ปี 2564 นี้ โลกเสี่ยงจะเผชิญ เงินเฟ้อ หรือ ภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปในประเทศเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง..
จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกด้วยมูลค่าเงินมหาศาลเพื่อต่อสู้กับวิกฤตโควิด-19 โดยเฉพาะสหรัฐฯ ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก ที่ล่าสุดทางสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เห็นชอบแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐของ Joe Biden เพื่อต้องการเร่งให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับมาฟื้นตัวได้โดยเร็ว
จนเริ่มมีความเห็นกันว่า “เงินเฟ้อ” ทั่วโลกกำลังจะกลับมาพุ่งสูงขึ้นหลังจากนี้ จากการที่กำลังซื้อ การผลิต และกิจกรรมทางเศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วโลกต่างทยอยกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งการแจกจ่ายวัคซีนในวงกว้างมากขึ้นก็ยิ่งมีส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้เศรษฐกิจและเงินเฟ้อปรับตัวดีขึ้นตาม
และนับตั้งแต่เปิดปี 2564 มา ราคาน้ำมันในตลาดโลกกำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวขึ้นเกินกว่า 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สูงสุดในรอบกว่า 1 ปี และเป็นการปรับขึ้น 300% เมื่อเทียบกับราคาต่ำสุดในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รุนแรงตอนเดือนมี.ค. 63 ที่ราคาอยู่ต่ำกว่า 15 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งการที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นแบบนี้ก็มีส่วนดันให้เงินเฟ้อปรับสูงขึ้น
ติดตามราคาน้ำมันแบบ Realtime และราคาน้ำมันย้อนหลังได้ที่นี่
เงินเฟ้อ 2564 เกิดจากอะไร ?
ก่อนอื่นพี่ทุยขออธิบายความหมายของ “เงินเฟ้อ” คร่าว ๆ ก่อนว่า คือ ภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปในประเทศเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุจากปัจจัยทางด้านอุปสงค์ (Demand) นั่นคือ ความต้องการสินค้าและบริการของประชาชนที่เพิ่มขึ้น หรือปัจจัยทางด้านอุปทาน (Supply) นั่นคือ ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น เช่น วัตถุดิบ (ราคาพลังงาน ราคาอาหารสด) มีราคาเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้ผลิต/ผู้ขายสินค้าปรับราคาให้สูงขึ้นตาม
ในทางตรงกันข้าม เงินฝืด คือ ภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปในประเทศลดต่ำลง
ที่นี้ เมื่อย้อนกลับไปสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่ามีสัญญาณของการเกิดเงินเฟ้อขึ้นมา หลังจากที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond Yield) อายุ 10 ปี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset) ของนักลงทุนที่สุดชนิดหนึ่งของโลก ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.6% สูงสุดในรอบปีตั้งแต่มีวิกฤตโควิด-19
มีสาเหตุหลักมาจากแรงเทขายหรือความต้องการพันธบัตรลดลง สะท้อนว่านักลงทุนกำลังมองว่าเงินเฟ้อจะปรับเพิ่มขึ้นจากภาวะแนวโน้มเศรษฐกิจโลกโดยรวมกำลังฟื้นตัว ทำให้คาดว่าธนาคารกลาง โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือชะลอการอัดฉีดเม็ดเงิน
แต่พอมาดูหลายองค์ประกอบแล้ว พี่ทุยว่าก็มีความเป็นไปได้ที่ระดับเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นมาบ้างแต่จะไม่พุ่งทะยานขึ้นในทันที เนื่องจาก
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังต้องใช้เวลาฟื้นตัว
Jerome Powell ประธาน FED บอกว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังต้องใช้เวลาฟื้นตัวอีกสักระยะ โดยเฉพาะตัวเลขเงินเฟ้อและการว่างงานที่ยังอยู่ห่างจากเป้าหมาย โดยจะยังผ่อนคลายทางนโยบายการเงินต่อไป ทั้งการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ระดับต่ำสุดต่อไปที่ 0-0.25% และการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่องจนกว่าตัวเลขเงินเฟ้อและระดับการจ้างงานจะถึงเป้าหมายที่ FED ตั้งเอาไว้
การอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอาจไม่ช่วยดัน “เงินเฟ้อ 2564” ให้สูงขึ้น
เมื่อย้อนกลับไปดูหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2552 ทางการสหรัฐฯ ก็อัดฉีดเม็ดเงินมูลค่าสูงถึง 7.87 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมทั้ง FED ก็ลดอัตราดอกเบี้ยลงไปที่ระดับ 0-0.25% และคงอัตราดอกเบี้ยไว้ต่อเนื่องยาวนานถึง 7 ปี
จนอัตราการว่างงานสหรัฐฯ ลดลงต่อเนื่องจาก 10% ในปี 2552 มาอยู่ที่ 3.5% ในช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจทั่วโลกยังดูดีอยู่
แต่แทนที่เงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้นเพราะคนว่างงานลดลง ค่าจ้างเพิ่มขึ้น กำลังซื้อในประเทศดีขึ้น แต่เงินเฟ้อก็ยังต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของ FED ที่ 2% มาโดยตลอด ดังนั้นเม็ดเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้ ก็คงไม่ดันเงินเฟ้อให้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้มากเท่าไหร่
การใช้หุ่นยนต์แทนแรงงาน ทำให้ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นช้า
เทรนด์การใช้หุ่นยนต์หรือ Automation เข้ามาทำงานแทนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยเฉพาะแรงงานกลุ่ม Unskilled เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้น ทำให้ค่าจ้างแรงงานที่ถือเป็นต้นทุนการผลิตอย่างหนึ่งไม่ได้ปรับขึ้นมากเท่าไหร่ แล้วยิ่งในช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 ที่ภาคธุรกิจยังฟื้นตัวกันไม่เต็มที่ ทำให้ความต้องการแรงงานของภาคธุรกิจลดลงไปอีก ส่งผลให้เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นช้าตามไปด้วย
ธุรกิจ E-commerce ทำให้การปรับราคาสินค้าทำได้ยากขึ้น
การขยายตัวของธุรกิจ E-commerce ทำให้ร้านค้า Online ไม่สามารถตั้งราคาให้สูงหรือปรับขึ้นราคาสินค้าได้เยอะ เพราะผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบและเลือกซื้อสินค้า Online ได้ในราคาถูกและคุ้มค่าที่สุด ซึ่งหลังวิกฤตโควิด-19 ที่กำลังซื้อทั่วโลกยังอ่อนแออยู่ ก็ยิ่งทำให้ร้านค้าปรับขึ้นราคาสินค้าได้ยากมากขึ้น กลายเป็นแรงกดดันให้เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นยากมากขึ้นตามไปด้วย
สุดท้ายพี่ทุยมองว่า ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน แน่นอนว่าภาพเศรษฐกิจโลกโดยรวมมีสัญญาณฟื้นตัวขึ้นชัดเจน จากเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางฝั่งสหรัฐฯ ทำให้ประเทศอื่น ๆ รวมทั้งไทยได้ผลประโยชน์กันไปตาม ๆ กัน
แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องจับตามองต่อไปก็คือ ถ้าเงินเฟ้อปรับขึ้นจริง ไม่ว่าจะปรับเพิ่มสูงขึ้นแค่ไหน เราต้องไม่ประมาท เราต้องตื่นตัวและรู้จักบริหารความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา เพราะเงินเฟ้อกระทบต่อเงินออมของเราเสมอ..