ยุคนี้ต้องบอกว่าเทรนด์การมีเพื่อนรักสี่เท้าแทนการมีลูกนั้นไม่ใช่เรื่องที่พูดเกินจริง เพราะตัวเลขทางธุรกิจในช่วง 5 ปีล่าสุดก็ยังพบว่า “ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง” สามารถเติบโตได้ระดับ 5.5-5.8% ต่อปี และมีแนวโน้มใน อีก 5 ปีข้างหน้าคาดการณ์ว่ายังสามารถเติบโตได้ 7.1% ต่อปีอีกต่างหาก วันนี้พี่ทุยจะพาไปรู้จัก “บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” หรือ “i-Tail” ผู้นำในการผลิต “อาหารสัตว์เลี้ยง” ของไทย อันดับ 2 ในเอเชีย และอยู่ใน Top 10 ของโลก
“i-Tail” มีโอกาสเติบโตอย่างไร ? ทำไมในเวลานี้จึงน่าจับตามอง ? แอบกระซิบว่า i-Tail กำลังจะ IPO ในเร็ว ๆ นี้ด้วยล่ะ
ที่มา : ข้อมูลตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกและการจัดอันดับเชิงมูลค่าอ้างอิงจาก Frost & Sullivan, www.petfoodindustry.com ณ ปี 2564
ณ ปัจจุบัน การมีสัตว์เลี้ยงมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากปัจจัยสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งด้านของประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงอายุ และแนวโน้มการมีลูกที่น้อยลง การมี “สัตว์เลี้ยง” จึงเข้ามาตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตในยุคสมัยนี้ได้เป็นอย่างดี
ไม่เพียงแต่ในไทยเท่านั้น แต่ความนิยมในการมีสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัว ยังเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วทั้งโลก โดยเฉพาะในฝั่งอเมริกาและยุโรป ซึ่งมีตัวเลขที่น่าสนใจ คือ ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า คนอเมริกากว่า 30% เลี้ยงสัตว์เลี้ยง ขณะที่ในญี่ปุ่นคนเลี้ยงสัตว์เลี้ยงก็เพิ่มขึ้น 15%
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกมียอดขายกว่า 131,000 – 135,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเติบโตระดับ 5.5-5.8% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และในอีก 5 ปีข้างหน้าคาดการณ์ว่าตลาดจะเติบโตได้ระดับ 7.1% เลยทีเดียว
ที่มา : ข้อมูลตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกอ้างอิงจาก Frost & Sullivan ณ เดือน ก.ย. 2565
วันนี้พี่ทุยจะพาไปรู้จักอีกหนึ่งบริษัทที่ประกอบธุรกิจผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงอย่างจริงจัง นั่นก็คือ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ i-Tail ผู้นำในการผลิต “อาหารสัตว์เลี้ยง” ของประเทศไทย อันดับ 2 ของเอเชีย และอยู่ใน Top 10 ของโลก
ปัจจุบัน i-Tail มีกำลังการผลิตรวมมากกว่า 172,000 ตันต่อปี หรือเทียบเท่าได้กับรถสิบล้อกว่า 11,500 คัน! โดยธุรกิจของ i-Tail นั้นนอกจากจะมีแบรนด์สินค้าของตัวเองแล้ว ยังรับผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบ OEM ซึ่งปัจจุบันก็ได้ผลิตให้กับแบรนด์ชั้นนำระดับโลกแล้วมากมาย มีรายการผลิตภัณฑ์รวมกันมากกว่า 4,800 รายการ (ข้อมูล ณ Q2/65)
ที่มา : การจัดอันดับเชิงมูลค่าอ้างอิงจาก www.petfoodindustry.com ณ ปี 2564
i-Tail ผู้นำธุรกิจผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยจาก Thai Union
ซึ่งจุดเด่นที่ทำให้ i-Tail ได้รับความไว้วางใจจนสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง คือ
1. i-Tail มองความต้องการของสัตว์เลี้ยงเป็นศูนย์กลาง (Pet-Centric)โดยในกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ i-Tail จะยึดถือว่าสัตว์เลี้ยงก็เหมือนกับสมาชิกในครอบครัว ที่ต้องได้รับอาหารที่ดีถูกหลักโภชนาการ มีทั้งคุณภาพ มีประโยชน์ และแน่นอนว่าต้องอร่อย
2. i-Tail มีความได้เปรียบด้านการจัดการวัตถุดิบ
ITC เป็นหนึ่งในบริษัทในเครือของกลุ่มไทยยูเนี่ยน (TU) ที่นับว่าเป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลระดับโลก จึงทำให้ได้เปรียบในเรื่องของการจัดหาวัตถุดิบ
นอกจากนี้ ยังได้นำเอาเทคโนโลยีคลังสินค้าระบบอัตโนมัติ มาใช้งาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บสินค้า และทำให้ประหยัดต้นทุนได้มากขึ้นไปอีก
