Bitcoin และ Alternative Coin มีแนวโน้ม “การไหลกลับไปกลับมาของเงิน” ในตลาดอย่างชัดเจน ซึ่งสามารถนำไปศึกษาเทรนด์ของตลาดในเวลานั้นได้ ซึ่งเครื่องมือนี้มีชื่อเรียกว่า BTC Dominance (BTC.D)
BTC Dominance หรือตัวย่อ BTC.D คืออะไร ?
BTC Dominance หรือ BTC.D คือ อัตราส่วนที่บ่งบอกถึงส่วนแบ่งตลาดของ Bitcoin (BTC) หรือ ราคาของ Bitcoin คูณด้วยจำนวนเหรียญทั้งหมดของ Bitcoin ที่อยู่ในตลาด Cryptocurrency
โดยส่วนใหญ่เราจะแบ่งประเภทของเหรียญเป็น Bitcoin และ เหรียญทางเลือก หรือ Alternative Coin (AltCoin, ALT) เช่น Ethereum, Soluna, Binance เป็นต้น ดังนั้น ตัวเลขของ BTC.D ที่แสดงออกมาในกราฟจึงพูดถึงอัตราส่วนการครองตลาดของ Bitcoin เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดทั้งหมดของ Cryptocurrency และหากนำเอา 100 หักลบด้วย BTC.D เราจะได้ส่วนแบ่งตลาดของ AltCoin ทั้งหมด
หรืออีกนัยหนึ่งอาจจะพูดได้ว่าแนวโน้มของ BTC.D บอกได้ถึง “การไหลของปริมาณเงินในตลาดโดยรวม” หาก BTC.D มีแนวโน้มขาลงนั่น “อาจจะ” หมายถึงตลาดลดการถือครอง Bitcoin และเปลี่ยนไปถือ AltCoin มากขึ้นหรือเรียกกันว่า AltCoin Season เพราะโดยธรรมชาติของเงินมักจะหาที่อยู่เสมอนั่นเอง
มาตามหา AltCoin Season กันเถอะ
Case Study ของการนำ BTC Dominance ไปใช้
จากกราฟ เราจะใช้กราฟทั้งหมดต่อไปนี้มาวิเคราะห์เพื่อหาแนวโน้มตลาด
– BTC Dominance (กราฟสีแดง) ค้นหาใน Tradingview ว่า BTC.D
– Alternative Coin Market Capitalization (กราฟสีน้ำเงิน) ค้นหาใน Tradingview ว่า TOTAL2 คือ Crypto Total Market Cap. Exclude BTC ซึ่งนำมาใช้เป็นตัวแทนของแนวโน้มส่วนแบ่งตลาดของ AltCoin
– Bitcoin Price (BTCUSDT) (กราฟสีเหลือง) จะแยกออกมาเพื่อให้เห็นว่า ในตอนนั้นแนวโน้มราคาของ Bitcoin อยู่ในสถานการณ์ใด
พี่ทุยแบ่งตัวอย่างออกเป็นทั้งหมด 5 โซนด้วยกันตามรูปภาพด้านบน และจะยกตัวอย่างการวิเคราะห์กราฟในมุมมองของพี่ทุยเองให้ฟังทีละโซน ดังนี้
ตัวอย่างการวิเคราะห์กราฟ
Zone 1 : BTC.D = Down, BTC Price = Up, Alt = Up
ช่วงต้นปี 2564 เป็นช่วงที่ Bitcoin กำลังทำ All time high (ATH) มาเรื่อย ๆ แต่ว่า BTC.D กลับเปลี่ยนเป็นเทรนด์ขาลง อาจจะบอกได้ว่าตลาดเริ่มลดการถือครอง Bitcoin เนื่องจากเห็นว่าราคา Bitcoin ขึ้นไปมากแล้ว จึงเทขายทำกำไร และโยกเงินไปยัง AltCoin ที่ทำเทรนด์ขาขึ้น เป็นสัญญาณบ่งบอกการจบรอบขาขึ้นของ Bitcoin ใน Day Time-frame
Zone 2 : BTC.D = Down, BTC Price = Sideway (Down), Alt = Up
หลังจาก Bitcoin ทำ ATH เกิดการปรับฐานราคาลง จากนั้นจึงเข้าสู่ช่วงตัดสินใจว่าจะขึ้นหรือลงต่อ เกิดความไม่ชัดเจนของแนวโน้มราคา ส่งผลให้การไหลของเงินในตลาดไหลไปยัง AltCoin ทำให้ Market Cap. มีขนาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นช่วง AltCoin Season แบบที่เราเห็นกันตอนช่วงต้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2564
