หลักการพื้นฐานในการลงทุนหนึ่งที่พี่ทุยยึดถือเลย คือ การหา “แนวโน้ม (Trend)” ให้เจอ แล้วเราก็ถือไปเรื่อย ๆ จนกว่าแนวโน้มนั้นจะจบลง แล้วถ้าแนวโน้มที่กำลังจะเข้าไปลงทุนเป็น “เมกะเทรนด์ (Megatrend)” ด้วยก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสทำกำไรได้เป็นอย่างดี
“เมกะเทรนด์ (Megatrend)” เป็นการเปลี่ยนครั้งใหญ่ของโลก ที่จะส่งผลกระทบทั้งเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมต่าง ๆ รวมถึงอาจจะหมายถึงรูปแบบในการใช้ชีวิตของคนในสังคมด้วย ซึ่งต้องบอกว่า ณ เวลานี้มีหลาย ๆ เมกะเทรนด์ก็ถูกเร่งให้เกิดขึ้นจากการระบาดของโควิด-19
แต่ถ้าตอนนี้เราลองมองที่ตลาดหุ้นไทย ต้องยอมรับเลยว่ามีหุ้นที่ตอบรับกับเมกะเทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่น้อยมาก ทำให้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลกค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยนั้นเรียกได้ว่าแทบจะไม่เติบโตเลยก็ว่าได้
ตอนนี้การกระจายการลงทุนไปเมกะเทรนด์ต่างประเทศ จึงเริ่มเป็นที่สนใจและถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่พอพูดถึงเรื่องการลงทุนต่างประเทศด้วยตัวเองก็มีความยุ่งยากอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งเรื่องการจัดการเปิดพอร์ต ความวุ่นวายในการแลกเงินไปลงทุนที่ต่างประเทศ รวมไปจนถึงการเข้าถึงข้อมูลการลงทุนในประเทศต่าง ๆ
และที่สำคัญเลย คือ การเข้าไปลงทุนโดยตรงในตลาดต่างประเทศจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนที่สูงถึงจะคุ้มค่ากับค่าธรรมเนียมที่เราต้องเสียสำหรับการซื้อในแต่ละครั้ง
สำหรับใครที่กำลังมองหาแนวทางการลงทุนเมกะเทรนด์ทั่วโลก พี่ทุยแนะนำ “Thematic Optimize” จาก Jitta Wealth ที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่นต่าง ๆ มากมายที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนเมกะเทรนด์ที่มีโอกาสเติบโตสูงจากทั่วโลกได้แบบง่าย ๆ
Thematic Optimize ลงทุนกับ 16 ธีมเมกะเทรนด์โลกอนาคตไกล
ทาง Jitta Wealth จะทำการคัดเลือกธีมการลงทุนที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลกมาให้เราเลือกลงทุนได้เหมือนกับเลือกเมนูอาหารเลย เราก็สามารถกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศได้ทันที ณ ปัจจุบันมีให้เลือกถึง 16 ธีมเมกะเทรนด์โลกอนาคตไกล
1. ตลาดหุ้นจีน (China)
2. อีคอมเมิร์ซ (E-commerce)
3. ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา (United States)
4. ตลาดหุ้นอินเดีย (India)
5. เทคโนโลยี (Technology)
6. บริการสุขภาพ (Healthcare)
7. หุ่นยนต์และ AI (AI & Robotics)
8. ระบบคลาวด์ (Cloud Computing)
9. เกมและอีสปอร์ต (Games & E-Sports)
10. เทคโนโลยีการเงิน (Finance)
11. เทคโนโลยีจีน (China Tech)
12. กัญชา (Cannabis)
13. ตลาดหุ้นเวียดนาม (Vietnam)
14. เทคโนโลยีท่องเที่ยว (Travel Tech)
15. จีโนมิกส์ (Genomics)
16. พลังงานสะอาดจีน (China Clean Energy)
Thematic Optimize จัดพอร์ตการลงทุนด้วย AI แบบอัตโนมัติ ช่วยเฟ้นหา “เมกะเทรนด์”
Thematic Optimize จะยิ่งเหมาะกับคนที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกลงทุนธีมอะไรดี ระบบของ Thematic Optimize จะวิเคราะห์และคัดเลือก 4 ธีมการลงทุนที่น่าลงทุนมากที่สุด ลงทุนผ่าน Passive ETF กระจายสัดส่วนเท่า ๆ กัน โดยการคัดเลือกจะทำผ่านระบบ AI ทั้งหมด
ค้นพบ “เมกะเทรนด์” เสมอ ด้วย Thematic Optimize ปรับพอร์ตอัตโนมัติทุก 3 เดือน
อีกหนึ่งฟังก์ชั่นที่พี่ทุยชอบมาก และส่วนตัวพี่ทุยคิดว่าจำเป็นอย่างสำหรับการลงทุนเลยก็คือการ “ปรับพอร์ตอัตโนมัติ (Auto Rebalance)” ที่จะช่วยปรับพอร์ตในกลับมาอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมอยู่เสมอ
ผลตอบแทนย้อนหลัง 25% ต่อปี
ถ้าหากย้อนดูผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ปี 2561 จนถึงวันที่ 31 ส.ค. 2564 ที่ผ่านมา Thematic Optimize ทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงถึง 25% ต่อปีเลยทีเดียวซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนโดยเฉลี่ยของตลาดหุ้นทั่วโลก (MSCI World Index) อย่างชัดเจน จะเห็นว่าธีมที่ระบบ AI ของ Thematic Optimize สามารถคัดเลือกการลงทุนที่น่าสนใจและเป็นเทรนด์การเติบโตของโลกได้จริง ๆ
สำหรับใครที่สนใจรายละเอียดการทำ Back Test ของ Thematic Optimize ว่าผลตอบแทนถูกคำนวณมาอย่างไรสามารถเข้าไปได้ที่นี่
Thematic Optimize เริ่มต้นลงทุนเพียง 100,000 บาทก็สามารถเข้าถึงการลงทุนระดับโลกได้
อีกหนึ่งข้อจำกัดของการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศก็คือ “เงินทุน” ถ้าหากมีเงินลงทุนที่ไม่ได้สูงมากนักการไปลงทุนต่างประเทศเราจะโดยค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่สูงมาก แต่สำหรับ Thematic Optimize เริ่มต้นลงทุนเพียง 100,000 บาทเท่านั้น แถมยังได้กระจายการลงทุนไปยัง 4 ธีมการลงทุนที่กำลังเป็นเมกะเทรนด์โลกด้วย
ค่าบริหารจัดการเพียง 0.5% ต่อปี
อีกอย่างหนึ่งที่พี่ทุยประทับใจมากก็คือ “ค่าบริการจัดการ (Management Fee)” เก็บเพียง 0.5% ต่อปีเท่านั้น ถ้าเราไปเทียบกับกองทุนรวมแบบทั่วไปที่เป็นการลงทุนหุ้นในต่างประเทศแบบนี้มักจะถูกเรียกเก็บที่ระดับ 1.5 – 2%
สำหรับใครที่รับความเสี่ยงได้ เน้นลงทุนระยะยาว ต้องการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ แต่ยังไม่มีความชำนาญในการลงทุนมากนัก และอยากลงทุนแบบระบบไม่ต้องคอยติดตามข่าวสารต่าง ๆ ให้ปวดหัว พี่ทุยแนะนำ “Thematic Optimize” จาก “Jitta Wealth” ให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่