคารที่​ 17​ ธันวาคมที่ผ่านมานี้​ FedEx ได้ประกาศงบการเงิน​ของออกมา​และปรากฏว่ากำไรของเค้าลดลงถึง​ 40% ในหลายไตรมาสนี้​ โดยบอกว่าเป็นผลมาจากต้นทุนที่สูงขึ้น​ การที่ช่วงวันหยุดสั้นลงทำให้คนสั่งของออนไลน์​น้อยลง​ รายได้จากการส่งของก็เลยลดลงด้วยยังไงล่ะ​ ปรกติเทศกาล​ Thanksgiving จะยาวนานกว่านี้มาก​ แต่ปีนี้มาช้าไปถึงหกวัน​ ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลถึงต้นทุนที่สูงขึ้นด้วย​ เพราะ​ Thanksgiving มาช้าขนาดนี้​ ก็เลยมีช่องว่างระหว่าง​ Thanksgiving กับ​ Christmas ‘s สั้นมาก​ (สั้นที่สุดนับตั้งเเต่ปี​ 2013) เลยต้องเพิ่มจำนวนคนขับให้ส่งของได้ทัน​ ต้นทุนเลยแพงขึ้น​ และสาเหตุสุดท้ายก็คือ​ การที่เค้ายกเลิกกับ​ Amazon เนี่ยแหละ​ ซึ่ง​ FedEx บอกว่า​ รายได้จาก​ Amazon​ ที่สูญเสียไปเนี่ยจะสะท้อนออกมาในงบการเงิน​ไตรมาสที่​ 2 ของปี

โดยรายได้ที่​ FedEx ประกาศออกมาโดยนับถึงวันที่​ 30​ พฤศจิกายน​คือ​ 560 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ​หรือ​ 2.13 ดอลลาร์สหรัฐ​ต่อหุ้น​ จาก​935 พันล้านเหรียญ​ดอลลาร์​สหรัฐ​หรือ​ 3.51 ดอลลาร์สหรัฐ​ เมื่อปีที่ผ่านมา​ นอกจากนี้​รายได้และผลกำไรในไตรมาสที่สองก็ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์​เอาไว้อีกด้วย

ราคาหุ้น AMZN และ​ FDX​  ที่จดทะเบียน​อยู่ในตลาดหลักทรัพย์​ NYSE​ 

"Amazon" กำลังจะกลายเป็นคู่เเข่งคนสำคัญ​ของ​ FedEx

"Amazon" กำลังจะกลายเป็นคู่เเข่งคนสำคัญ​ของ​ FedEx

จากกราฟราคาหุ้น​ AMZN​ และ​ FDX​ ใน​ Timeframe​ day หลังจากที่ FedEx ประกาศงบการเงินออกมาในวันอังคาร ราคาหุ้น FDX ก็กระโดดลงอย่างรุนแรงและปิดตลาดด้วยการที่ราคารูดลงไปกว่า 7% แสดงถึงความผิดหวังของนักลงทุน​ แม้หุ้น​ AMZN ของ​ Amazon​ จะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วงปลายเดือนกรกฎา​คมและสิงหาคมจนเสียแนวโน้ม​ขาขึ้นไป​ แต่กราฟราคาดูดีมีราศีกว่า​ FDX​ เพราะดูเหมือนจะเจอฐานของตัวเองแล้ว​และสะสมออกข้างไปเรื่อย ๆ

ดูเหมือนว่ารายได้ 1.13% ที่มาจาก Amazon จะส่งเรื่องกระเพื่อมถึงเค้าเหมือนกันนะเนี่ย มารอดูกันว่าในปีต่อ ๆ มาเมื่อไม่มีเรื่องต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นแล้ว รายได้ของเค้าจะเป็นยังไง​ พี่ทุยสะบัดพู่เชียร์อยู่ตรงนี้อิอิ ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าตอนนี้ Amazon ทำธุรกิจอะไรกันบ้าง?

ทุกวันนี้ Amazon มีมูลค่าตลาดสูงกว่า 4.5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขนี้สูงกว่า GDP ของไทยเสียอีก อย่างที่เรารู้กันว่าเค้าเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการตลาดออนไลน์ มีรายงานว่าง Amazon มีส่วนเเบ่งทางการตลาดเป็นครึ่งหนึ่งของตลาดอีคอมเมิร์ซในอเมริกาเลยและรายได้ประมาณ 90% ของ Amazon มาจากการค้าปลีก หรือการสั่งแบบชิ้นสองชิ้นเท่านั้นยังไงล่ะ นอกจากเค้าจะมีรายได้มาจากอีคอมเมิร์ซแล้ว รู้มั้ยว่า ? บ่อข้าวบ่อน้ำของ Amazon คือธุรกิจให้บริการ Cloud ซึ่งถึงแม้จะเพิ่งเปิดให้บริการมาเพียงเเค่ 11 ปี แต่ทำรายได้ให้ Amazon แซงหน้าธุรกิจอีคอมเมิร์ซไปแล้ว

สำหรับคนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจว่า Cloud คืออะไร พี่ทุยขออธิบายให้ฟังง่าย ๆ ว่า

Cloud คือ การที่เราสามารถเข้าถึงข้อมูลของเราได้จากอินเทอร์เน็ต โดยที่เราไม่ต้องเก็บข้อมูลไว้กับตัวเรา เปลี่ยนมือถือเครื่องใหม่ เราก็สามารถเรียกไฟล์งานหรือไฟล์รูปต่าง ๆ มาได้ถ้าก่อนหน้านี้อัพโหลดฝากข้อมูลไว้กับ Cloud ในปี 2017 ที่ผ่านมาบริการ Cloud ของ Amazon ที่มีชื่อว่า AWS (Amazon Web Services) ครองส่วนเเบ่งในการตลาด Cloud service ถึง 47% ซึ่งกำไรจากส่วนของ AWS เพิ่มขึ้นพุ่งทำ New high ใหม่เรื่อย ๆ ในทุกไตรมาส ในขณะที่กำไรในส่วนธุรกิจอีคอมเมิร์ซไม่ดีนัก หลายไตรมาสก็ขาดทุน

นอกจากนี้ Amazon ยังมีธุรกิจอื่น ๆ เช่น การโฆษณา ร้านขายยาออนไลน์ที่ชื่อว่า Pillback ผู้ช่วยในการเลือกสินค้าออนไลน์ที่ชื่อว่า Alexa และบริการสตรีมมิ่งของตัวเองอย่าง Amazon Prime ที่จะมาเป็นคู่เเข่งของ Netflix ยังไงล่ะ

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

Comment

Be the first one who leave the comment.

Leave a Reply