เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา หุ้นของธนาคารระดับโลกอย่าง HSBC ในตลาดฮ่องกง ร่วงลงไปจนแตะระดับต่ำที่สุดในรอบ 25 ปีเลยทีเดียว เป็นผลมาจากการเปิดเผยของ ICIJ หรือ International Consortium of Investigative Journalists ที่นำเอกสารของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ออกมาเปิดเผยว่า ระหว่างปี 1999 จนถึง 2017 บรรดาธนาคารต่าง ๆ ทั่วโลกมีการขนย้ายเงินที่น่าสงสัยว่าอาจมีการ “ฟอกเงิน” มากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือใหญ่กว่าเศรษฐกิจไทยประมาณ 4 เท่า
ในรายงานของ ICIJ ที่พี่ทุยไปดูมา มีธนาคารที่ถูกพูดมากที่สุด คือ HSBC เช่นเดียวกับ Standard Chartered และอีก 3 ธนาคารขนาดใหญ่ที่ทำธุรกรรมระหว่างประเทศ
ธนาคารในประเทศไทยก็หนีไม่พ้นจากเรื่องนี้ มีการส่งเงินเข้าออกที่ “น่าสงสัย” มากถึง 92 ครั้ง คิดเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 40 ล้านดอลลาร์ โดยเป็นการส่งเงินออกกว่า 31 ล้านดอลลาร์ และเงินเข้าที่ราว 9 ล้านดอลลาร์
หุ้นกลุ่มธนาคารในไทยปรับตัวลดลงกว่า 1%
ไม่น่าแปลกใจเลยที่นักลงทุนและรัฐบาลต่าง ๆ ทั่วโลกจะให้เครดิตกับ ICIJ เพราะเป็นองค์กรอิสระที่เคยเปิดโปงเรื่องฉาวโฉ่ “ปานามาเปเปอร์” อันโด่งดัง เล่าเรื่องบริษัทใหญ่ ๆ ทั่วโลก พากันไปจัดตั้งบริษัทที่ไม่มีแม้กระทั่งสินทรัพย์หรือการดำเนินการที่ชัดเจนเอาไว้ในประเทศที่ภาษีถูกแสนถูก เพื่อเป็นการหลบเลี่ยงภาษี
ถ้าใครยังจำกันได้ ในตอนนั้นรัฐบาลต่าง ๆ ทั่วโลกต้องออกมาตั้งมาตรการรับมือ และจุดฉนวนให้ยุโรปหันมาจริงจังในการปราบการหนีภาษี ขณะที่นักธุรกิจ รวมถึงชาวไทยจำนวน 16 คนที่โดนระบุชื่อต้องวิ่งวุ่นกันปฏิเสธ พร้อมกับโดนสำนักงานป้องกันและปราบปรามการ “ฟอกเงิน” ตรวจสอบ
NPL ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่กดดันธนาคารอย่างต่อเนื่อง
เอกสารของ ICIJ รอบนี้ ก็เป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยหลาย ๆ อย่างเท่านั้นที่กดดันหุ้นของกลุ่มธนาคาร เพราะหุ้นธนาคารก็ปรับตัวลงมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว เช่น หุ้นของ HSBC ที่อยู่ในตลาดฮ่องกงก็เหลือมูลค่าแค่ครึ่งเดียวเมื่อเทียบกับต้นปี หรือหุ้นธนาคารในไทย เช่น KBank ที่เหลือราว ๆ 80 บาทจากเดิมที่ราคาราว ๆ 140 บาท
พี่ทุยว่าสาเหตุก็คงหนีไม่พ้นโควิด-19 นี่แหละ ที่ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกมีปัญฆา ยอด ‘หนี้เสีย (NPL)’ พุ่งทะยานสูง ธนาคารก็เลยต้องแบกรับและตั้งสำรองสูงขึ้น กำไรของธนาคารก็เลยปรับตัวลดลง
จากเหตุการณ์นี้ นักลงทุนต่างก็มีความกังวล เพราะมีหลักฐานที่เห็นได้ชัดเลย คือ นักลงทุนมีการแห่เทขายหุ้นธนาคาร หลังจากที่ธนาคารประกาศขายหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ (Perpetual Bond) เพื่อรองรับ “ความไม่แน่นอน” ในอนาคต หรือแม้กระทั่งงานวิจัยมาตรการพักชำระหนี้จากธนาคารแห่งประเทศไทยเองที่เตือนให้ “Prepare for the worst” หรือเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดให้ดี
ธนาคารและสถาบันการเงินได้รับผลกระทบจาก Digital Disruption
ไม่ใช่แค่โควิด-19 ที่ทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ เลวร้าย แต่สิ่งที่ยากลำบากของธนาคารที่ต้องเจอเลยในยุคนี้ คือ Digital Disruption ที่ธนาคารต้องเจอกับคู่แข่งมากขึ้นจากโลกออนไลน์ที่ต้นทุนต่ำ เพราะไม่จำเป็นต้องมีสาขา ทำให้รายได้จาก ‘ค่าธรรมเนียม’ ที่เป็นรายได้หลักอีกส่วนหนึ่งเริ่มได้น้อยลงเรื่อย ๆ
ก่อนหน้านี้ ธนาคารขนาดใหญ่อย่าง HSBC เองก็ประกาศปลดพนักงานกว่า 30,000 คนทั่วโลก เพื่อลดต้นทุนให้ได้ 4,500 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2022 และปิดรับสมัครพนักงานใหม่
ไม่ต่างจากธนาคารในประเทศไทยที่เริ่มต้นเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลมาได้สักพักใหญ่แล้ว และดูเหมือนโควิด-19 จะยิ่งเร่งให้เกิดกระบวนการนั้นเร็วขึ้น เหมือนที่คุณอารักษ์ สุธีวงศ์ ผู้จัดการใหญ่ของธนาคารไทยพาณิชย์ เคยบอกไว้ว่าการระบาดของโรคทำให้เร่งการปิดสาขา โดยจะแก้เกมด้วยการหันไปเปิดจุด Touchpoint เช่น เครื่องบริการอัตโนมัติแทน
เรียกได้ว่า ความวัวไม่ทันหาย ความวอดวายเข้ามาแทรกจริง ๆ ต้องรอดูท่าทีของรัฐบาลต่าง ๆ ทั่วโลกว่าจะตอบรับกับการเปิดเผยของ ICIJ ครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน
พี่ทุยว่าเราคงต้องรอดูกันต่อว่า จะมีการกำกับดูแลที่เข้มข้นขึ้นมากขึ้น หรือรัฐบาลต่าง ๆ จะหลับตาข้างนึงไปก่อนในช่วงโควิด-19 แบบนี้
สำหรับใครที่อยากอ่านคอนเทนต์แนวการฟอกเงินแบบนี้ ลองเข้าไปอ่านเรื่อง 1MDB อาชญากรรมฟอกเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ คลิกที่นี่
Comment