อย่างที่ทุกคนรู้กันว่า เพียงแค่เดือนกว่า ๆ หลังปีใหม่ โลกของเราก็เจอกับโรคระบาดร้ายเเรงที่คร่าชีวิตคนไปมากมายอย่างโควิด-19 และโรคนี้ก็ไม่ได้ทำร้ายเเค่สุขภาพและชีวิตเท่านั้น แต่ลามไปถึงเรื่องกระเป๋าสตางค์เเละปากท้องของคนทุกชนชั้นและทุกภาคธุรกิจอีกด้วย ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การท่องเที่ยว สายการบิน และโรงเเรมอีกต่อไปแล้ว ช่วงที่ผ่านมาเราจะเห็นการปิดตัว หยุดผลิตหรือลดกำลังการผลิตของหลาย ๆ ธุรกิจ เราจะเห็นธุรกิจที่เรารู้จักกันดีขอปลดพนักงาน ปิดกิจการ หรือยื่นล้มละลายในปีนี้หลายบริษัทเลย รวมถึง “คนตกงาน” ก็เยอะมากเช่นกัน
อย่างในประเทศไทยเองก็มีหลากหลายบริษัทที่ต้องมีการปรับกลยุทธ์ เช่น เชฟโรเลต (Chevrolet) ขายโรงงานและเลิกขายรถในไทยสิ้นปี 2563 ,หนังสือพิมพ์คมชัดลึกที่ประกาศปิดกิจการ ปิดตำนาน 18 ปี และแน่นอนว่าสายการบินต่าง ๆ ก็อยู่ในสถาวะที่ลำบากเช่นกัน อย่างการบินไทย (Thai Airways) ยื่นขอฟื้นฟูกิจการ สายการบินนกสกู๊ต (NokScoot) ปิดกิจการ ลอยคอลูกเรือ 425 ชีวิต สายการบินอื่น ๆ เช่น ไทยไลอ้อนแอร์ (Thai Lion Air) ก็ปลดพนักงานที่มีอายุงานไม่ถึง 1 ปีออกทั้งหมด
หรือข่าวที่ดังมากในช่วงที่ผ่านมาอย่างวุฒิศักดิ์คลินิก เจ้าของสโลแกน “เพราะความสวย… รอไม่ได้” ขอเข้าฟื้นฟูกิจการหลังจากสู้พิษโควิด-19 ไม่ไหว เพราะสาขาส่วนมากของเค้าอยู่ในห้าง และช่วงที่ผ่านมาห้างก็โดนปิด รายได้ก็เลยหายไปแทบ 100% ล่าสุดร้านกาแฟสัญชาติอเมริกัน Coffee Bean and Tea Leaf ก็ได้ปิดทุกสาขาในไทยลงเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ซึ่งผลกระทบจากโควิด-19 ก็ไม่ได้กระทบเฉพาะธุรกิจในไทยเท่านั้น ในต่างประเทศเองก็เอาตัวแทบไม่รอดกัน อย่างสายการบินแห่งชาติออสเตรเลียที่ชื่อว่าแควนตัส (Qantas), สายการบินเวอร์จินออสเตรเลีย (Virgin Australia Airlines) ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของออสเตรเลียเลยนะ, สายการบินดังที่สแกนดิเนเวียอย่าง สายการบินบริติชแอร์เวย์ (British Airlines) และสายการบิน KLM ประกาศปลดพนักงานหลายพันชีวิตต่อสายการบิน รวมถึงสายการบิน Flybe ของประเทศอังกฤษก็ประกาศล้มละลายและยุติกิจการ
แม้กระทั่ง Airbnb แพลตฟอร์มที่พักระดับโลก ซึ่งเเน่นอนว่าจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้ไปด้วยเช่นเดียวกัน เพราะยอดการจองห้องพักลดลงไปมาก ตอนแรกบริษัทมีแผนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ (แต่ตอนนี้คงต้องชะลอออกไปก่อน) จากวิกฤตครั้งนี้บริษัทต้องเลิกจ้างพนักงานกว่า 1,900 คน ซึ่งนั่นคิดเป็นจำนวนมากถึง 25% ของพนักงานทั้งหมด CEO ของ Airbnb ออกมาพูดว่า เค้าใช้เวลาสร้างอาณาจักรนี้ขึ้นมานานนับ 10 ปี แต่กลับพังลงในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น
