หุ้นกู้เวียดนามเบี้ยวหนี้ ภาคอสังหาฯ เสี่ยงเกิดวิกฤต?

หุ้นกู้เวียดนามเบี้ยวหนี้ ภาคอสังหาฯ เสี่ยงเกิดวิกฤต?

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • นับตั้งแต่ ก.ย. 2022 – ม.ค. 2023 มี 54 บริษัทในเวียดนามแล้วที่ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคอสังหาฯ ขณะที่ Novaland เป็นบริษัทอสังหาฯ​ รายใหญ่ล่าสุดที่ผิดนัดชำระหนี้ 
  • ปัญหาภาคอสังหาฯ เวียดนาม เริ่มมาจากการคุมเข้มสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้ภาคอสังหาฯ จากนั้นมีการจับกุมผู้บริหารบริษัทอสังหาฯ ในประเด็นการฟอกเงินผ่านอสังหาฯ พร้อมตรวจสอบบริษัทหลักทรัพย์ที่มีความเชื่อมโยงกับการออกหุ้นกู้ และนำไปสู่การออกกฎคุมเข้มการออกหุ้นกู้
  • ภาคอสังหาฯ เวียดนาม ยังไม่ถึงทางตัน เพราะภาครัฐปลดล็อคการปล่อยสินเชื่อ โดยเน้นไปที่ผู้พัฒนาและผู้ซื้อบ้านกลุ่มราคาที่เข้าถึงได้ อีกทั้งยังแก้กฎหมาย ช่วยผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่มีปัญหาขาดสภาพคล่องจ่ายหนี้หุ้นกู้อยู่
  • ถ้าตั้งใจเก็งกำไรระยะสั้นหุ้นเวียดนาม ช่วงนี้คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะ แต่ถ้าลงทุนยาว และลงทุนอยู่แล้ว ก็ใจเย็น ๆ รอแนวโน้มที่ดีระยะยาวได้

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ปลายเดือน ก.พ. 2023 ข่าวโด่งดังที่โลกการลงทุน ให้ความสนใจอย่างมาก ก็คือ หุ้นกู้เวียดนามเบี้ยวหนี้ จากการประกาศขอเลื่อนจ่ายคืนหนี้หุ้นกู้ของ No Va Land Investment Group บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ในเวียดนาม

ที่เดิมมีหุ้นกู้ครบกำหนดไถ่ถอน วันที่ 12 ก.พ. 2023 ทั้งหมด 1 ล้านล้านดอง หรือ 42 ล้านดอลลาร์ แต่บริษัทได้ออกมาประกาศในช่วงปลายเดือน ก.พ. 2023 ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ช่วยขยายเวลาชำระหนี้ออกไป หรือไม่ก็เลือกวิธีการแปลงเงินต้น เป็นผลิตภัณฑ์อสังหาริมทรัพย์ที่มีบริษัทมีอยู่แทน พร้อมยังบอกด้วยว่า ตอนนี้บริษัทกำลังหาวิธีการที่จะชำระหนี้คืนให้ได้ภายใน 2 เดือนอยู่

ถ้าสรุปง่าย ๆ จากข่าวนี้ No Va land ขอเลื่อนจ่ายคืนหนี้หุ้นกู้ ก็คือ ผิดนัดชำระหนี้นั่นแหละ ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่บริษัทอสังหาฯ รายแรกที่ผิดนัด เพราะ Hanoi Stock Exchage ออกมาให้ข้อมูลว่า นับตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2022 จนถึง 31 ม.ค.​2023 มีบริษัทที่ออกหุ้นกู้ 54 แห่ง แล้ว ที่ผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัทในภาคอสังหาฯ​ นั่นแหละ 

วันนี้ พี่ทุย เลยอยากจะชวนทุกคนมาวิเคราะห์กันว่า ปัญหาภาคอสังหาฯ เวียดนามที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ น่ากลัวมั้ย จะลุกลามทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจรึเปล่า และนักลงทุนอย่างเรา ควรจะรับมือยังไง กับสถานการณ์นี้ 

