สอนซื้อ ETF บน Webull กับ Dime! : โหลด–เปิด–ซื้อ จบ !

สอนซื้อ ETF บน Webull กับ Dime! : โหลด–เปิด–ซื้อ จบ !

   Money Buffalo

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

พี่ทุยเชื่อว่า หลายคนน่าจะเคยโดนเพื่อนป้ายยามาแล้วว่า “ซื้อ ETF สิ ดียังงั้น ดียังงี้” ฟังดูน่าสนใจ แต่พอหันกลับมามองตัวเอง… เอ้า ! ยังไม่มีแม้แต่แอปลงทุนด้วยซ้ำ จะเริ่มยังไงดีล่ะ ?

ความจริงคือ มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด เราไม่จำเป็นต้องเป็นเซียนหุ้น ไม่ต้องอ่านกราฟเป็น และไม่ต้องมีเงินก้อนใหญ่ด้วย ขอแค่มีสมาร์ทโฟนกับบัตรประชาชนใบเดียว ก็เริ่มลงทุน ETF ได้แล้ว

 

วันนี้พี่ทุยจะพาไปแบบ Step by Step ตั้งแต่โหลดแอป → เปิดบัญชี → เลือก ETF → กดซื้อสำเร็จ และเพื่อไม่ให้เลือกยาก พี่ทุยจะยกตัวอย่างจาก 2 แอปที่ใช้จริง คือ Webull กับ Dime! เท่านั้นน้าาา แต่ก่อนอื่นพี่ทุย มาขอปูพื้นฐานสำหรับคนที่ไม่รู้จัก ETF ก่อนนะ ว่ามันคืออะไร และมีดีอะไร ทำไมถึงอยากแนะนำให้ทุกคนลงทุนเป็น 

 

ETF คืออะไร ? 

 

เวลาพูดถึงการลงทุน หลายคนอาจนึกถึงหุ้นรายตัว ฟังแล้วเหมือนต้องเลือกเองว่า “หุ้นไหนจะโต หุ้นไหนจะเจ๊ง” จนบางคนไม่กล้าเริ่มลงทุนเลย แต่จริง ๆ แล้วมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น นั่นคือ ETF หรือ Exchange Traded Fund คือ กองทุนที่รวมเงินของนักลงทุนหลาย ๆ คน ไปลงทุนตามดัชนีหรือสินทรัพย์ใหญ่ ๆ เช่น หุ้นไทย 50 บริษัทใหญ่สุด (SET50) หรือหุ้นสหรัฐฯ 500 บริษัทใหญ่สุด (S&P500) พูดง่าย ๆ คือ ซื้อ ETF เดียว เหมือนเราได้ถือหุ้นเป็นร้อยตัวโดยไม่ต้องเลือกเอง

 

ตัวอย่างผลตอบแทนจริง ๆ

 

  • S&P 500 ETF (SPY)  ถ้าใครลงทุนเฉลี่ยปีละ 1,000 ดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2010 จนถึงปี 2020 พอร์ตโตขึ้นมาเกือบ 2 เท่า เพราะ S&P500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละประมาณ 10 %

 

  • SET50 ETF (TDEX)  ลงทุนตามหุ้นไทยใหญ่สุด 50 ตัว ถ้าถือยาว ๆ ก็ได้ผลตอบแทนตามตลาดหุ้นไทย โดยไม่ต้องเลือกหุ้นเองให้เสี่ยงเกินไป

 

  • Gold ETF (GLD) ใช้เป็นตัวกันความเสี่ยง ราคาทองช่วง 20 ปีที่ผ่านมาโตเฉลี่ยปีละประมาณ 7 %

 

