80 ปี ของ "Samsung" สู่บริษัทอันดับ 4 ที่มีกำไรสูงสุดในโลก

80 ปี ของ “SAMSUNG” สู่บริษัทอันดับ 4 ที่มีกำไรสูงสุดในโลก

2 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • สินค้าชิ้นแรกของ Samsung Electronics ในเวลานั้นคือ “โทรทัศน์จอขาว-ดำ” ก่อนจะค่อย ๆ ผลิตสินค้าอื่น ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น พัดลม และเครื่องปรับอากาศ
  • “SAMSUNG” ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ครองมาร์เก็ตแชร์โทรศัพท์มือถือ อันดับ 1 ของโลกที่ 22.7% และยังเป็นบริษัทที่ทำกำไรต่อปีได้มากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

เมื่อเดือน มีนาคม 1938 ณ เมืองแทกู ประเทศเกาหลีใต้ ร้านขายของชำแห่งหนึ่งถูกก่อตั้งขึ้นโดย ลี บยอง ชุล (Lee Byung-chul) เพื่อทำธุรกิจหลักคือการขายเส้นก๋วยเตี๋ยวและอาหารทะเลตากแห้ง ไปยังจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งส่งออกเส้นก๋วยเตี๋ยวไปยังประเทศจีน ผ่านไป 31 ปี จากเพียงร้านขายของชำในวันแรกที่ก่อตั้ง ได้ให้กำเนิด ‘Samsung Electronics’ จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้ครองมาร์เก็ตแชร์โทรศัพท์มือถือ “SAMSUNG” อันดับ 1 ของโลกที่ 22.7% และยังเป็นบริษัทที่ทำกำไรต่อปีได้มากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก! แต่กว่าจะก้าวมาถึงวันนี้ได้ เส้นทางของเขาก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่คิด วันนี้พี่ทุยจะพามาหาคำตอบกันว่า

ทำไม SAMSUNG เป็นบริษัทอันดับ 4 ที่มีกำไรสูงสุดในโลก

สินค้าชิ้นแรกของเขาในเวลานั้นคือ “โทรทัศน์จอขาว-ดำ” ก่อนจะค่อย ๆ ผลิตสินค้าอื่น ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น พัดลม และเครื่องปรับอากาศ แต่ปัญหาอย่างหนึ่งในเวลานั้นคือ ส่วนประกอบหลายอย่างของสินค้าต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น ซึ่งหลายบริษัทในเวลานั้นต่างสามารถผลิตสินค้าออกมาได้เองเป็นจำนวนมาก ในขณะที่บริษัทต่าง ๆ ของเกาหลีใต้ เพิ่งจะเริ่มต้นได้ไม่นาน และเติบโตจากการนำเข้าเป็นหลัก

ในปี 1974 จึงตัดสินใจที่ตั้งหน่วยผลิตส่วนประกอบของตัวเองขึ้นมา และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ถึงทุกวันนี้ ด้วยต้นทุนที่ลดลงทำให้เริ่มผลิตสินค้าเพื่อส่งออกได้มากขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 70 แต่ด้วยการทำธุรกิจที่หลากหลาย อาทิ รับเหมาก่อสร้าง ปิโตรเคมิคอล รวมไปถึงการขายสินค้าอย่าง น้ำตาล กระดาษ การมีธุรกิจที่หลากหลายมากเกินไป ทำให้ทางบริษัท ขาดการทำการตลาดและขาดจุดยืนที่ชัดเจนในเวทีโลก ทำให้ลูกค้าหันไปหาแบรนด์อื่น ๆ ที่แข็งแรงกว่าอย่าง Sony

ในปี 1987 การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ ลี บยองชุล เสียชีวิตลง ทำให้ลูกชายคนเล็กสุดอย่าง ลี คุน ฮี ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งประธานของอาณาจักรแทน ซึ่ง ลี คุน ฮี เข้ามาพร้อมกับการให้ความสำคัญในเรื่องของการวิจัยและพัฒนามากขึ้น นำมาซึ่งหลักสูตรอบรมและพัฒนา 64 คอร์ส แก่พนักงาน 53,400 คน รวมทั้งส่งผู้เชี่ยวชาญพิเศษ 5,045 คน ไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำภูมิภาค แต่ดูเหมือนว่าแค่นั้นจะยังไม่เพียงพอ เมื่อสินค้าหลาย ๆ อย่างหลังจากนั้น ยังคงมีปัญหาด้านคุณภาพ รวมถึงโทรศัพท์มือถือที่ถูกมอบให้กับพนักงาน 2,000 คน เป็นของขวัญ กลับไม่สามารถใช้งานได้อย่างที่คิด

ลี คุน ฮี ตัดสินใจเรียกคืนสินค้าจำนวนมาก และเผาทำลายต่อหน้าพนักงาน พร้อมประกาศกร้าวที่จะยกระดับคุณภาพสินค้าของเขา ด้วยการลงทุนในด้านวิจัยและพัฒนาอีกเท่าตัว ในการปฏิวัติแนวทางของบริษัทในครั้งนั้น ทำให้ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาจอ LCD และก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตจอ LCD สำหรับโทรศัพท์รายใหญ่ของโลก รวมถึงชิปประมวลผล ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่ทำให้ Apple พัฒนา iPad และ iPhone ได้สำเร็จ แต่สิ่งที่สำคัญมากไปกว่านั้น คือ การประสบความสำเร็จในการพัฒนา Samsung Galaxy ซึ่งเปิดตัวในปี 2009 และพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนขึ้นมาครองตลาด Smartphone ได้ในที่สุด และเมื่อปี 2019 มีรายได้รวม 197,691 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีกำไรสุทธิ 18,653 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ปัจจุบัน มีพนักงานราว 489,000 คน ทั่วโลก และจากสถิติในปี 2017 สัดส่วน GDP ของเกาหลีใต้มาจากซัมซุง ถึง 15% ถึงแม้ว่าบริษัทจะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในบริษัทขนาดใหญ่ลำดับต้น ๆ ของโลก แต่โลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทุกวันนี้ทำให้บริษัทคงไม่สามารถหยุดนิ่งได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สามารถเรียนรู้จากซัมซุง ตลอด 80 ปีที่ผ่านมา คือ การเรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

Comment

Be the first one who leave the comment.

Leave a Reply