ก่อนอื่น พี่ทุยขอสรุปสถานการณ์ หุ้นกู้เวียดนามแบบสั้น ๆ ดังนี้ 

สรุปสถานการณ์ หุ้นกู้เวียดนามเบี้ยวหนี้

  • 16 ก.ย.​2022 – 31 ม.ค. 2023 บริษัทผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ 54 แห่ง
  • ปี 2023 มีหุ้นกู้ครบกำหนดไถ่ถอน 285.18 ล้านล้านดอง เป็นของบริษัทในภาคอสังหาฯ​ 130 ล้านล้านดอง 
  • Novaland ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ 1 ล้านล้านดอง (42 ล้านดอลลาร์)
  • Tan Hoang Minh Group / Van Thinh Phat Holdings Group / Sunshine Group กำลังหาทางขยายเวลาชำระหนี้หุ้นกู้อยู่
  • ไม่มีหุ้นกู้ภาคเอกชนออกใหม่เลยในเดือน ม.ค. 2023 หุ้นกู้ที่เสนอขายในเดือน ม.ค. เป็นหุ้นกู้ที่ออกมาตั้งแต่เดือน ธ.ค.​2022 

ที่มา : Hanoi Stock Exchange, สมาคมตลาดตราสารหนี้เวียดนาม 

จุดเริ่มต้นปัญหาการชำระหนี้ของภาคอสังหาฯ เวียดนาม

พี่ทุย ขอเล่าเพิ่มเติมว่า ปัญหาภาคอสังหาฯ ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ที่เกิดขึ้นในเวียดนามเวลานี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากในช่วงที่ผ่านมา สถาบันการเงินมีการปล่อยกู้ภาคอสังหาฯ ค่อนข้างมาก ทำให้ทางการเป็นห่วงเรื่องการเก็งกำไรในภาคอสังหาฯ จึงมีการควบคุมวงเงินการปล่อยกู้ของสถาบันการเงินมากขึ้น ทำให้สถาบันการเงิน ปล่อยสินเชื่อให้ภาคอสังหาฯ ได้น้อยลง 

ขณะที่ ภาคอสังหาฯ พึ่งพาเงินทุนระยะสั้นเป็นหลัก เมื่อกู้ยืมสถาบันการเงินได้ยากขึ้น ก็เลยหันไปซบอกตลาดตราสารหนี้แทน ด้วยการกู้ยืมระยะสั้นผ่านการออกหุ้นกู้ 

แต่แล้วเมื่อทางการออกมาปราบปรามการฟอกเงิน โดยพบว่า มีการทำกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย แล้วไปฟอกเงินผ่านตลาดอสังหาริมทรัพย์ ก็ได้มีการจับกุมผู้บริหารระดับสูงของบริษัทอสังหาฯ ไปในช่วงที่ผ่านมา พร้อมกับตรวจสอบบริษัทหลักทรัพย์ที่มีความเชื่อมโยงกับการออกหุ้นกู้ และนำไปสู่การออกกฎหมายเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมตราสารหนี้

ก็เลยทำให้บริษัทอสังหาฯ หลายแห่งอยู่ในภาวะตึงเครียดเรื่องหนี้ เพราะเมื่อเน้นหาเงินทุนระยะสั้น ก็แปลว่า เส้นตายการใช้หนี้ก็สั้นเช่นกัน ฉะนั้นก็ต้องหาทางกู้ยืมให้ได้ เพื่อมาใช้คืนหนี้เก่า ต่อลมหายใจออกไปอีก แต่เมื่อข้อจำกัดในการหาเงินทุนมีอยู่รอบด้าน แนวโน้มการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้จึงเกิดตามมา 

ปี 2023​ ช่วงลำบากของอสังหาฯ เวียดนาม ในการหาเงินทุน

สรุปปัญหาที่ภาคอสังหาฯ เวียดนามกำลังเจอ 

1. ผู้ประกอบการบางราย พัฒนาโครงการระดับไฮเอนด์ออกมามากเกินไป ซึ่งไม่เหมาะกับผู้ซื้อบ้านในประเทศส่วนใหญ่ที่มีรายได้ปานกลาง 