เพราะแบบนี้ พี่ทุยเราคิดว่า การที่เราลงทุนใน ETF นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายนะ เพราะมันง่ายตรงที่เราไม่ต้องเลือกหุ้นเอง แถมกระจายความเสี่ยงแบบโคตรจะเยอะ ที่สำคัญมันเติบโตในระยะยาวด้วย สุดท้ายคือไม่ต้องมีเงินถุงเงินถังก็ลงทุนได้ เริ่มต้นเพียงแค่ 50 บาท พี่ทุยเลยจะยกตัวอย่างจาก 2 แอปที่ใช้จริง คือ Webull กับ Dime! เท่านั้นน้าาา

 

1.รู้จักแอปก่อน

 

  •  Webull (Thailand)

ลงทุนได้ตรงใน หุ้นและ ETF สหรัฐฯ มีเครื่องมือครบ ทั้งกราฟ ข้อมูลเรียลไทม์ ซื้อขายหุ้นหรือหลักทรัพย์ในสัดส่วนที่น้อยกว่า 1 หุ้นเต็มจำนวน เช่น 0.5 หุ้น หรือ 0.01 หุ้นได้ เช่น แบบ  หุ้น ETF ราคาแพง ๆ อย่าง S&P500 ก็ซื้อแค่หลักร้อยได้ เหมาะกับคนที่อยากลงทุน จริงจัง ใน ETF ต่างประเทศ โดยเราต้องฝากเงินขั้นต่ำ 20 บาท

  • Dime! แอปไทย ใช้ง่าย ลงทุนได้ทั้งหุ้นอเมริกา กองทุนรวม ทองคำ หุ้นไทย และ ETF ได้ในแอปเดียว เริ่มต้นแค่ 50 บาท น่าตาแอป เป็นมิตรกับมือใหม่ ดูพอร์ตง่าย เหมาะกับคนที่อยากลงทุน ง่าย ๆ เบา ๆ เพราะเราจะฝากเงินขั้นต่ำเท่าไรก็ได้

 

2.ขั้นตอนการเริ่มลงทุน

 

  • Step 1 : โหลดแอป

 

Webull → โหลดจาก App Store / Google Play  ได้เลย

Dime! → โหลดจาก App Store / Google Play ได้เลย

 

  • Step 2 : เปิดบัญชี

 

สมัครในแอป → กรอกข้อมูล (ชื่อ, ที่อยู่, รายได้) ยืนยันตัวตนด้วย บัตรประชาชน + ถ่ายรูปหน้า รอระบบอนุมัติ (ส่วนใหญ่ไม่เกิน 1 วัน) โอนเงินเข้าพอร์ต และ พร้อมซื้อ ETF ได้เลย

 

3.วิธีเลือก ซื้อ ETF ที่ใช่สำหรับเรา 

 

ถามตัวเองว่าอยากเกาะอะไร เช่น

 

  • หุ้นใหญ่สหรัฐฯ  S&P500 ETF (SPY, IVV)
  • หุ้นเทคโนโลยี  Nasdaq ETF (QQQ)
  • ทองคำ  Gold ETF (GLD)
  • ตราสารหนี้อเมริกา Vanguard Total Bond Market ETF (BND) 

 

ทั้ง Webull และ Dime! มี ETF พวกนี้ให้เลือกเยอะมากเหมือนกัน ซึ่งหากใครอยากมีตัวเลือกการลงทุนเพิ่มเติม พี่ทุยจะแปะในคอมเม้นนะฮะ โดย ETF แต่ละตัว เราสามารถดูข้อมูลได้ด้วยนะ ว่า ETF ที่เราเลือก ลงทุนในอะไร ผลตอบแทนในอดีต และค่าธรรมเนียมกอง และอัตราปันผลที่เคยจ่าย  เราสามารถดูเปรียบเทียบเพื่อหา ETF ที่ใช่สำหรับเราได้

 

4.วิธี ซื้อ ETF (Step by Step)

 

