‘เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้’ คงเป็นประโยคที่ได้ยินกันบ่อยๆ แต่อย่าเพิ่งส่ายหน้ากันนะจ๊ะ อ่านบทความนี้ให้จบก่อน พี่ทุยมีเรื่องจะมาเล่าให้ฟัง
มีผู้ทำสถิติโดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยติดอันดับที่ 1 ถึง 100 ชื่อที่เราคุ้นหูกันดี ก็อย่างเช่น บิลล์ เกตส์ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก คาร์ลอส สลิม และจอร์จ โซรอส เป็นต้น และพบว่าก่อนที่จะร่ำรวยมหาศาลอย่างทุกวันนี้ พวกเขาเหล่านี้มีทักษะหรืออาชีพที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน คือ พนักงานขาย
ข้อมูลนี้ตรงกันกับงานวิจัยของนักสังคมวิทยาคนนึง ที่ทำการศึกษาในเหล่า “เศรษฐี” ทั้งในบุคคลที่รวยขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองล้วนๆและบุคคลที่รวยแบบสมบัติเก่าของครอบครัวมีเอี่ยวด้วยนิดหน่อย สองในสามของเศรษฐีเหล่านั้น ถึงขนาดออกปากยืนยันว่า พรสวรรค์ในการขายของพวกเขาเนี่ยแหละ คือกุญแจสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จและรวยขึ้นมาได้อย่างทุกวันนี้
ที่ว่าเป็นพนักงานขาย เค้าขายอะไรกันล่ะ ? ต้องเป็นอะไรหรูๆอย่างอสังหาริมทรัพย์หรือรถยนต์แน่เลย
พวกเขาไม่ได้ขายสินค้าหรูหราอะไรหรอก แต่เป็นสินค้าธรรมดาๆ อย่างเช่น เครื่องสำอาง เสื้อผ้า เครื่องประดับ ไล่ไปจนถึงลังบรรจุไข่ เป็นต้น
‘มาร์ค คิวบาน’ อดีตเด็กชายที่ต้องขายถุงขยะเพื่อเก็บเงินซื้อรองเท้าคู่โปรด ผู้ต่อมากลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้ตอบคำถามเมื่อถูกถามจากสื่อว่า ‘เขาจะทำยังไง ถ้าเกิดสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในตอนนี้ไป’ ว่า
“ผมก็จะทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ในตอนกลางคืน แล้วก็เป็นพนักงานขายตอนกลางวัน จากนั้นผมก็จะเริ่มสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผมจะกลับมาเป็นเศรษฐีอย่างทุกวันนี้ได้อีกหรือเปล่า ของมันแน่อยู่แล้ว”
‘Reed Hastings’ CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง NETFLIX เคยเป็นพนักงานขายเครื่องดูดฝุ่นตามบ้านมาก่อน และ ‘จอห์นนี่ เดปป์’กับ ‘เจนนิเฟอร์ อนิสตัน’ ก็เคยเป็นพนักงานขายของทางโทรศัพท์ ก่อนที่จะเข้าวงการและเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ทำเงินได้มหาศาลอย่างทุกวันนี้
ก่อนหน้าที่ ‘จอร์จ โซรอส’ นักโจมตีค่าเงิน จะเป็นเศรษฐีติดอันดับโลก เขาเริ่มงานแรกด้วยการเป็นพนักงานขายของเล่นและของขวัญ ที่ต้องเร่เสนอขายไปเรื่อยๆ จากนั้นจึงค่อยผันตัวไปเป็นเทรดเดอร์ ทุกวันนี้แทบจะไม่มีใครไม่รู้จักเศรษฐีคนนี้ เมื่อพูดถึงเรื่องค่าเงิน
อีกตัวอย่างคือ ‘ไมเคิล เดลล์’ ผู้เคยทำงานเป็นพนักงานขายของหนังสือพิมพ์ฉบับนึงมาก่อนที่เขาจะก่อตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์ ‘DELL’
จากสถิติพบว่า เศรษฐีระดับโลก 10 คนจาก 53 คน เคยเป็นพนักงานขายเป็นอาชีพแรก ก่อนที่พวกเขาจะก่อตั้งบริษัทเป็นของตัวเอง รองลงมาคือเทรดเดอร์ (ซึ่งจริงๆ แล้วก็เกี่ยวข้องกับการซื้อ-ขายให้ได้ราคาดีที่สุดเหมือนกัน) ต่อมาคือ พัฒนาซอฟแวร์ วิศวกรและนักวิเคราะห์ตามลำดับ
หลายเสียงออกมาให้ความเห็นว่า เหตุผลที่ผู้ที่มีทักษะในการขายหลายคนได้กลายเป็นเศรษฐีเงินล้านในภายหลังก็เพราะว่า พวกเขาเหล่านี้รู้จักที่จะงัดเอา ‘คุณค่า’ และ ‘ความสามารถ’ ของตัวเองออกมานำเสนอ หรือเรียกง่ายๆว่ารู้จักที่จะเฟ้นหาจุดเด่นและ ‘เสนอขายตัวเอง’ ออกมา เพราะไม่มีใครที่จะรู้จักตัวเราได้ดีเท่าตัวเราเองหรอก
จริงๆแล้ว ทักษะการขายไม่ได้จำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการจะเป็นเศรษฐีเท่านั้น แต่จำเป็นสำหรับทุกคนที่ต้องการความก้าวหน้าในอาชีพการงา
ทักษะการขายช่วยพัฒนาอะไรได้บ้างนะ ?
- ทักษะการสื่อสาร แน่นอนว่านักขายทุกคนต้องมีวาทศิลป์ในการนำเสนอ เจรจาต่อรองและปิดการขาย
- ความอดทน กว่าจะปิดการขายได้ นักขายต้องมีความอดทนไม่น้อยเลยนะ ซึ่งสิ่งนี้แหละเป็นคุณสมบัติของผู้ที่จะประสบความสำเร็จ
- ระเบียบวินัย ไม่ว่าเราจะทำเรื่องไหน การมีวินัยก็ช่วยทำให้ชีวิตเราก้าวหน้า ลองร่างรายการสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันดูสิ ชีวิตเราจะเป็นระบบขึ้นมากเลยนะ อิอิ
- ความมั่นใจในตัวเอง ความมั่นใจจะทำให้เรากล้าที่จะนำเสนอจุดขายของตัวเองออกไปให้โลกรู้ แล้วความก้าวหน้าในการงานจะหนีไปไหนล่ะ จริงมั้ย ?
ก่อนที่จะกลายเป็นผีเสื้อสวยงาม แมลงเหล่านั้นก็เคยเป็นหนอน ก่อนที่จะเป็นต้นไม้ใหญ่แข็งแกร่ง ต้นไม้ทุกต้นก็เคยเป็นต้นกล้าเล็กๆมาก่อนทั้งนั้น ‘รดน้ำพรวนดินให้ถูกที่ ไม่กี่ปีก็รวยนะจ๊ะ’ พี่ทุยคอนเฟิร์มและเอาใจช่วยอยู่ตรงนี้ ไม่แน่นะ อีกไม่กี่ปียอดนักขายหลายคนที่อ่านบทความนี้อยู่อาจขึ้นแท่น “เศรษฐี” กับเค้าเหมือนกันก็ได้
Comment