3. i-Tail เน้นผลิตภัณฑ์สำหรับแมวและอาหารชนิดเปียก
ด้วยเทคโนโลยีและทีมวิจัย (R&D) ที่แข็งแกร่ง จึงทำให้ i-Tail มีนวัตกรรมในการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียกจนได้รับรางวัลระดับโลก
โดยหากเจาะลงไปในกลุ่มตลาด (Segment) จะเห็นว่าตลาดอาหารแมวคาดการณ์เติบโตในระดับ 8.2% ต่อปี ส่วนอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียกคาดการณ์เติบโตได้ในระดับ 10.7% ต่อปี เมื่อเทียบกับอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดแห้ง (แบบเม็ด) เติบโตเพียง 5.3% ใน 5 ปีข้างหน้าเท่านั้น
ที่มา : ข้อมูลตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกของสุนัขและแมว (2564 – 2569) อ้างอิงจาก Frost & Sullivan
4. i-Tail มีความสัมพันธ์กับลูกค้ารายใหญ่ที่แข็งแกร่ง
เมื่อดูที่พอร์ตลูกค้าของ i-Tail จะพบว่า ลูกค้า 3 อันดับแรกมีความสัมพันธ์กับ i-Tail อย่างยาวนานกว่า 21 ปี และมียอดสั่งซื้อเติบโตขึ้นเฉลี่ยถึงปีละ 13% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และผลิตสินค้าให้มากถึง 850 รายการ อีกทั้งลูกค้าใน 10 อันดับแรกของ i-Tail ก็ยังมีความสัมพันธ์ยาวนานถึง 18 ปี
โดยปกติแล้วตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงจะต้องร่วมกันพัฒนาสูตรนวัตกรรม ซึ่งใช้ระยะเวลา 1-2 ปี กว่าจะสามารถผลิตได้ เพราะอาหารสัตว์นั้นเป็นเรื่องที่ประณีตละเอียดอ่อน ต้องอาศัยทั้งความรู้และความเชี่ยวชาญ ดังนั้น จึงทำให้ลูกค้าของ i-Tail เป็นไปได้ยากที่จะเปลี่ยนผู้รับจ้างผลิต หรือกล่าวคือลูกค้ามี Switching Cost ที่สูงนั่นเอง
ที่มา : ข้อมูลบริษัท ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2565
5. i-Tail มีระบบการผลิตที่ทันสมัย มาตรฐานระดับโลก
ปัจจุบัน i-Tail มีโรงงาน 2 แห่ง ตั้งอยู่ที่ จ.สมุทรสาคร และ จ.สงขลา โดยโรงงานมีทั้งระบบการผลิตแบบอัตโนมัติและคลังสินค้าอัจฉริยะ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตได้เป็นอย่างดี
พี่ทุยแอบกระซิบก่อนเลยว่า i-Tail เริ่มนับหนึ่งไฟลิ่งและเตรียมเข้า IPO เร็ว ๆ นี้ด้วยนะ จุดประสงค์ก็เพื่อระดมทุนมาพัฒนาทั้ง 2 โรงงานนี้ให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อจะได้เป็นการลดต้นทุนการผลิตในระยะยาว และได้กำไรเป็นกอบเป็นกำมากขึ้น สำหรับใครที่สนใจล่ะก็ ต้องเตรียมรอฟังข่าวกันอย่างใกล้ชิดเลยนะ
6. ผลการดำเนินงานที่โดดเด่นระดับ Rising Star
จากผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เรียกว่าอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม จะเห็นได้ว่า i-Tail …
- ยอดขายเติบโตเฉลี่ย 15%
- อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเสมือนเฉลี่ยต่อปี 27%
- อัตรากำไรสุทธิเสมือน (NPM) 19%
- ROE 43.9 เท่า
- ROA 24.4 เท่า
- D/E 0.7 เท่า
- Dividend Ratio 53%
และในครึ่งแรกของปี 2565 ยอดขายเสมือนเติบโต 38% และกำไรสุทธิเสมือนสูงขึ้น 40% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 อีกด้วย
ที่มา : ข้อมูลอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี จากงบการเงินเสมือนปี 2562 – 2564, ข้อมูลอัตราส่วนทางการเงินจากงบการเงินเสมือนปี 2564 และงวดหกเดือนปี 2564 และ 2565
เมื่อดูจากข้อมูลทางการเงิน จะเห็นได้ว่านี่เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่น่าจับตามองเลยนะ
สำหรับใครที่สนใจ i-Tail ล่ะก็ ติดตามข่าวการ IPO กันให้ใกล้ชิดล่ะ หรือถ้าสนใจรายละเอียดของบริษัท สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมที่ www.i-Tail.com กันได้เลย
Disclaimer
– การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
– ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการเผยแพร่ในประเทศไทยเท่านั้น และไม่ถือเป็นการเสนอขายหลักทรัพย์ ห้ามมิให้มีการทำซ้ำ ส่งต่อ หรือเผยแพร่เอกสารฉบับนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต
อ่านเพิ่ม