วันนี้พี่ทุยจะพาทุกคนมารู้จักหุ้นอีกหนึ่งตัวที่เป็น “หุ้นธนาคาร” ที่มีอัตราการเติบโตของ “เงินให้สินเชื่อ” สูงที่สุดในไทย เรียกว่าเติบโตระดับ 10%+ มาโดยตลอดยาวนานกว่า 10 ปี นั่นก็คือหุ้นที่ชื่อว่า CREDIT หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน)”
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่ารายได้หลักของธนาคารทั่วไปมาจาก “รายได้ดอกเบี้ย” เป็นหลัก
ซึ่ง ธนาคารไทยเครดิต มีรูปแบบการดำเนินธุรกิจ (Business Model) ที่แตกต่างจากธนาคารอื่น ๆ ตรงที่สามารถระดมทุนจากเงินฝากด้วยต้นทุนทางการเงินที่ใกล้เคียงธนาคารทั่วไป ขณะเดียวกันก็สามารถปล่อยกู้รับดอกเบี้ยได้สูงใกล้เคียงกับกลุ่มไฟแนนซ์
หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ระดมเงินฝากได้ในอัตราต้นทุนต่ำใกล้เคียงกลุ่มธนาคาร และปล่อยกู้ต่อในอัตราดอกเบี้ยที่สูงใกล้เคียงกลุ่มไฟแนนซ์
ลูกค้าสินเชื่อหลัก ๆ ของธนาคารไทยเครดิต คือ กลุ่มที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ (Underserved) ซึ่งไม่ค่อยได้รับความสนใจเนื่องจากมีความเสี่ยงสูง และไม่มีเอกสารทางการเงินที่เพียงพอ โดยมักต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบ ธนาคารไทยเครดิตจึงเน้นให้บริการลูกค้ากลุ่มนี้และดึงกลับเข้ามาในระบบ โดยแบ่งลูกค้าออกเป็น 2 กลุ่มหลักดังนี้:
1.Micro SME: ปัจจุบันมีลูกค้ากลุ่มนี้มากกว่า 18,000 ราย
2.Nano & Micro Finance: ปัจจุบันมีลูกค้ากลุ่มนี้มากกว่า 260,000 ราย
ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) มีสาขา “รับฝากเงิน” และ “ปล่อยสินเชื่อ”
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ทำให้ธนาคารไทยเครดิตแตกต่างจากธนาคารอื่น ๆ ก็คือรูปแบบของสาขาที่จะมีการแยกสาขา “รับฝากเงิน” และ “ปล่อยสินเชื่อ” เนื่องจากลูกค้าเป็นคนละกลุ่มกันอย่างชัดเจน
สาขา “รับฝากเงิน” ที่ปัจจุบันมีทั้งหมด 30 สาขาตั้งอยู่ในกรุงเทพและปริมณฑล
สาขา “ปล่อยสินเชื่อ” ที่จะกระจายไปยังชุมชนและพื้นที่ตลาดต่าง ๆ ที่มีประมาณ 500 สาขา เข้าถึงเป้าหมายลูกค้าได้โดยตรง
ด้วยกลยุทธ์แยกสาขาทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้แบบตรงจุด ทำให้ Cost to Income Ratio (CIR) ของธนาคารไทยเครดิตต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม รวมถึง Net Interest Margin สูงที่สุดในอุตสาหกรรมเลยทีเดียว
ทำไมธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) ถึงมี (NIM) สูงที่สุดในอุตสาหกรรม?
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม “ธนาคารไทยเครดิตมี Net Interest Margin (NIM) สูงที่สุดในอุตสาหกรรม” ?
คำตอบคือ
- ธนาคารมี Unique business model ที่ผสมผสานจุดเด่นของทั้งกลุ่มธนาคารและกลุ่มไฟแนนซ์ไว้ด้วยกัน
- ด้วยประสบการณ์ของธนาคารในการให้บริการกลุ่ม Micro SME และ Nano & Micro Finance มากว่าหลายปี ทำให้มีข้อมูลและความเชี่ยวชาญในการคัดกรองลูกค้า รวมถึงการติดตามหนี้ อีกทั้งยังเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าเป็นอย่างดี จึงสามารถบริหารจัดการคุณภาพสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ธนาคารไทยเครดิต มีบริการให้ความรู้ทางด้านการเงิน
นอกจากนี้ธนาคารไทยเครดิตยังมุ่งเน้นการประกอบธุรกิจแบบยั่งยืน นอกจากจะให้ความสนับสนุนทางด้านการเงินแล้ว “การให้ความรู้ทางการเงิน” เองก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจธนาคารเช่นกัน
ยิ่งลูกค้ามีความรู้เรื่องการบริหารจัดการการเงินที่ดีมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ลูกค้ามีเงินเก็บได้มากขึ้น นอกจากนี้ถ้าลูกค้ามีความรู้เรื่องการบริหารธุรกิจที่ดีขึ้น ก็จะสามารถเติบโตในธุรกิจได้ ส่งผลให้ลูกค้ามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมถึงขอสินเชื่อในวงเงินที่เพิ่มขึ้น ยกระดับชีวิตทางการเงินได้อย่างยั่งยืน และแน่นอนว่าปลายทางก็จะทำให้หนี้เสีย (NPL) ลดลงด้วย
ธนาคารไทยเครดิตได้ริเริ่ม“โครงการตังค์โต Know-How” โครงการฝึกอบรมความรู้ทางการเงิน โดยเน้นในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยซึ่งเปรียบเหมือนกระดูกสันหลังทางเศรษฐกิจและเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย พร้อมเสริมสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้ ภายใต้แนวความคิด EMpower ร่วมส่งเสริมและสร้างวินัยการออม ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมแล้วกว่า 200,000 คน ตลอดระยะเวลา 8 ปี
จะเห็นได้ว่าจากกลยุทธ์ที่แตกต่าง ทำให้ธนาคารไทยเครดิตมีผลการดำเนินงานและอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ที่น่าโดดเด่นในอุตสาหกรรม
- Loan growth โต +9.3% YTD หรือ +13.8% YoY
- NIM สูงสุดในอุตสาหกรรมธนาคาร ที่ 8.7%
- Net profit ทำสถิติสูงสุดที่ 1,162 ล้านบาท +41.7% QoQ หรือ +17.8% YoY
- CIR ต่ำสุดในอุตสาหกรรมธนาคาร ที่ 39.9%
- ROE สูงสุดในอุตสาหกรรมธนาคาร ใกล้เคียง non-bank ที่ 21.9%
- P/BV ค่อนข้างต่ำใกล้เคียงเหมือนอุตสาหกรรมธนาคาร
ใครไม่อยากพลาดข่าวจากธนาคารไทยเครดิตสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >>> https://www.thaicreditbank.com/
เป็นยังไงกันบ้างครับกับข่าวสารดีๆที่พี่ทุยนำเสนอให้วันนี้ หากเพื่อนๆอยากอ่านเนื้อหาที่ใกล้เคียงสามารถอ่านได้ที่ลิงก์ด้านล่างเลยครับ
อ่านเพิ่มเติม :
- [เจาะลึก] หุ้นธนาคารไทยเครดิต เตรียม IPO 9 ก.พ. 2567 นี้
- 5 วิธีขอกู้เงิน ทำยังไงให้ผ่านฉลุย – ธนาคารปล่อยกู้แบบสบาย ๆ ชิล ๆ