2. สภาพคล่องในระบบสถาบันการเงินของเวียดนามถูกจำกัดเอาไว้ 

3. ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างในการเข้าถึงสภาพคล่อง

ที่มา : vinacapital.com

ทั้งนี้ S&P Global Ratings เคยทำรายงานระบุว่า ในปี 2023 ภาคธุรกิจเวียดนามมีแนวโน้มเผชิญความยากลำบากมากขึ้น จากต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ปล่อยกู้ที่ลดลง กำลังส่งผลกระทบต่อภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ภาคอสังหาฯ 

ในรายงาน มีการวิเคราะห์โครงสร้างเงินทุนของบริษัทในเวียดนาม พบว่า บริษัทใหญ่ พึ่งพาเงินกู้ยืมระยะสั้น และช่องทางเงินทุนในประเทศเป็นหลัก ซึ่ง ณ วันที่ 30 ก.ย.​2022 มีมากกว่าครึ่งหนึ่งของหนี้บริษัทใหญ่ในเวียดนาม 25 แห่ง ที่จะครบกำหนดชำระใน 12 เดือนข้างหน้า

ขณะที่อายุเฉลี่ยของหนี้ 25 บริษัทใหญ่ อยู่ที่ 1-2 ปี เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าถึงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับอายุเฉลี่ยหนี้ของบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

จากโครงสร้างการเงินของธุรกิจเวียดนามค่อนข้างอ่อนแอ ส่วนใหญ่ลงทุนโดยพึ่งพาเงินกู้ยืมเป็นหลัก ซึ่งปัญหานี้จะตกผลึกให้เห็นชัดในปี 2023 เพราะเมื่อเน้นพึ่งพิงเงินทุนระยะสั้น แล้วช่องทางหาเงินทุนค่อนข้างแคบ

ขณะที่ในประเทศเวียดนามอัตราดอกเบี้ยก็สูงขึ้นมาก ทำให้บริษัทขนาดใหญ่มีต้นทุนในการระดมเงินทุนเพิ่มขึ้น และมีความเสี่ยงเรื่องการรีไฟแนนซ์ นอกจากนี้ยังพบว่า ความเสี่ยงเรื่องธรรมาภิบาล และความโปร่งใส ก็เป็นเรื่องใหญ่ของบริษัทในเวียดนามเช่นกัน เวลานี้ 

ขณะที่ นักวิเคราะห์ของ FiinRatings ก็คาดการณ์คล้าย ๆ กันว่า แรงกดดันในการชำระคืนหนี้ของผู้ประกอบการจะถึงจุดสูงสุดในปี 2023 ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญของภาคธุรกิจ ในเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลง ขณะที่การหาเงินทุน เป็นเรื่องยากที่ธุรกิจที่จะได้รับการสนับสนุนจากเจ้าหนี้และนักลงทุน ซึ่งต่างจากปี 2022 ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ แห่แหนมาลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนของเวียดนาม เพราะอัตราดอกเบี้ยที่ดึงดูดใจเมื่อเทียบกับเงินฝาก 

แต่มาถึงเวลานี้ ถึงจะออกหุ้นกู้โดยให้อัตราดอกเบี้ยสูง ก็ไม่จูงใจนักลงทุนแล้ว เพราะพวกเขากังวลกับความเสี่ยงมากกว่า

ขณะที่ หากวิเคราะห์ความสามารถในการกู้ยืมของภาคธุรกิจในปี 2023 พบว่า ระดับความแตกต่างของความสามารถจะชัดเจนมาก โดยบริษัทที่มีความสามารถในการชำระหนี้ไม่ดี ก็จะมีสภาพคล่องต่ำ บริษัทเหล่านี้จะถูกบังคับให้ต้องทำงานร่วมกับผู้ถือหุ้นกู้และเจ้าหนี้ เพื่อหาทางปรับโครงสร้างเงื่อนไขการชำระหนี้ 