ภาวะการว่างงานในช่วงก่อนและหลังการมาของโควิด-19
ในช่วงแรกที่เกิดโควิด-19 (ประมาณเดือนมกราคม-มีนาคม) การจ้างงานยังไม่ถูกกระทบอะไรมากนัก แต่พบว่าตั้งเเต่หลังเดือนเมษายน อัตราการจ้างงานลดลงอย่างเห็นได้ชัดถึง 3% จากเดือนมีนาคม และลดลงจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน 0.7% ซึ่งต้องขอบอกว่านี่ยังไม่ใช่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เนื่องจากในช่วงต้นปีนี้ที่แรงงานส่วนใหญ่ยังมีงานทำอยู่ น่าจะเป็นเพราะภาคธุรกิจต่าง ๆ ยังคงต้องการเเรงขายเพื่อผลิตสินค้าและบริการที่มาจากคำสั่งซื้อเมื่อปลายปี 2562 พูดให้เห็นภาพคือ ช่วงต้นปีนี้คือ “การเผาหลอก” เท่านั้น แต่การเผาจริงน่าจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงครึ่งปีหลัง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ทำการสำรวจในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงพบว่า ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้ 9.6% ของครัวเรือนที่ไปสำรวจว่างงาน เค้าประเมินว่าอัตราการว่างงานจะพีคที่สุดในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีและค่อย ๆ ดีขึ้น
จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า ประชากรที่มีอายุมากกว่า 15 ปี (ซึ่งจัดอยู่ในวัยแรงงาน) มีจำนวนอยู่ทั้งสิ้น 56.49 ล้านคน มีผู้ที่มีงานทำ 37.77 ล้านคน แบ่งเป็น
1. ทำงานในภาคเกษตร 12 ล้านคน ซึ่งส่วนนี้ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่เพราะไม่น่าจะกระทบอะไรมาก
2. ทำงานในภาคอุตสาหกรรม 6 ล้านคน ซึ่งส่วนนี้น่าเป็นห่วง ยิ่งถ้าเป็นสินค้าที่เน้นส่งออกอยู่เเล้ว ยิ่งมีโอกาสโดนลดกำลังการผลิตและปลดคนงาน เพราะกำลังซื้อของตลาดต่างประเทศก็ลดลงเหมือนกัน
3. ทำงานในภาคบริการ 18 ล้านคน และที่เหลืออีกประมาณ 20 ล้านคน ก็เป็นผู้ที่ไม่มีงานทำและยังไม่ได้ทำงานเพราะอยู่ในช่วงเรียนต่อ
ข้อมูลการสำรวจการมีงานทำจาก TDRI ได้ประมาณการจากแบบจำลองพบว่า ช่วงครึ่งปีหลังนี้จะมี “คนตกงาน” ในไทย 3.2 ล้านคน ต้องบอกก่อนว่านี่คือตัวเลขที่ดีเเล้ว ซึ่งก่อนคลาย Lockdown มีการประมาณการณ์ว่าจะมี “คนตกงาน” 8.4 ล้านคน และในที่นี้ยังไม่ได้รวมถึงเด็กจบใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามาในตลาดแรงงานกว่า 5 แสนคน
จากข้อมูลการลงทะเบียนยื่นขอใช้สิทธิ์การว่างงานทางช่องทางออนไลน์ พบว่าในตอนนี้มีคนไปขอขึ้นทะเบียนราว 637,000 คน
ถึงแม้จะคลาย Lockdown แล้ว แต่สถานการณ์อาจจะยังไม่ดีขึ้น
ถึงจะปลด Lockdown ไปจนครบทุกเฟส ธุรกิจต่าง ๆ ที่โดนแช่เเข็งมาก่อนหน้านี้จะกลับมาดำเนินกิจการได้อีกครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว ด้วยมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมหรือ Social Distancing ซึ่งจำกัดคนที่จะมาเข้าใช้บริการ เช่น ในร้านอาหาร ในห้างสรรพสินค้า โรงเรียนหรือโรงภาพยนตร์ ซึ่งเเน่นอนว่าคงเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวของผู้ประกอบการมาก เพราะต้องลดความสามารถในการทำกำไรลง
อย่างโรงภาพยนตร์ถึงแม้จะได้ไฟเขียวให้กลับมาเปิดได้ตามปกติ แต่ด้วยมาตรการ Social Distancing ที่โรงหนังจะต้องจำกัดจำนวนที่นั่งในแต่ละรอบฉายทำให้เหลือผู้ชมเพียง 1 ใน 4 ของจำนวนผู้ชมที่รับได้ก่อนหน้านี้ การงดการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นตัวที่สร้าง อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้โรงหนังเป็นอย่างมาก แต่กลับต้องเปิดแอร์ในพื้นที่ขนาดใหญ่ มีค่าดูแลรักษา ค่าลิขสิทธิ์ของหนังที่นำมาฉายเท่าเดิม แนวโน้มที่โรงภาพยนตร์จะขาดทุนทุกรอบที่ฉายก็เป็นไปได้เช่นกัน
โดยจากการสำรวจพบว่า ครัวเรือน 95.5% ได้รับผลกระทบจากมาตรการ Social Distancing นี้ และครัวเรือน 52.5% มีรายได้และผลประกอบการที่ลดลง 11.5% มีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น และภาวะจ้างงานที่มีเเนวโน้มลดลงก็ได้ส่งผลไปถึงเรื่องใหญ่ระดับประเทศอย่าง GDP แบบไม่ต้องสงสัยเลย มีการคาดการณ์มาว่า Real GDP Growth จะลดลงโดยเฉลี่ย 8.10% ในปีนี้ แค่คิดพี่ทุยก็เหงื่อตกแล้วเนี่ย ฮ่า ๆ ถ้าถามว่า 8.1% เยอะขนาดไหน โดยปกติประเทศไทยเราโตประมาณปีละ 3% ซึ่งแปลว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปีในสภาวะปกติ เพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาอยู่ที่เดิม
ก่อนจะจากกันไปขอเล่าให้ฟังอีกเรื่องนึง พี่ทุยเคยได้ยินเรื่องงานวิจัยของประเทศอังกฤษที่พูดถึงความเจ็บปวดครั้งสำคัญในชีวิตของคนเรา เช่น การสูญเสียคนสำคัญในชีวิต แม้จะดูเป็นความเจ็บปวดที่มากแต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ระดับความสุขของคน ๆ นั้นจะสามารถกลับมาอยู่ ณ จุดเดิมได้
แต่ไม่น่าเชื่อว่าความสูญเสียประเภทนึงที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ระดับความสุขก็กลับไม่เพิ่มขึ้นเท่าเดิมเลยคือ “การตกงาน” เพราะนอกจากจะทำให้ขาดรายได้แล้ว ยังส่งผลถึงเรื่องอื่น ๆ อย่างความเชื่อมั่นในตัวเอง การรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองด้วย นอกจากนี้ “คนตกงาน” ก็จะมีระดับความพึงพอใจในชีวิตอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าอีกด้วย ประเด็นเรื่องการว่างงานจึงเป็นเรื่องที่เราต้องจับตามองกันให้ดีเลยในช่วงเวลาแบบนี้
Comment