“ราคาน้ำมัน” ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอดปี 2021 นี้ ถึงแม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะเศรษฐกิจโลกที่กำลังกลับมาคึกคักหลังซบเซาลงไปอย่างหนักจากโควิด-19 แต่ส่วนที่สำคัญที่ทำให้น้ำมันขยับขึ้นสู่จุดสูงสุดในรอบ 6 ปี เป็นผลจากการประชุมของกลุ่ม OPEC ที่ผ่านมา
ราคาน้ำมันดิบซื้อขายล่วงหน้า West Texas Intermediate ของตลาดสหรัฐ ปรับขึ้น 1.6% ไปอยู่ที่ 78.38 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2014 เลยทีเดียว ส่วนราคาน้ำมันดิบสำหรับตลาดหลักอย่าง Brent ก็ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยอยู่ระดับ 77.32 ดอลลาร์สหรัฐ หรือสูงที่สุดนับตั้งแต่ปลายปี 2018 ก่อนจะมีการปรับตัวลงมาเล็กน้อยจากความกังวลเรื่องการระบาดครั้งใหม่ของโควิดสายพันธ์ุเดลต้า
วันนี้พี่ทุยจะพาไปเจาะลึกเบื้องหลังการปรับขึ้นของน้ำมันในงวดนี้ รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นทั้งต่อพอร์ตการลงทุนด้วย
OPEC กลุ่มผู้ค้าน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก
โดยทั่วไปแล้ว “ราคา” ของอะไรก็ตามบนโลกนี้มักจะขึ้นอยู่ตามกฎของอุปสงค์และอุปทาน ถ้าของมีเยอะแล้วความต้องการน้อยราคาก็จะถูก ในทางกลับกันถ้าของมีน้อยแต่ความต้องการเยอะราคาก็จะยิ่งสูงขึ้น
เรื่องของ “ราคาน้ำมัน” ก็เช่นกัน โลกของเรามีการรวมกลุ่มประเทศส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกเพื่อกำหนดปริมาณน้ำมันที่ออกสู่ตลาดโลก หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ OPEC โดยประกอบไปด้วยประเทศที่ผลิตน้ำมัน อย่างเช่น ซาอุดิอาระเบีย คูเวต และเวเนซุเอลา เป็นต้น ซึ่งเมื่อรวมตัวกันแล้ว OPEC ครอบครองการผลิตน้ำมันดิบถึง 40% ของโลก และยังมีบ่อน้ำมันดิบรวมกันคิดเป็น 80% ของโลกด้วย
ด้วยส่วนแบ่งการตลาดดังกล่าว ทำให้กลุ่ม OPEC มีอำนาจในการกำหนดราคาตลาดน้ำมันดิบ โดยหากราคาน้ำมันดิบนั้นถูกเกินไป OPEC ก็สามารถลดกำลังการผลิตลงได้เพื่อดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น ซึ่งกลุ่ม OPEC มีอำนาจในการกำหนดตลาดมาโดยตลอดจนกระทั่งเจอคู่แข่งที่สำคัญอย่างผู้ผลิตในสหรัฐที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงขุดเจาะน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil) ที่อยู่ลึกลงไปกว่าการขุดเจาะน้ำมันปกติ ยังไม่นับคู่แข่งตัวฉกาจของ OPEC อย่างรัสเซียที่เป็นประเทศส่งออกน้ำมันรายใหญ่เช่นกัน
เมื่อคู่แข่งเพิ่มขึ้น สินค้าในตลาดมีเพิ่มมากขึ้น ย่อมทำให้ราคาปรับตัวลดลงเป็นธรรมดา หลังจากปี 2008 เลยเป็นจุดสิ้นสุดของยุคน้ำมันแพงกว่า 140 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
โควิดทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลงอย่างกระหันทัน
ยิ่งในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิคระลอกแรกเดือน มี.ค. 2020 ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลงจากความต้องการใช้งานที่ลดลง จนทำให้มีช่วงเวลาที่ราคาน้ำมันตกลงถึงขนาด “สัญญาณซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า” มีราคาที่ต่ำกว่า 0 ดอลลาร์เลยทีเดียว ทำให้ OPEC+ ได้ข้อตกลงร่วมกันในการลดการผลิตลงไปกว่า 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน นับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2020 เป็นต้นมา ก่อนจะสิ้นสุดลงในเดือน เม.ย. 2022
แต่หลังจากที่โลกเราเริ่มควบคุมสถานการณ์การระบาดได้ดีมากขึ้น เศรษฐกิจก็เริ่มฟื้นตัวโดยเฉพาะสหรัฐและจีน ก็ยิ่งทำให้ความต้องการใช้น้ำมันดีดตัวกลับเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 จึงไม่แปลกที่ราคาน้ำมันจะอยู่ในช่วงขาขึ้นในช่วงนี้
กลุ่มผู้ค้าน้ำมันเริ่มมีการวางแผนการผลิตเพิ่มขึ้น
ปัจจัยหนึ่งที่พอจะเป็นตัวชะลอความร้อนแรงของราคาน้ำมันได้บ้าง ก็คงจะเป็นเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นั่นแปลว่า เดี๋ยวเรากำลังจะได้เห็นกลุ่มผู้ค้าน้ำมันเริ่มกลับมาเดินเครื่องการผลิตที่มากขึ้น จากรายงานล่าสุดที่ Reuters สามารถไปเอาออกมาจากแหล่งข่าวได้ พบว่า รัสเซียและซาอุดิอาระเบียตกลงกันว่าจะเพิ่มกำลังการผลิต 4 แสนบาร์เรลต่อวันตั้งแต่เดือน ส.ค. 2021 ไปจนกว่าจะถึงเดือน ธ.ค. 2021
และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) หนึ่งในสมาชิกของ OPEC+ ยืนยันว่าต้องการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นมากกว่าโควต้าที่ตัวเองได้รับ หลังจากยอมลดการผลิตมาเป็นเวลานาน แต่แน่นอนว่าพี่ใหญ่ของ OPEC+ อย่างซาอุฯ รีบออกมาคัดค้านทันที เพราะถ้าปล่อยให้ UAE เพิ่มกำลังการผลิตได้ตามใจชอบแน่นอนว่าสมาชิกอื่น ๆ มีโอกาสที่จะเรียกร้องเช่นกัน ซึ่งถือว่าเป็นจุดร้าวฉานเล็ก ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น
พี่ทุยว่าการกระทำของ UAE เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เนื่องจาก OPEC+ นำเอาฐานกำลังการผลิตของ UAE เมื่อปี 2018 มาคิด ซึ่งตอนนั้น UAE สามารถผลิตน้ำมันได้ราว 3.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่เมื่อปี 2020 UAE สามารถผลิตได้เพิ่มขึ้นเป็น 3.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน
รัฐมนตรีด้านพลังงานของ UAE ให้สัมภาษณ์กับทาง CNBC และบอกว่า “แบบนี้ไม่ยุติธรรมอย่างถึงที่สุด” ประเด็นนี้เป็นอะไรที่ยังต้องติดตามกันอย่างต่อเนื่องจนถึงเวลานี้ (ก.ค. 2021) ก็ยังไม่มีข้อตกลงการเพิ่มกำลังการผลิตที่ออกมาอย่างเป็นรูปธรรม
“ราคาน้ำมัน” ขึ้น ส่งผลอย่างไรบ้าง ?
เนื่องจากข้อเสนอในการเพิ่มกำลังการผลิตยังไม่ได้ตกลงกันเป็นที่แน่ชัด สินค้าจึงยังไม่กลับมาเติมเต็มเท่าความต้องการที่กำลังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นจนแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี ในช่วงเดือน ก.ค. 2021 ก่อนที่จะปรับตัวลดรับข่าวการระบาดอีกครั้งของโควิดสายพันธ์ใหม่อย่างเดลต้า
ซึ่งการปรับตัวเพิ่มขึ้นของน้ำมัน ย่อมส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะอุปโภคหรือบริโภค รวมไปจนถึงสินค้าเกษตร เพราะทั้งหมดทั้งมวลล้วนมีน้ำมันเป็นต้นทุนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในแง่ของการผลิตหรือการขนส่ง จึงทำให้ราคาสินค้าต่าง ๆ มีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือส่งผลกระทบให้ “เงินเฟ้อ” เพิ่มขึ้นนั่นเอง
“เงินเฟ้อ” ย่อมส่งผลกระทบต่อการลงทุน เพราะผลตอบแทนที่ได้ 100 บาทในวันนี้ อาจซื้อชานมไข่มุกไม่ได้สักแก้วในอนาคต ถ้าราคาสินค้ายังปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ จะทำให้นักลงทุนจำนวนมากมุ่งหาผลตอบแทนมากขึ้น ซึ่งจะตามมาด้วยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง โดยคริปโทเคอร์เรนซีก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่หลาย ๆ คนกำลังในความสนใจ
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ เพราะจะทำให้ข้าวของมีราคาแพงขึ้น แต่รายรับไม่ปรับเพิ่มขึ้นไปตามด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นลูกโซ่ เช่น เมื่อลูกค้าไม่มีกำลังซื้อ บริษัทย่อมขาดรายได้ และเมื่อบริษัทขาดรายได้ ย่อมไม่ขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงาน เป็นต้น
แต่ก็ต้องบอกว่า “ราคาน้ำมัน” เป็นเพียงหนึ่งปัจจัยที่เข้ามากระทบต่อราคาหุ้นเท่านั้น แต่ในโลกการลงทุนเรายังต้องพิจารณาถึงปัจจัยอื่น ๆ ด้วย อย่างเช่น PTT เมื่อราคาน้ำมันปรับขึ้น ราคาหุ้นก็ไม่ได้มีทิศทางของราคาที่ปรับขึ้นตามราคาน้ำมันอย่างที่ควรจะเป็น
หรืออย่างหุ้นสายการบินต่าง ๆ ก็ไม่ได้ตอบสนองทางลบกับราคาน้ำมัน ทั้ง ๆ ที่น้ำมันถือว่าเป็นต้นทุนผันแปรที่มีสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับรายจ่ายอื่น ๆ แต่นักลงทุนกลับให้น้ำหนักเรื่องการกลับมาเปิดเมืองอย่าง Phuket Sandbox มากกว่าทำให้เหล่าหุ้นสายการบินทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นกันอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
อัปเดตราคาน้ำมันล่าสุดและย้อนหลังได้ ที่นี่
ฟัง Podcast ที่น่าสนใจเพิ่มเติม