ถ้าใช้ Webull เข้าแอป → พิมพ์ชื่อ ETF เช่น VOO เลือก “Buy” ใส่จำนวนหุ้นเท่าไรก็ได้  แต่ต้องใส่เงินเริ่มต้นได้ 5 USD  อย่างที่พี่ทุยกดไป 0.01 หุ้น เท่ากับ 6 USD กดยืนยัน เท่ากับว่า เสร็จ โดยเวลาปิดให้ซื้อขายได้ทั้ง ก่อนตลาดเปิด (Pre-market ตั้งแต่สี่โมงเย็นไทย) และ หลังตลาดปิด (After-hours ต่อถึงแปดโมงเช้าไทย) เรียกว่ารวม ๆ แล้วเทรดได้เกือบ 16 ชั่วโมงต่อวันเลย แต่ข้อดี คือ ช่วงนี้ซื้อขายอาจจะยังไม่เสียค่าธรรมเนียม

 

ถ้าใช้ Dime! เปิดแอป → ค้นหา ETF ที่อยากได้ เช่น VOO  เลือกกดซื้อ → ใส่เงินเริ่มต้นได้ตั้งแต่ 50 บาท

กดยืนยัน → ETF เข้าพอร์ตทันที โดยใน Dime จะซื้อขายได้เฉพาะช่วงที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดจริง ๆ เท่านั้น ก็คือประมาณ สามทุ่มครึ่งถึงตีสี่ตามเวลาไทย กลางวันบ้านเรา ราคาจะไม่ขยับ เพราะตลาดปิดอยู่

 

5.ซื้อแล้วได้อะไร ?

 

เวลาซื้อ ETF จริง ๆ แล้ว มันไม่ได้เหมือนการซื้อหุ้นแค่ตัวเดียวที่เสี่ยงถ้าเจ๊งก็คือเจ็บเลย แต่ ETF มันเหมือนกับ “ตะกร้าที่ใส่หุ้นไว้หลายสิบ หลายร้อยตัว” พอเราซื้อกองเดียว ก็เหมือนเรากวาดหุ้นมาเป็นชุด ๆ กระจายความเสี่ยงไปในตัว 

 

สมมติบริษัทไหนสะดุดไปบ้าง มันก็ยังมีอีกหลายบริษัทมาค้ำยันพอร์ตเราอยู่ สิ่งที่น่าสนใจคือ มูลค่าของ ETF มันเติบโตตามเศรษฐกิจโลกจริง ๆ เช่น ถ้าเราซื้อ S&P500 ETF ก็เท่ากับเราเดินไปพร้อมกับการเติบโตของเศรษฐกิจอเมริกา ถ้าซื้อ SET50 ETF ก็เหมือนเราลงเรือลำเดียวกับหุ้นใหญ่สุดของไทยทั้งตลาด ไม่ต้องปวดหัวเลือกเองว่า “หุ้นไหนจะรุ่ง หุ้นไหนจะร่วง”

 

ที่เจ๋งคือ เริ่มต้นไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่เลย แค่หลักสิบ–หลักร้อยบาทก็เริ่มลงทุนได้แล้ว ลองคิดดูว่ามีเงิน 50 บาท แต่ได้ถือหุ้นยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Apple, Microsoft หรือ Amazon ผ่าน ETF ได้ทันที มันคือการเปิดประตูสู่โลกการลงทุนแบบที่เมื่อก่อนต้องใช้เงินเยอะมากถึงจะเข้าไปได้

 

แถมบางกองยังมีโบนัสเป็น เงินปันผล ที่จ่ายเข้าบัญชีเราเหมือนเงินเดือนเล็ก ๆ อีกด้วย เรียกว่าไม่ได้แค่รอราคาขึ้นอย่างเดียว แต่ยังมีเงินสดเข้ามาเติมกระเป๋าอีกทาง


พูดง่าย ๆ การซื้อ ETF ก็เหมือนเราได้ทั้ง “เพื่อนเยอะ” ที่ช่วยลดความเสี่ยง และยังได้ “ตั๋วเดินทางยาว ๆ” ไปกับเศรษฐกิจโลก โดยไม่ต้องเริ่มจากเงินก้อนใหญ่เลย

 

6.ลงทุนยังไงให้เหมาะกับเรา ?