ส่วนกลุ่มบริษัทที่มีความสามารถชำระหนี้ดี กลุ่มนี้ อาจจำกัดกิจกรรมทางธุรกิจ ขอไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด หรือรอสัญญาณบวกที่มากกว่านี้ก่อนค่อยเดินหน้า และบางธุรกิจก็อาจจะดำเนินธุรกิจเชิงรุก โดยการไปควบรวม เข้าซื้อกิจการไปเลย 

หุ้นกู้เวียดนามเบี้ยวหนี้ ภาคอสังหาฯ เวียดนาม จะถึงทางตันรึเปล่า

ดูไปดูมา ก็เหมือนมีอุปสรรครอบด้าน ความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็น้อย โอกาสกู้เงินใหม่มาก็ยากขึ้น แล้วตกลงบริษัทอสังหาฯ เวียดนามถึงทางตันรึเปล่า 

พี่ทุย มองว่า ปัญหานี้ ยังมีทางออกรออยู่ ทางไม่ได้ตัน สำหรับบริษัทอสังหาฯ ทุกแห่ง แต่ตันสำหรับบริษัทที่มีโครงสร้างเงินพึ่งพาเงินกู้เป็นหลัก และการเติบโตช่วงที่ผ่านมา มาจากแรงเก็งกำไร ไม่ใช่ความต้องการซื้ออยู่อาศัยที่แท้จริง ส่วนบริษัทอสังหาฯ ที่มีเงินสด หรือเงินทุนหมุนเวียนอยู่เยอะ และพัฒนาอสังหาฯ ที่สอดคล้องกับความต้องการอยู่อาศัยที่แท้จริง ก็ยังคงรอดพ้นสถานการณ์ไปได้ 

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ มีข่าวดีว่า State Bank of Vietnam หรือ SBV ซึ่งเป็นธนาคารกลางของเวียดนาม มีการขยายวงเงินการปล่อยกู้ให้กับธนาคารพาณิชย์ เพิ่มขึ้น 1.5-2% ซึ่งจะทำให้ปล่อยกู้ได้เพิ่มขึ้น 457 ล้านล้านดอง หรือ 19,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2023 

ขณะเดียวกัน เมื่อมาดูที่ตลาดตราสารหนี้ ก็พบว่า กระทรวงการคลังของเวียดนามได้เสนอแก้ไขกฎหมาย Decree ฉบับที่ 65/2022 ซึ่งเป็นกฎหมาย ที่ออกมาเพื่อควบคุมการออกหุ้นกู้ และรัฐบาลก็ไฟเขียวมาแล้ว เมื่อว้นที่ 5 มี.ค. 2023 โดยออกเป็นกฎหมาย Decree ฉบับที่ 08/2023

การแก้ไขกฎหมายเพื่อผ่อนคลายการคุมเข้มตลาดหุ้นกู้ 

1. ให้บริษัทขอขยายเวลาชำระหนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนด ออกไปได้นาน 2 ปี ถ้าผู้ถือหุ้นกู้ 65% อนุมัติ

2. อนุญาตให้ใช้สินทรัพย์อื่น เช่น ผลิตภัณฑ์อสังหาริมทรัพย์ ชำระหนี้ แทนเงินต้นและอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ได้

3. ยกเลิกเกณฑ์สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่จะลงทุนในตลาดตราสารหนี้ จากเดิมต้องมีหุ้นในพอร์ต 2,000 ล้านดอง (84,370 ดอลลาร์) อย่างน้อย 180 วัน ถึงจะลงทุนในตลาดตราสารหนี้ได้

4. ยกเลิกเกณฑ์ที่ผู้ออกตราสารหนี้ต้องกระจายตราสารหนี้ให้ผู้ถือครองภายใน 30 วัน นับตั้งแต่ประกาศออกตราสารหนี้มา ทำให้ผู้ออกตราสารมีเวลาพิจารณาศักยภาพนักลงทุนมากขึ้น

พี่ทุยเชื่อว่า การผ่อนคลายกฎหมาย ในข้อสำคัญเหล่านี้ ก็น่าจะช่วยลดความตึงเครียดในประเด็นการผิดนัดชำระหนี้ได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่ข้อสำคัญคือต้องจับตาต่อไปว่า ผ่อนคลายให้แล้ว บริษัทที่มีปัญหาชำระหนี้อยู่ ก็ต้องเดินหน้าแก้ปัญหาภายใต้แนวทางที่ผ่อนคลายให้ด้วย แถมยังต้องมารอดูนักลงทุนกันต่ออีกว่า จะมีความเชื่อมั่นลงทุนหุ้นกู้แค่ไหน เพราะขยายเกณฑ์ขนาดนี้ ก็เหมือนเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า สถานการณ์ตลาดหุ้นกู้ ดูอาการไม่ดีจริง ๆ แหละ

ทั้งนี้ SSI Securities Corp. วิเคราะห์ว่า การผิดนัดชำระหนี้ที่กำลังขยายวงในเวียดนาม​ เป็นประเด็นที่นักลงทุนมีความกังวล​สิ่งที่จำเป็นต้องทำเวลานี้คือ ผู้ออกหุ้นกู้ ต้องเรียกประชุมผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อหารือแนวทางแก้ไข รวมถึงประเด็นการขอไถ่ถอน การค้ำประกันเพิ่มเติม หรือการยกเว้นการผิดนัดชำระหนี้ 

สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือ การระบาดของการผิดนัดชำระหนี้ ยังคงเป็นประเด็นกังวล จากข้อมูลของ SSI Securities Corp. สิ่งที่จำเป็นตอนนี้คือ ผู้ออกหุ้นกู้ต้องเรียกประชุมผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อหารือแนวทางแก้ไข รวมถึงการไถ่ถอน การค้ำประกันเพิ่มเติม หรือการยกเว้นการผิดนัดชำระหนี้

ส่วนรายงานของ Vina Capital ชี้ว่า มีข่าวว่า ภาครัฐสนับสนุนสินเชื่อ 10,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับผู้พัฒนาอสังหาฯ และผู้ซื้อบ้านในกลุ่มราคาที่เข้าถึงได้ ผ่านวงเงินการปล่อยสินเชื่อที่ธนาคารกลางเวียดนามขยายให้ธนาคารพาณิชย์

ซึ่งถ้าเป็นไปตามนี้ ก็จะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยให้ภาคอสังหาฯ เดินหน้าต่อไปได้ เพราะส่วนสำคัญในปัจจุบันที่เป็นปัญหาคือ อัตราดอกเบี้ย โดย สินเชื่อจำนองของธนาคารในเวียดนาม คิดอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 12% ซึ่งสูงมาก สำหรับคนที่ต้องการซื้อบ้าน ถ้ามีความช่วยเหลือจากรัฐบาล ก็จะช่วยบรรเทาปัญหาได้ 

ขณะที่ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารเอกชน อยู่ในระดับ มากกว่า 8% สำหรับเงินฝาก 1 ปี ในเวลานี้ ทำให้นักลงทุนที่ต้องการซื้ออพาร์ทเมนต์เพื่อรับผลตอบแทนจากการลงทุน เปลี่ยนไปฝากเงินกับธนาคารแทน

แต่จากแนวโน้มในอนาคต คาดว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 6-12 เดือนข้างหน้า จะลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 6% และเงินดองที่อ่อนค่าลง 1-2% อาจจะทำให้คนที่ฝากเงินเปลี่ยนใจ กลับมาหาตลาดการให้เช่าอสังหาฯ และหุ้นแทน ซึ่งก็จะเป็นอีกความหวังหนึ่งที่ทำให้มีเงินไหลเข้ามาในภาคอสังหาฯ มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ก็อาจจะยากเล็กน้อย ถ้าต้องการเห็นเงินฝากลดลงมากกันตั้งแต่ปี 2023 

โดยรวมแล้ว Vina Capital ยังเชื่อว่า ในระยะยาว ตลาดอสังหาฯ เวียดนาม มีความแข็งแกร่งอยู่ เนื่องจากมีแรงหนุนสำคัญมาจากเศรษฐกิจเวียดนามที่เติบโตสูง ซึ่งจะทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยใหม่ยังคงเติบโต จากจำนวนผู้บริโภคที่มีรายได้ปานกลางที่เติบโตขึ้น เพียงแต่การพัฒนาโครงการในปัจจุบัน ยังมีบ้านที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ซื้อน้อยกว่าที่เป็น อีกทั้งผู้ประกอบการเผชิญความท้าทายจากเรื่องสภาพคล่อง และการอนุมัติโครงการช้าลงของภาครัฐอยู่ ถ้าภาครัฐเข้ามาแก้ปัญหาพวกนี้ เวียดนามกะผ่านพ้นความท้าทาย และปัญหาภาคอสังหาฯ ก็จะไม่กลายเป็นวิกฤติอย่างที่บางคนกลัว 

ด้าน ​CBRE Vietnam มองว่าตลาดหุ้นก็เป็นอีกแหล่งเงินทุนสำคัญของผู้ประกอบการและนักลงทุน ถ้าตลาดหุ้นเวียดนาม ฟื้นตัว ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1,300-1,400 จุด ก็จะมีเงินทุนไหลเข้ามาสู่ภาคเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงภาคอสังหาฯ เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

โดยรวมแล้ว พี่ทุยเองก็เชื่อว่า รัฐบาลเวียดนามคงไม่ปล่อยให้ภาคอสังหาฯ วิกฤต พอถึงจุดพีคแล้วคงต้องออกมาอุ้มแน่นอน เพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามบานปลาย เพียงแต่ก่อนจะอุ้ม ก็ขอจัดระเบียบให้ดีขึ้นเสียก่อน ทำให้ตลาดเข้ารูปเข้ารอย ทั้งในแง่การพัฒนาโครงการที่ตรงกับความต้องการผู้อยู่อาศัยที่แท้จริง ไม่ใช่ความต้องการเก็งกำไรของนักลงทุน

การจัดการโครงสร้างเงินทุน ที่ควรมีกระแสเงินสด หรือสภาพคล่องสำรองมากขึ้น ไม่ใช่พึ่งพาเงินทุนระยะสั้นเป็นหลักเพื่อไปลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาฯ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนานาน

รวมถึงการจัดระเบียบตลาดตราสารหนี้ ไม่ให้ใครนึกอยากออกก็ออก แล้วมาใช้ช่องทางนี้ฟอกเงิน แต่จะออกตราสารหนี้ได้ก็ต้องมีความโปร่งใสเรื่องข้อมูลมากขึ้น เพื่อไม่ให้นักลงทุนรายย่อยเสียเปรียบ ขณะที่นักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดได้ก็ต้องมีความรู้พอสมควร เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อบริษัทที่ไม่มีคุณภาพ

การทำเช่นนี้ ก็จัดระเบียบเหล่านี้ ก็ถือว่า ​เวียดนามมาถูกทางแล้วในการสร้างเครื่องมือเพื่อสนับสนุนการพัฒนาตลาดที่ยั่งยืน มีเครื่องมือที่จะช่วยให้นักลงทุนได้มองเห็นข้อมูลมากขึ้นประเมินความเสี่ยงจากการลงทุนได้ดีขึ้น ป้องกันเรื่องคาดไม่ถึงเกิดขึ้นให้น้อยลง เรียกว่า เป็นการพัฒนาแบบช้าแต่ชัวร์

หุ้นกู้เวียดนามเบี้ยวหนี้ กราฟ

นักลงทุนอย่างเราต้องรับมือ หุ้นกู้เวียดนามเบี้ยวหนี้ อย่างไร

เมื่อเวียดนาม ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวของความกังวลเรื่องการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ของภาคอสังหาฯ คำถามต่อมาคือ นักลงทุนอย่างเราล่ะ ที่สนใจลงทุนในเวียดนาม หรือว่าลงทุนเวียดนามอยู่แล้ว ต้องทำอะไร

สำหรับกลุ่มที่สนใจลงทุน แต่ยังไม่ได้ลงทุน พี่ทุยมองว่า เมื่อสถานการณ์ยังไม่ชัดเจน ก็อาจจะรอดูความคืบหน้าของการแก้ปัญหาหุ้นกู้ภาคอสังหาฯ​ ก่อนก็ได้ เมื่อทุกอย่างชัดเจน ดูสบายใจกับปัญหานี้ได้แล้ว ค่อยลงทุนก็ยังไม่สายเกินไป

เพราะปัญหาในตลาดหุ้นกู้ ก็อาจจะกระทบตลาดหุ้นไปด้วย อีกทั้งเวลาที่นักลงทุนมีความกังวลว่าประเด็นนี้จะกระทบเศรษฐกิจ ก็จะกระทบบรรยากาศความสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไปด้วย โดยเฉพาะตลาดที่มีรายย่อยเยอะแบบเวียดนาม มีโอกาสผันผวนได้มากทีเดียว เวลานักลงทุนรายย่อยตกใจข่าวอะไรที่ออกมา

ส่วนคนที่ลงทุนหุ้นเวียดนามอยู่ ทั้งที่ลงทุนผ่านกองทุน หรือมีบัญชีซื้อขายหุ้นเวียดนามโดยตรงผ่านบริษัทหลักทรัพย์ พี่ทุย ขอแยกเป็น 2 กรณี 

กรณีแรก คือ ตั้งใจเข้าไปลงทุนเวียดนามเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น กรณีนี้ พี่ทุยมองว่า ถ้าเข้าไปลงทุนไว้แล้วก่อนหน้านี้ แล้วได้กำไรอยู่ ก็อาจจะขายออกมาก่อน เพื่อรอดูความชัดเจน 

กรณีที่สอง คือ ตั้งใจลงทุนเวียดนามระยะยาว พี่ทุยมองว่า ก็ลงทุนต่อไปได้ สำหรับเงินก้อนเดิมที่ลงทุนไปแล้ว ส่วนเงินก้อนใหม่ที่เตรียมจะใส่ไปเพิ่ม ก็อาจจะรอดูความชัดเจนของการแก้ปัญหาหุ้นกู้ แล้วค่อยเติมเงินลงทุนใหม่ ก็ยังไม่สายเกินไป 

ในกรณีที่ลงทุนผ่านกองทุนรวม ก็อาจจะลองไปดูข้อมูลของกองทุนหน่อยว่า มีการลงทุนในหุ้นอะไรอยู่บ้าง เพื่อดูว่าเป็นการลงทุนในหุ้นที่มีอนาคตดีจริงหรือไม่ หากดีอยู่แล้ว ก็รอคอยต่อไปอย่างใจเย็น เพราะระยะยาวแล้วแนวโน้มตลาดหุ้นเวียดนาม ยังไงก็เป็นตลาดที่ฉายแววโดดเด่นทีเดียวในอาเซียน แต่ถ้าไม่มั่นใจในฝีมือคัดเลือกหุ้น อาจจะต้องเปลี่ยนใจไปซบอกกองทุนอื่นที่เชื่อมั่นมากกว่า 

อย่างไรก็ตาม หากเป็นการลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งโดยตรงเอง ก็อาจจะต้องไปประเมินหุ้นที่ลงทุนอยู่ด้วยว่า ได้รับผลกระทบจากประเด็นหุ้นกู้ภาคอสังหาฯ แค่ไหน และหุ้นที่เลือกลงทุนอยู่ ยังมีศักยภาพเติบโตในระยะยาวได้เหมือนเดิม อย่างที่เคยมองไว้จริงหรือเปล่า เพราะการลงทุนระยะยาว จะให้ผลตอบแทนดีได้ ก็ต่อเมื่อ เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพด้วย

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile