ท่ามกลางญาติมิตรรายล้อม “Lee Kun-hee” นักธุรกิจชาวเกาหลีใต้ผู้ปลุกปั้นเครือบริษัทขนาดใหญ่ (แชโบล) อย่างซัมซุงกรุ๊ป จากไปอย่างสงบด้วยวัย 79 ปี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลด้วยโรคหัวใจวายมาตั้งแต่ปี 2014
พี่ทุยปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Lee Kun-hee เป็นตำนานของเกาหลีใต้ เพราะนอกจากจะเคยเป็นชายที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศด้วยความมั่งคั่ง 20,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามการประเมินของ Bloomberg เขายังเป็นชายที่พลิกโฉมซัมซุงจากบริษัทที่ได้ชื่อว่า “นักก๊อป” สู่แบรนด์ระดับโลกอีกด้วย
จุดเริ่มต้นนี้เกิดขึ้นที่เมืองแฟรงเฟิร์ตของเยอรมนีในปี 1993
ประวัติ “Lee Kun-hee”
Lee Kun-hee เกิดวันที่ 9 ม.ค. 1942 ที่เมือง Daegu ทางตอนใต้ของประเทศเกาหลีใต้ โดยเป็นลูกชายคนเล็กของครอบครัวที่ทำธุรกิจร้านขายของชำ ก่อนที่ Lee Kun-hee จะจบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวาเซดะที่ญี่ปุ่น และด้านการบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตันในสหรัฐ
Lee Kun-hee ได้รับเลือกเป็นผู้สืบทอดกิจการต่อจากบิดาในปี 1971 ก่อนที่เขาจะเดินหน้าเข้าซื้อกิจการด้านเซมิคอนดักเตอร์จากบริษัทที่ไม่ทำกำไรในปี 1974 และเปลี่ยนธุรกิจนั้นให้สามารถทำเงินได้ด้วยการขายชิปความจำ
อย่างไรก็ตาม จากคำบอกเล่าของของ Kevin Lane Keller ศาสตราจารย์ด้านการตลาดจาก Dartmouth College และที่ปรึกษาด้านการตลาดของซัมซุง เล่าว่า ในปี 1993 Lee Kun-hee ได้เดินทางไปรอบโลกเพื่อดูว่าบริษัทซัมซุงดำเนินการไปได้ดีแค่ไหนในสายตาชาวโลก และไม่พอใจกับความจริงที่เขาต้องเผชิญเป็นอย่างมาก
ชื่อของ “ซัมซุง” ไม่ได้เป็นที่รู้จักในด้านบวก ส่วนใหญ่แล้วทุกคนรู้จักสินค้าของซัมซุงในฐานะเป็นซัพพลายเออร์ที่ไม่มีคนจำชื่อแบรนด์ได้ มีคุณภาพต่ำ และเน้นปริมาณเสียมากกว่า
ในขณะที่สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผลิตมาแล้วตั้งแต่ช่วงปี 1960 ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่สามารถเทียบเคียงคุณภาพได้กับ Sony ผู้ผลิตจากญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าตลาดขณะนั้น โดยในระหว่างที่ไปเยือน California ของสหรัฐ เขาพบว่า โทรทัศน์ของซัมซุงต้ังจมฝุ่นอยู่ที่มุมหนึ่งของร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่ Sony หรือ Panasonic กลับขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
นั่นทำให้ Lee Kun-hee ที่เข้าสู่วัยเลขห้าแล้ว เรียกประชุมบรรดาผู้บริหารนับร้อยชีวิตเป็นการด่วนในเมืองแฟรงเฟิร์ท โดยการประชุมดำเนินไปถึง 3 วัน ก่อนที่ Lee Kun-hee จะกล่าวสุนทรพจน์ความเทียบเท่าหนังสือ 1 เล่ม ซึ่งมีประโยคที่เป็นคำสั่งให้เปลี่ยนซัมซุงไปตลอดกาลว่า
“เปลี่ยนทุกอย่างยกเว้นลูกเมีย” Lee Kun Hee กล่าวที่โรงแรม Falkenstein Grand Kempinski Hotel ในเดือนมิ.ย. 1993 โดยการประกาศครั้งนั้นได้ชื่อเล่นว่า Frankfurt Declaration of 1993 หรือถ้อยประกาศ ณ แฟรงเฟิร์ทปี 1993 นั่นเอง
แต่กว่าซัมซุงจะเดินทางมาจนเป็นแบรนด์ระดับโลกได้ ก็ต้องใช้เวลาถึง 20 ปี
“ซัมซุง” ดึงจุดแข็งเหนือคู่แข่ง
ซัมซุงกลับมาพิจารณาจุดแข็งจุดด้อยของตัวเอง ร่วมไปกับการพิจารณาความต้องการของลูกค้า ซึ่งนอกจากจะต้องพัฒนาสินค้าที่ผู้บริโภค “ต้องการ” แล้ว ยังต้องทำสินค้าที่ผู้บริโภค “สามารถซื้อ” ได้ด้วย และนั่นกลายเป็นจุดยืนของซัมซุงในเวลาต่อมา
Kevin Lane Keller อดีตที่ปรึกษาให้กับซัมซุง บอกไว้ว่า จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติซัมซุงมีอยู่ด้วยกัน 3 ข้อหลัก ได้แก่ “คุณภาพ” “ดีไซน์” และ “ราคา” โดยเมื่อได้ทั้ง 3 อย่างนี้แล้ว ซัมซุงจึงเริ่มพัฒนาตัวเอง
ในข้อแรก ซัมซุงที่มีสายการผลิตของตัวเองอยู่แล้ว สามารถเพิ่มคุณภาพได้ไม่ยาก ทำให้ส่วนที่ยากจะเปลี่ยนกลับเป็นวัฒนธรรมองค์กรเสียมากกว่า โดยในปี 1995 Lee Kun-hee ได้เรียกพนักงานจำนวน 2,000 คน เพื่อมาดูประธานบริษัทเผาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ผ่านมาตรฐานคุณภาพจำนวน 150,000 ชิ้น เพื่อส่งสัญญาณไปยังลูกจ้างและคนนอกว่า ซัมซุงมีเป้าหมายที่จะสร้างแบรนด์ที่มีคุณภาพจึงไม่สามารถปล่อยสินค้าให้ตกมาตรฐานได้
เมื่อซัมซุงสามารถดึงคุณภาพของตัวเองให้มาเทียบเท่าคู่แข่งอย่าง Sony ได้แล้ว ก็ต้องมีจุดยืนที่ “แตกต่าง” และเหนือกว่า เพื่อเอาชนะคู่แข่ง นั่นก็คือดีไซน์และราคา
ในส่วนของดีไซน์นั้น ซัมซุงลงทุนตั้งศูนย์พัฒนาสินค้าทั่วโลก เช่น ในอินเดีย โปแลนด์ และยุโรป เพื่อเข้าถึงความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคของโลก จะสังเกตได้ว่า สมาร์ทโฟนของซัมซุงมีหลายรุ่นตั้งแต่ถูกสุด สมาร์ทโฟนที่เน้นเล่นเกมอย่างเดียว ไปจนถึงรุ่นที่แพงที่สุดที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย และเมื่อ “ราคา” นั้นน่าซื้อ ย่อมทำให้ซัมซุงสามารถเอาชนะ Sony ได้
ในปี 2006 ซัมซุงแซง Sony ขึ้นเป็นแบรนด์โทรทัศน์ที่ขายดีที่สุด และมีมูลค่าตลาดเกิน 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรก ก่อนที่ในปี 2010 ซัมซุงจะเริ่มต้นขายสมาร์ทโฟน Galaxy ซึ่งใช้ซอฟต์แวร์แอนดรอยด์ของ Google (หรือชื่อบริษัทแม่คือ Alphabet Inc.) และมีจำนวนยอดขายนับเป็นชิ้นสูงกว่า Apple ในเวลาแค่ 1 ปี ตามมาด้วยการแซงโนเกียขึ้นเป็นเจ้าตลาดโทรศัพท์ในปี 2012
เรื่องอื้อฉาวกดดัน “ซัมซุง”
ไม่ใช่ทุกธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ซัมซุงเองก็เคยพลาดเหมือนกัน โดยซัมซุงเคยขยายกิจการไปยังธุรกิจรถยนต์ ด้วยการออกขายรถยนต์ครั้งแรกในปี 1998 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ และต้องขายธุรกิจให้กับ Renault ไปในปี 2000
นอกเหนือจากความผิดพลาดในธุรกิจ ซัมซุงยังนับเป็นกลุ่มเครือบริษัทรายใหญ่ของเกาหลีใต้ที่บริหารโดยตระกูลใดตระกูลหนึ่ง หรือที่เรียกว่า “แชโบล” โดยกลุ่มแชโบลมีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากเป็นเครือธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลในการกำหนดชีวิตธุรกิจรายย่อย และมัก “สนิทสนม” กับนักการเมือง
Lee Kun-hee เคยถูกพบว่าติดสินบนกับอดีตประธานาธิบดี Roh Tae-woo ในปี 1996 ก่อนจะได้รับการให้อภัยจากประธานาธิบดีคนถัดมา และในปี 2009 ทางการเกาหลีใต้ยังตรวจพบการหนีภาษี โดยในครั้งนั้น Lee Kun-hee ยังโดนข้อหากระทำหน้าที่โดยมิชอบ เพราะรู้เห็นการขายหุ้นกู้ราคาถูกเกินจริงของบริษัทในเครือให้กับลูกชาย
จุดนี้เอง เป็นการเริ่มต้นที่ไม่สวยหรูเท่าไหร่นักของ “Lee Jae-yong” รองประธานซัมซุงและผู้สืบทอดคนต่อไปของบริษัท
“ซัมซุง” ยุคใหม่เริ่มต้นไม่สวยหรู
ภาพที่ Lee Jae-yong ขึ้นศาลพร้อมใส่กุญแจมือด้วยข้อหาที่หนักหน่วงอย่างการติดสินบน เป็นที่สั่นสะเทือนไปทั่วเกาหลีใต้ เพราะชาวเกาหลีใต้แทบจะไม่เคยเห็นสมาชิก “แชโบล” ขึ้นศาลในสภาพนั้น ท่ามกลางแรงกดดันของสังคมที่ต้องการให้เอาผิดกลุ่มแชโบลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาวของอดีตประธานาธิบดี Park Geun-hye
อัยการเกาหลีใต้พบในปี 2017 ว่า Lee Jae-yong ติดสินบนอดีตประธานาธิบดี Park Geun-hye ที่ถูกถอดถอนหลังการประท้วงอย่างหนักของชาวเกาหลีใต้ ด้วยการ “บริจาค” เงิน 41,000 ล้านวอนให้กับมูลนิธิของ Choi Soon Sill คนสนิท (ที่เป็นคนทรงเจ้า) ของอดีตประธานาธิบดี มีโทษจำคุก 5 ปี ซึ่งต่อมาได้รับการปล่อยตัวและรอลงอาญา
ในปี 2014 หลังจาก Lee Kun-hee ผู้เป็นบิดาล้มป่วยลงแล้ว Lee Jae-yong ต้องขึ้นมาดูแลซัมซุงอย่างเต็มตัว และเพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างราบรื่น ในปี 2015 Lee Jae-yong จึงควบรวมบริษัทภายในเครือได้แก่ Cheil Industries ซึ่ง Lee Jae-yong เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด กับบริษัท Samsung C&T โดยได้มีการขายหุ้น Samsung C&T ในราคาถูกกว่าปกติ เพื่อให้ทายาทรุ่นที่ 3 ของ Samsung ได้ถือหุ้นใหญ่
เรื่องอื้อฉาวทั้งสองอย่างนี้ทำให้ Lee Jae-yong ต้องวิ่งขึ้นศาลเป็นระยะ ๆ และยังเคยต้องก้มหัวขออภัยต่อสังคมมาแล้ว
เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ของเรายังอยู่ในระดับสูง แต่ชื่อของซัมซุงในสายตาสาธารณะชนยังคงไม่สู้ดี ซึ่งเป็นความผิดของผม ผมต้องขออภัยครับ
ทายาทรุ่นที่สามของซัมซุงกล่าวเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา
ไม่เพียงเท่านี้ ภายหลังการเสียชีวิตของ Lee Kun-hee แล้ว Lee Jae-yong ยังต้องจัดการกับภาษีมรดกที่มีอัตราสูงถึง 50% และอาจจะมีมูลค่ามากถึง 10 ล้านล้านวอน หรือมากกว่า 270,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
ภาษีที่มากมหาศาลนี้เอง อาจทำให้ตระกูล Lee ต้องขายทรัพย์สินอื่น ๆ เช่น หุ้นของบริษัทในเครือ ส่งผลให้หุ้นของซัมซุงและบริษัทในเครือต่างปรับขึ้นกันถ้วนหน้าในวันเปิดตลาดวันแรกของสัปดาห์ภายหลังการเสียชีวิตของ Lee Kun-hee โดยหุ้นของ Samsung C&T ที่ Lee Jae-yong ถือหุ้นใหญ่ ปรับขึ้นมากกว่า 20% ขณะที่ Samsung Electronics ปรับขึ้น 0.5%
พี่ทุยต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว Lee ต่อการจากไปของตำนานประเทศเกาหลีใต้อย่าง Lee Kun-hee พี่ทุยรู้ว่าการจะพลิกโฉมบริษัทซัพพลายเออร์มาเป็นแบรนด์ระดับโลกนั้นไม่ง่ายเลย
มรดกของเขาจะยังคงเติบโตต่อไป
ซัมซุงกล่าวในแถลงการณ์การจากไปของ Lee Kun-hee พี่ทุยก็เชื่ออย่างนั้นเหมือนกัน..
Comment