หลายคนอาจสงสัยว่า “ซื้อ ETF แล้วต้องนั่งเฝ้าหน้าจอทั้งวันไหม” … คำตอบคือไม่จำเป็นเลยครับ วิธีที่ง่ายและเวิร์กสุดสำหรับมือใหม่ก็คือ DCA (Dollar Cost Averaging) หรือการทยอยลงทุนเท่า ๆ กันทุกเดือน

 

ลองนึกภาพว่า เราเลือก ETF ตัวหนึ่งไว้ เช่น S&P500 แล้วกำหนดเลยว่า จะลงเดือนละ 1,000 บาท ต้นเดือนเมื่อเงินเดือนออก ก็หักไปอัตโนมัติซื้อกองเดิมทุกครั้ง พอทำแบบนี้ต่อเนื่อง มันเหมือนเราค่อย ๆ วางก้อนอิฐทีละก้อน จนกลายเป็นกำแพงใหญ่ในอนาคต ซึ่งแอป webull สามารถตั้งให้หักบัญชีอัตโนมัติได้ด้วยนะ เหมือนเป็นการบังคับ DCA ไปในตัว 

 

การซื้อ ETF แบบ DCA ทุกเดือน ข้อดีคือ เราไม่ต้องกังวลว่าราคาจะขึ้นหรือลงวันไหน เพราะเวลาราคาถูก เราก็ได้ซื้อของถูก เวลาราคาแพง เราก็ซื้อได้น้อยลง เฉลี่ย ๆ กันไป สุดท้ายระยะยาวต้นทุนเราก็จะพอดี ไม่แกว่งเกินไป

 

หรือบางคนอาจไม่อยากลงทุนแบบลอย ๆ ก็สามารถ ผูกกับเป้าหมายชีวิต ได้ เช่น ถ้าอยากมีเงินเกษียณ

สบาย ๆ ก็เปิดพอร์ต ETF เอาไว้ยาว ๆ 20–30 ปี ถ้าอยากเก็บเงินส่งลูกเรียนต่อ ก็ลงทุนตามเป้าหมายระยะ 10–15 ปี หรือถ้าอยากเก็บเงินซื้อบ้าน ก็อาจเลือก ETF ที่เสี่ยงกลาง ๆ ไว้ 5–7 ปี

 

พูดง่าย ๆ คือ การลงทุนใน ETF ไม่ได้เป็นเรื่องของ “ตัวเลข” อย่างเดียว แต่มันคือการวางแผนชีวิตไปพร้อมกัน ลงทุนทีละนิด เหมือนค่อย ๆ ปลูกต้นไม้ พอถึงเวลาก็ได้ร่มเงา ผลไม้ หรือแม้แต่ใช้เป็นมรดกต่อให้ลูกหลานได้เลย

 

สุดท้ายแล้ว การลงทุนใน ETF ไม่ได้บอกว่ามันไ่ม่มีความเสี่ยงนะ คือมีเหมือเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าเงิน หรือ สภาวะเศรษฐกิจเอยไรเอย แต่พี่ทุยคิดว่ามันเสี่ยงน้อยกว่าการที่เราไปลงทุน หุ้นในตลาดนั้น ๆ แบบไม่กี่ตัวในพอร์ต โดยเวลาหุ้นลง มันจะลงหนักกว่าการถือดัชนี ซึ่งถ้าเราไม่มีเวลาหาความรู้แบบลงลึกกับบริษัทนั้นมาก ๆ พี่ทุยว่าการลงใน ETF นี่แหล่ะตอบโจทย์มากฮะ

 

ติดตามพี่ทุยเพิ่มเติมได้ที่ Facebook

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่

ไม่รู้จะลงทุนอะไรดี ? รู้จัก 9 กองทุน ETF สุดฮิตระดับโลก

 

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile