โจ ไบเดน (Joe Biden) ชนะการเลือกตั้งและได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ระบาดอย่างรุนแรง ในวันรับตำแหน่งเขาได้ประกาศแผนยุทธศาสตร์เพื่อเยียวยาประชาชน และมาตรการฟื้นฟู “เศรษฐกิจสหรัฐฯ” ที่มีชื่อว่า “Build Back Batter”
ร่วม 2 ปีของวิกฤตโควิด-19 ทำให้ธุรกิจปิดกิจการหรือล้มละลายจำนวนมาก การเดินทางและการบินทั่วโลกต้องหยุดนิ่ง และผู้คนนับล้านตกงานและขาดรายได้อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จนเศรษฐกิจโลกปี 2563 ตกต่ำสุดในรอบเกือบ 100 ปี จากไวรัสที่แพร่ระบาดไปทั่วทุกมุมโลก
แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนอย่างรวดเร็วไปแล้วมากกว่า 4,200 ล้านคนหรือคิดเป็น 55% ของประชากรโลก และวัคซีนเข็มสองอีกกว่า 40% รวมถึงประชาชนบางส่วนฉีดวัคซีนเข็มสามหรือ Booster Dose กันไปแล้ว เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การแพร่ระบาดลดดีกรีความรุนแรงลง ภาคธุรกิจกลับมาเปิดกิจการได้อีกครั้ง ผู้คนกล้าออกไปใช้ชีวิตได้ตามปกติมากขึ้น รวมถึงนักลงทุนกลับมาเชื่อมั่นในตลาดอีกครั้ง
แม้วัคซีนจะช่วยให้ทุกอย่างทยอยกลับมาเป็นปกติมากขึ้น แต่สิ่งที่วิกฤตโควิด-19 ได้ฝากเอาไว้ คือ โครงสร้างและกิจกรรมหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปจนไม่อาจกลับมาเหมือนเดิมได้อีก (Disruption) ทำให้หลายประเทศทั่วโลกนอกจากจำเป็นต้องออกมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบแล้ว ยังต้องมีมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามมาด้วย โดยเฉพาะมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลกอย่างสหรัฐฯ
“Build Back Better” นโยบายเพื่อให้สหรัฐฯ ดีขึ้นและดีกว่าเดิม
ย้อนกลับไปในช่วงที่นายโจ ไบเดน (Joe Biden) ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 เมื่อเดือน ม.ค. 2564 เขาได้ประกาศแผนยุทธศาสตร์เพื่อเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีชื่อว่า “Build Back Batter”
หรือนโยบายของ ปธน.โจ ไบเดน เพื่อให้ “เศรษฐกิจสหรัฐฯ” ดีขึ้นและดีกว่าเดิม โดยเน้นส่งเสริมการผลิตในประเทศ ลดการพึ่งพาต่างชาติ ผลักดันให้ชาวอเมริกันมีงานทำและเกิดรายได้เพื่อสร้างมูลค่าให้กับประเทศในอนาคต รวมถึงเน้นความร่วมมือกับต่างประเทศแต่สหรัฐฯ ต้องได้ประโยชน์
ซึ่งนโยบายดังกล่าวมีความคล้ายคลึงและแตกต่างจากนโยบายอเมริกาต้องมาก่อน (American First) ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ที่มีความเป็นชาตินิยมสูงและมุ่งรักษาผลประโยชน์ให้กับประเทศและชาวอเมริกัน แต่เลือกที่จะไม่ร่วมมือกับต่างประเทศ
สำหรับแผนยุทธศาสตร์ของ ปธน. โจ ไบเดน เพื่อต้องการนำพาเศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม และการเมืองสหรัฐฯ ฉีกหนีความยิ่งใหญ่จากประเทศมหาอำนาจที่เขยิบเข้ามาเทียบเคียงมากขึ้นอย่างจีน ประกอบไปด้วย 3 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่
1. Buy America หรือ การซื้อของอเมริกาด้วยเพิ่มการผลิตขึ้นในประเทศให้มากขึ้น ลดการพึ่งพาจากต่างชาติ มุ่งเน้นการวิจัยและการพัฒนาสินค้าและเทคโนโลยี โดยเฉพาะที่เป็นวัตถุดิบแห่งอนาคต อาทิ เหล็ก แร่ธาตุ และชิป เป็นต้น
2. Make It America หรือ การเพิ่มความยิ่งใหญ่ให้กับสหรัฐฯ ด้วยการสร้างงานสร้างคนในภาคอุตสาหกรรมที่เป็นไฮเทคและนวัตกรรม และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต อาทิ อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า AI และพลังงานสะอาด
3. Supply America หรือ การดึงบริษัทอเมริกากลับเข้ามาในประเทศอีกครั้ง เพื่อลดการพึ่งพาห่วงโซ่การผลิตจากภายนอกประเทศในอุตสาหกรรมสำคัญ อาทิ อุตสาหกรรมทางการแพทย์ เซมิคอนดักเตอร์ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมโลกต่อไป
แผนการกระตุ้นและฟื้นฟูประเทศของสหรัฐฯ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
จะเห็นว่าการวางเป้าหมายยุทธศาสตร์ “Build Back Better” ของ ปธน. โจ ไบเดน ที่ครอบคลุมทุกมิติ นับว่าเป็นแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่และยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ และของโลกด้วยมูลค่าวงเงินรวมราว 5 ล้านล้านดอลลาร์หรือคิดเป็นกว่า 20% ของ GDP สหรัฐฯ และใช้พัฒนาเศรษฐกิจต่อเนื่องยาวนานถึง 10 ปีเลยทีเดียว มี 3 แผนงาน ดังนี้
1. American Rescue Plan (ARP) เป็นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเร่งด่วนระยะสั้นเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่ง ปธน. โจ ไบเดน ได้อนุมัติเรียบร้อยเมื่อเดือน มี.ค. 2564 ที่ผ่านมา ด้วยวงเงินรวมราว 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 8.9% ของ GDP สหรัฐฯ
วงเงินในแผนงานนี้ถูกใช้สำหรับการช่วยเหลือและการเยียวยาจากโควิด-19 เช่น การแจกเช็คเงินสดให้ชาวอเมริกันที่มีงานทำ (แต่รายได้ไม่เกิน 80,000 ดอลลาร์/ปี และ 160,000 ดอลลาร์/ปี สำหรับมีคู่สมรส) คนละ 1,400 ดอลลาร์ การให้เงินสำหรับผู้ว่างงานและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ งบช่วยเหลืออุตสาหกรรมการบิน และงบสำหรับการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เป็นต้น
2. American Jobs Plan (AJP) เป็นแผนงานเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ของประเทศโดยเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ ด้วยมูลค่าวงเงินรวมราว 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 5.6% ของ GDP สหรัฐฯ
โดยทาง ปธน. โจ ไบเดน เคยกล่าวไว้ว่า โครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ ในปัจจุบันเป็นของเดิมที่มีอายุ 70 ปีมาแล้ว ทั้งล้าสมัยและทรุดโทรมลงไปมาก จึงถึงเวลาที่ต้องพัฒนาโครงสร้างใหม่ขึ้นมาเพื่อรองรับโลกอนาคตไปอย่างน้อยอีก 10 ปี
ล่าสุดเมื่อกลางเดือน พ.ย. 2564 ที่ผ่านมา ทาง ปธน. โจ ไบเดน ได้ลงนามอนุมัติแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศแล้วด้วยมูลค่าวงเงินรวม 5.5 แสนล้านดอลลาร์ โดยมีชื่อเป็นทางการว่า Infrastructure Investment and Jobs Act: IIJA สำหรับการลงทุนใหม่ของประเทศที่ครอบคลุมทั้งการสร้างทางรถไฟ สนามบิน ท่าเรือ ระบบขนส่งสาธารณะ สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงโดยมีระยะเวลาดำเนินการ 10 ปี (ปี 2565 – 2574)
3. American Families Plan (AFP) เป็นแผนงานเพื่อยกระดับสวัสดิการทางสังคม สร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำของชาวอเมริกัน ซึ่งหลายคนคงทราบกันดีว่าสหรัฐฯ แม้จะเป็นมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก แต่ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวย-คนจน สูงติดอันดับโลกเช่นกัน
โดยแผนงานนี้มีมูลค่าวงเงินรวม 1.75 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 8.4% ของ GDP สหรัฐฯ ครอบคลุมการเข้าถึงการรักษาพยาบาล การเรียนฟรีในระดับเตรียมอนุบาล การยกเว้นค่าเล่าเรียนแหล่งศึกษาในพื้นที่ชุมชน การจัดตั้งโครงการฝึกอบรมเด็ก การให้เงินชดเชยกรณีลาเพื่อดูแลบุตรและคนในครอบครัว ล่าสุดได้มีการอนุมัติร่างกฎหมายเรียบร้อยแล้วและจะดำเนินการในขั้นตอนของวุฒิสภาสหรัฐฯ ต่อไป
แม้แผนการกระตุ้นครั้งนี้จะก่อให้เกิดภาระหนี้ที่สูงขึ้น แต่นับว่าคุ้มค่าต่อ “เศรษฐกิจสหรัฐฯ” ในระยะยาว
จากแผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ชัดเจนและมูลค่าวงเงินมากมายมหาศาล ทำให้หน่วยงานเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ และของโลกหลายแห่งคาดการณ์กันว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานตามแผนงานที่ 2 จะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวเฉลี่ย 2.0% ต่อปีในช่วง 10 ปีข้างหน้า และสร้างตำแหน่งงานใหม่ได้ถึง 1.5 ล้านตำแหน่งต่อปีเลยทีเดียว
และหากรวมกับแผนงานที่ 3 เข้าไปแล้วจะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวเฉลี่ยได้ถึง 2.5 – 3.0% ต่อปีในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ นับว่าเป็นระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงมากสำหรับประเทศพัฒนาแล้วที่มีขนาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม จากเม็ดเงินมากมายขนาดนี้แม้จะส่งผลดีเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่ตามมาคือภาระหนี้ที่สูงขึ้น โดยทางสำนักงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ (Congressional Budget Office: CBO) คาดว่า หากกฎหมายมีผลบังคับใช้ได้สำเร็จจะดันให้หนี้รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 130% ต่อ GDP ณ สิ้นปี 2574 เทียบกับปัจจุบันที่ประมาณ 102% ต่อ GDP
ทั้งนี้ ระดับหนี้ที่เพิ่มขึ้นจะไม่ส่งผลต่อฐานะการคลังของประเทศ โดยทาง CBO ประเมินว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะขาดดุลการคลังลดลงจาก 10.3% ต่อ GDP เหลือเพียง 4.4% ช่วงปี 2565 – 2574 เนื่องจาก ปธน. โจ ไบเดน มีแผนเพิ่มรายได้ด้วยการจัดเก็บภาษีครั้งใหญ่
เช่น การปรับขึ้นภาษีนิติบุคคล (Corporate tax) จาก 21% เป็น 28% การปรับขึ้นภาษีรายได้จากบริษัทเทคโนโลยีที่อยู่นอกประเทศจาก 10.5 – 13.125% เป็น 21% การปรับขึ้นภาษีกำไรและเงินปันผลจากการลงทุนจาก 20% เป็น 39.6% รวมถึงการปรับขึ้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ที่มีรายได้มากกว่า 4 แสนดอลลาร์ต่อปีขึ้นไปจาก 37% เป็น 39.6%
แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากแผนงาน “Build Back Better” ในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นในระยะสั้นบ้างแล้ว เห็นได้จากตั้งแต่เดือน มี.ค. 2564 มีเงินไหลกลับเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากขึ้น โดยดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 20% เทียบกับตลาดหุ้นเอเชียอย่างญี่ปุ่นและจีนที่เพิ่มขึ้นเพียง 2-3% เท่านั้น
ขณะที่หากมองอนาคตในระยะยาวแล้ว จากโปรเจคใหญ่ของสหรัฐฯ ครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มโมเมนตัมให้กับเศรษฐกิจ ธุรกิจ และตลาดการเงินโดยรวมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่รัฐบาลสหรัฐฯ ให้ความสำคัญและเร่งการลงทุน เช่น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อม รถยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและการก่อสร้าง เป็นต้น
พี่ทุยจึงอยากย้ำว่าในยุคหลังวิกฤตโควิด-19 ไม่ว่าสถานการณ์ทั่วโลกจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด การปรับตัวพร้อมรับเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการตัดสินใจเรื่องการออมเงินและเลือกลงทุนให้เหมาะสมกับตนเอง ซึ่งจะทำให้นักลงทุนอย่างเราสามารถอยู่รอดอย่างมีความสุขและยั่งยืนได้ในโลกอนาคต