Zone 3 : BTC.D = Up, BTC Price = Sideway (Down), Alt = Down
จะเห็นได้ชัดว่าหลังจากราคา Bitcoin ทำ Sideway อยู่สักพัก และไม่สามารถผ่านแนวต้านได้ Bitcoin ก็ถูกขายลงมาอย่างรุนแรง จนลงมาอยู่ช่วงราคาแถว ๆ 30,000 – 36,000 ดอลลาร์
แต่ BTC.D กลับกลายเป็นขาขึ้นตลอด Zone 3 เพราะตลาดเห็นว่าราคา Bitcoin ที่มีการปรับฐานอย่างรุนแรงจนลงมาเกือบ 50% จากราคา All Time High เดิมเป็นช่วงที่น่าเก็บสะสมแล้ว จึงเทขาย AltCoin ออกมา ทำให้เงินไหลกลับมาที่ Bitcoin
ประกอบกับถ้าเปิดดู Fear and Greed Index จะเห็นได้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ Fear and Greed Index มีค่าประมาณช่วง 10 ซึ่งเป็นแนวรับที่แข็งแกร่งของดัชนี
จะเห็นว่าหากเราใช้เครื่องมือหลาย ๆ ตัววิเคราะห์ประกอบกัน และเอาชนะความกลัวได้ เราจะได้ของที่ราคาถูกมาก ๆ ในช่วงนี้นั่นเอง
Zone 4 : BTC.D = Down, BTC Price = Sideway (Up), Alt = Up
หลังจากที่ Bitcoin ทำราคาลงได้ช่วงหนึ่ง ก็กลับตัวเป็นขาขึ้น หลังจากอยู่ที่หลุมมาเกือบ 3 เดือน แต่ผู้ถือ Bitcoin ก็ทยอยเทขายจากที่สะสมมา อาจจะเพราะความไม่มั่นใจว่า Bitcoin จะกลับตัวแล้วจริง ๆ ซึ่งกรณีนี้ต้องดูอินดิเคเตอร์อื่นประกอบด้วย เช่น RSI
จึงโยกเงินไป AltCoin ทำให้ TOTAL2 กลายเป็นขาขึ้น ในขณะที่ BTC.D เป็นขาลงอย่างเห็นได้ชัด อาจจะเพราะช่วงระยะเวลานั้นตลาดอัตราผลตอบแทนของการลงทุนใน Nonfungible tokens (NFTs) และ Decentralized finance (De-Fi) เริ่มเป็นที่น่าสนใจของตลาดมากขึ้น
Zone 5 : BTC.D = Up, BTC Price = Up, Alt = Up
ใน Zone 5 ทั้งสามกราฟเป็นขาขึ้นทั้งหมด จากข้อสังเกตจะเห็นว่าถ้า BTC.D ลง แต่ราคา Bitcoin ขึ้น นั่นอาจจะเกิดตลาด Sideway ได้ เพราะผู้ถือ Bitcoin เห็นว่าราคา Bitcoin ขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้วจึงเทขายทำกำไรก่อน เหมือนกับใน Zone 4
แต่ใน Zone 5 กราฟทั้งหมดไปในทิศทางเดียวกัน นั่นอาจจะเป็นหนึ่งมุมมองที่ตอบได้ว่าตลาดกลับมาเป็นขาขึ้นครั้งใหญ่ หลังจากที่ Bitcoin วิ่งไปทำ ATH ในรอบ 6 เดือน และเป็นส่วนช่วยดึงมูลค่าเหรียญทั้งตลาดให้กลายเป็น ตลาดขาขึ้น (Bullish) อีกครั้งหนึ่ง
แต่ “การใช้เครื่องมือ BTC.D วิเคราะห์การครอบครอง Bitcoin เพียงด้านเดียว ไม่ได้มีความแม่นยำ 100%” เสมอไป พี่ทุยจึงเสนอมุมมองในการนำไป “ประยุกต์ใช้กับปัจจัยอื่น ๆ” เช่น การติดตามสถานการณ์ตลาดช่วงนั้น ๆ การใช้ Fear and Greed Index และ TOTAL2 เพื่อ “เพิ่มโอกาสที่สูงขึ้น” ในการทำกำไรและนำเอาเหตุผลไปต่อสู้ เพื่อเอาชนะอารมณ์ของนักลงทุนไม่ให้พลาดโอกาสทำกำไรในอนาคต