บริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ก็เริ่มทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2023 กันออกมา ซึ่งมีทั้งดีกว่าคาด ไปจนถึงน่าผิดหวัง วันนี้ พี่ทุยก็เลยอยากจะชวนทุกคนมาอัปเดต 5 บริษัทที่มูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap.) สูงที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือก็คือ AMAAN ที่ล้มแชมป์เก่าอย่าง FAANG ไปได้ และบริษัทเหล่านี้มีผลประกอบการเป็นอย่างไรบ้างในไตรมาสล่าสุด ไปดูกัน
5 บริษัท AMAAN ที่ Market Cap. สูงสุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ก.ย. 2023)
เห็นตัวเลขแล้วต้องอ้าปากค้างทีเดียว เพราะ 5 บริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปมากที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เวลานี้ เมื่อนำมาร์เก็ตแคปมารวมกันจะสูงถึง 9.502 ล้านล้านดอลลาร์ ขาดอีกอึดใจเดียวก็ 10 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว
คราวนี้เรามาติดตามผลประกอบการของ 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ดีกว่าว่า ในงวดล่าสุด แต่ละบริษัทมีผลประกอบการดีหรือไม่ดียังไงบ้าง
พี่ทุยต้องบอกก่อนว่า แต่ละบริษัทมีปีงบประมาณที่ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นผลประกอบการที่ออกมา ก็อาจจะคนละไตรมาสกันก็ได้
สรุปรายได้และกำไรสุทธิของ 5 บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ AMAAN
สรุปผลประกอบการ 5 บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ AMAAN
พี่ทุยพาดูรายละเอียดแต่บริษัท จะมีผลประกอบการไหนเข้าเป้าบ้าง
Apple
ไตรมาส 3/ปีงบประมาณ 2023 (2 เม.ย. – 1 ก.ค. 2023) มียอดขายรวม 81,797 ล้านดอลลาร์ -1.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) กำไรสุทธิ 19,881 ล้านดอลลาร์ +2.26% YoY กำไรต่อหุ้น 1.26 ดอลลาร์ +5% YoY
ผลประกอบการงวด 9 เดือน (25 ก.ย. 2022 – 1 ก.ค. 2023) ยอดขายรวม 293,787 ล้านดอลลาร์ -3.42% YoY กำไรสุทธิ 74,039 ล้านดอลลาร์ -6.38% YoY กำไรต่อหุ้น 4.67 ดอลลาร์ -3.11% YoY
รายได้จากบริการทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ ด้วยแรงขับเคลื่อนของการสมัครสมาชิกแบบชำระเงิน ยอดขาย iPhone, Mac, iPad ลดลงทั้งในไตรมาสที่ 3 และในงวด 9 เดือน ขณะที่ อุปกรณ์สวมใส่ อุปกรณ์ในบ้านและอุปกรณ์เสริม ยอดขายเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 แต่ในงวด 9 เดือน ลดลง ส่วนรายได้บริการเพิ่มขึ้น ทั้งในไตรมาสที่ 3 และงวด 9 เดือน
ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/ปีงบประมาณ 2023 ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 (ม.ค.-มี.ค. 2023)
บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง 26,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งได้คืนกลับให้ผู้ถือหุ้น 24,000 ล้านดอลลาร์ และยังคงลงทุนตามแผนการเติบโตระยะยาว
บริษัทจ่ายเงินปันผล 0.24 ดอลลาร์/หุ้น วันที่ 17 ส.ค. 2023
คาดการณ์กำไรต่อหุ้น AAPL ของตลาด
Microsoft
ในไตรมาส 4/ปีงบประมาณ 2023 (1 เม.ย. – 30 มิ.ย. 2023) มีรายได้รวม 56,189 ล้านดอลลาร์ +8.34% YoY กำไรสุทธิ 20,081 ล้านดอลลาร์ +19.96% YoY กำไรต่อหุ้น 2.69 ดอลลาร์ +20.63% YoY
ผลประกอบการงวด 12 เดือน (1 ก.ค. 2022 – 30 มิ.ย. 2023) มีรายได้รวม 211,915 ล้านดอลลาร์ +6.88% YoY กำไรสุทธิ 72,361 ล้านดอลลาร์ -0.52% YoY กำไรต่อหุ้น 9.68 ดอลลาร์ +0.31% YoY
รายได้ธุรกิจ Microsoft Cloud เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับผลประกอบการไตรมาสนี้ โดยเพิ่มขึ้นถึง 21% YoY
บริษัทยังมุ่งเน้นการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงแพลตฟอร์ม AI ใหม่ การช่วยให้ลูกค้าใช้ Microsoft Cloud ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับเงินที่จ่ายไปและช่วยขับเคลื่อนผลการดำเนินงาน
Microsoft คาดการณ์ว่าไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2024 จะมีรายได้ 53,800-54,800 ล้านดอลลาร์ หรือมีค่ากลางประมาณ 54,300 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8% แต่ว่าน้อยกว่าผลสำรวจคาดการณ์นักวิเคราะห์ของ Refinitiv ซึ่งมองไว้ 54,940 ล้านดอลลาร์
Alphabet
บริษัทมีรายได้รวม ไตรมาส 2/2023 (1 เม.ย. – 30 มิ.ย. 2023) ทั้งหมด 74,604 ล้านดอลลาร์ +7.06% YoY กำไรสุทธิ 18,368 ล้านดอลลาร์ +14.79% YoY กำไรต่อหุ้น 1.44 ดอลลาร์ต่อหุ้น +19%
รายได้รวมครึ่งปีอยู่ที่ 144,391 ล้านดอลลาร์ +4.86% กำไรสุทธิ 33,419 ล้านดอลลาร์ +3.02% กำไรต่อหุ้น 2.61 ดอลลาร์ต่อหุ้น +6.97%
บริษัทยังคงความเป็นผู้นำด้าน AI ความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมและนวัตกรรมขับเคลื่อนการพัฒนาบริการด้านการค้นหาขั้นต่อไป และปรับปรุงบริการทั้งหมดที่มี โดยมีผลิตภัณฑ์ 15 รายการ ครอบคลุมการให้บริการคนประมาณ 500 ล้านคน และผลิตภัณฑ์ 6 รายการ ที่ให้บริการคนมากกว่า 2,000 ล้านคน โดยเรายังมีโอกาสอีกมากมายที่จะส่งมอบภารกิจของบริษัท
ผลการดำเนินงานที่ออกมาสะท้อนความยืดหยุ่นของบริการด้านค้นหา โดยรายได้ทั้งการค้นหาและ Youtube เติบโต เช่นเดียวกับคลาวด์ที่มีแนวโน้มเติบโต โดยเรายังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อการเติบโต ด้วยการให้ความสำคัญในการปรับโครงสร้างต้นทุนทั่วทั้งบริษัท เพื่อสร้างขีดความสามารถและส่งมอบมูลค่าที่ยั่งยืนในระยะยาว
Amazon
ไตรมาส 2/2023 มียอดขายรวม 134,383 ล้านดอลลาร์ +10.85% มีกำไรสุทธิ 6,750 ล้านดอลลาร์ จากที่ขาดทุนสุทธิ -2,028 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเดียวกันของปี 2022 มีกำไรต่อหุ้น 0.65 ดอลลาร์ต่อหุ้น จากที่เคยขาดทุน -0.20 ดอลลาร์ต่อหุ้น ในช่วงเดียวกันของปี 2022
ผลการดำเนินงานครึ่งปี มียอดขายรวม 261,741 ล้านดอลลาร์ +10.12% มีกำไรสุทธิ 9,922 ล้านดอลลาร์ จากที่ขาดทุนสุทธิ -5,872 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเดียวกันของปี 2022 มีกำไรต่อหุ้น 0.95 ดอลลาร์ต่อหุ้น จากที่ขาดทุน -0.58 ดอลลาร์ต่อหุ้น ในช่วงเดียวกันของปี 2022
การดำเนินงานไตรมาสนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง เรามีต้นทุนการให้บริการลดลง สามารถขนส่งสินค้าไปให้กับลูกค้า Prime ได้เร็วขึ้น
ในไตรมาสนี้ บริษัทได้นำเสนอบริการส่งฟรีภายในวันหรือ 1 วัน สำหรับสินค้ากว่า 10 ล้านรายการ ยอดนิยม สำหรับพื้นที่เมืองใหญ่ 60 แห่งที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ครอบคลุมคำสั่งซื้อแบบถึงภายในวันหรือวันรุ่งขึ้นสำหรับลูกค้า Prime มากกว่าครึ่งหนึ่ง โดยในปีนี้ได้ส่งมอบสินค้ารวม 1,800 ล้านรายการให้สมาชิก Prime ในสหรัฐฯ ภายในวันหรือวันรุ่งขึ้นไปแล้ว 4 เท่าตัวของยอดสินค้าที่ส่งด้วยความเร็วแบบเดียวกันในปี 2019
มีการจัดงาน Prime Day วันที่ 11-12 ก.ค. ซึ่งก็มีสมาชิก Prime ทั่วโลกซื้อสินค้ามากกว่า 375 ล้านรายการ และประหยัดเงินได้กว่า 2,500 ล้านดอลลาร์ โดยปีนี้ Amazon ได้นำเสนอข้อตกลงมากขึ้นกว่า Prime Day ในอดีต ครอบคลุมสินค้าที่เกี่ยวกับบ้าน แฟชั่น และความงาม ที่ขายดี
นอกจากนี้ยังเพิ่มทางเลือกสินค้าแบรนด์ความงามและแฟชั่นใหม่ๆ ในร้าน Amazon และเพิ่มแบรนด์สินค้าของชำด้วย
บริการ AWS เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ เพราะลูกค้าเริ่มเปลี่ยนจากการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนไปเป็นการปรับปริมาณงานใหม่ โดย AWS ยังมีตำแหน่งเป็นผู้นำในด้านระบบคลาวด์ มีการเปิดตัว Generative AI ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถฝึกอบรมและทดลองโมเดลได้ง่ายและมีประสิทธิภาพด้านต้นทุนมากขึ้น สามารถใช้โมเดลในการสร้างแอปพลิเคชัน Generative AI พร้อมกับเขียนโค้ดได้
คาดการณ์ ไตรมาส 3/2023 มียอดขายรวม 138,000 – 143,000 ล้านดอลลาร์ หรือเติบโต 9-13% YoY
NVIDIA
รายได้รวม ไตรมาส 2/2024 (1 พ.ค.-30 ก.ค. 2023) อยู่ที่ 13,507 ล้านดอลลาร์ +101.48% YoY กำไรสุทธิ 6,188 ล้านดอลลาร์ +843.29% YoY กำไรต่อหุ้น 2.48 ดอลลาร์ต่อหุ้น +853.85% YoY
รายได้ครึ่งปีงบประมาณ 2024 (30 ม.ค.-30 ก.ค. 2023) อยู่ที่ 20,699 ล้านดอลลาร์ +38.07% YoY กำไรสุทธิ 8,232 ล้านดอลลาร์ +262.01% YoY กำไรต่อหุ้น 3.30 ดอลลาร์ต่อหุ้น +266.67%
รายได้จากศูนย์ข้อมูลสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 10,320 ล้านดอลลาร์ +141% จากไตรมาสแรก และ +171% YoY
ยุคการประมวลผลใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว บริษัททั่วโลกต่างก็เปลี่ยนผ่านตัวเองจากการใช้งานชิปเพื่อวัตถุประสงค์ทั่วไปเป็นการประมวลผลและ Generative AI มากขึ้น
หน่วยประมวลผลกราฟฟิก (GPUs) ของ NVIDIA เชื่อมต่อเครือข่ายและเป็นส่วนประกอบในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานระบบประมวลผลของ Generative AI
ในไตรมาสนี้ ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ได้ประกาศเปิดตัวโครงสรางพื้นฐาน NVIDIA H100 AI ผู้ให้บริการระบบไอทีและซอฟต์แวร์ชั้นนำประกาศเป็นพันธมิตรเพื่อนำ NVIDIA AI เข้าไปสุ่ทุกอุตสาหกรรม ขณะที่การแข่งขันในการปรับใช้ generative AI กำลังดำเนินไป
บริษัทจะจ่ายเงินปันผล 0.04 ดอลลาร์ต่อหุ้น วันที่ 28 ก.ย. 2023 ให้ผู้ถือหุ้นทั้งหมดที่มีชื่อในวันปิดสมุดทะเบียน 7 ก.ย. 2023
คาดการณ์รายได้ไตรมาส 3/2024 อยู่ที่ 16,000 ล้านดอลลาร์ +/-2% เติบโตต่อเนื่องจากธุรกิจดาต้า เซ็นเตอร์ เกม และการแสดงภาพระดับมืออาชีพ
ถ้าดูข้อมูลแบบย่อ ๆ ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั้ง 5 แห่งนี้ จะพบว่า ส่วนใหญ่มีการกล่าวถึง AI ว่ามีส่วนสำคัญในการผลักดันรายได้ ยกเว้น AAPL ที่ไม่ได้กล่าวถึงมากนัก ขณะที่ราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ของกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ซื้อขายกันที่ 44.5 เท่า ซึ่งยังสูงกว่าค่าเฉลี่ย P/E ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 38.6 เท่า
ในส่วนของผู้ลงทุนเองก็มีมุมมองบวกต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ เติบโต 5.3% ต่อปี
นักวิเคราะห์มีมุมมองบวกมากต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยคาดการณ์กำไรรวมเติบโต 25% ใน 5 ปีข้างหน้า ดีกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 6.8% ต่อปีในอดีต
ทั้งนี้ แม้ Market Cap. ของเทคฯ ยักษ์ใหญ่จะเพิ่มขึ้น จนครอบครองตำแหน่งต้น ๆ ของบริษัทที่มี Market Cap. มากที่สุดในสหรัฐฯ รวมถึงในโลก แต่บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายที่อยู่ตรงหน้าเช่นกัน โดยเฉพาะ 4 บริษัทแรกที่มีมาร์เก็ตแคปสุงสุดในโลก คือ Apple, Microsoft, Alphabet และ Amazon
เนื่องจากเป็น 4 บริษัทนี้ เข้าข่ายอยู่ ใน 6 บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ (อีก 2 บริษัท คือ ByteDance และ Meta) ที่สหภาพยุโรป กำหนดให้ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย พ.ร.บ.ตลาดดิจิทัล (Digital Markets Act) เนื่องจากสหภาพยุโรป ระบุว่า บริษัทเหล่านี้ เข้าข่ายเป็น ‘gatekeepers’ คือบริษัทที่มีอำนาจในตลาดสูง ซึ่งก็จะส่งผลให้ 22 แพลตฟอร์มที่ดำเนินการโดย 6 บริษัทเข้าข่ายอยู่ภายใต้กฎหมายนี้
เปิดรายชื่อแพลฟตอร์มที่เข้าข่าย Gatekeepers ตาม Digital Markets Act
สำหรับใจความสำคัญของ Digital Markets Act คือ เป็นกฎหมายที่ยุโรปทำขึ้นเพื่อจัดการกับข้อกังวลเรื่องอำนาจการแข่งขันในตลาด โดยบริษัทที่เข้าข่ายต้องปฏิบัติตามกฎหมายนี้ จะต้องมีผู้ใช้งานประจำในท้องถิ่น มากกว่า 45 ล้านราย มีเงินหมุนเวียน 7,500 ล้านยูโรขึ้นไป ใน 3 ปีงบการเงินที่ผ่านมา และมีมูลค่าตามราคาตลาดเกิน 75,000 ล้านยูโร โดยกฎหมายเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือน พ.ค. 2023 เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปการแข่งขันทางดิจิทัลของคณะกรรมาธิการยุโรปที่ออกมาเมื่อปี 2020
ตัวอย่าง สิ่งที่กฎหมายระบุ คือ ห้าม gatekeepers กำหนดให้ผู้ใช้งานธุรกิจต้องใช้บริการของตนเอง และห้าม app stores ของบริษัทป้องกันการติดตั้ง stores ของคู่แข่ง นอกจากนี้ก็จะไม่สามารถห้ามผู้ใช้งานธุรกิจเข้าถึงข้อเสนอหรือโปรโมชันของบริการที่คู่แข่งมีด้วย อีกทั้งพวกเขายังต้องทำหน้าที่แบ่งปันข้อมูลการใช้งานแพลตฟอร์มที่สร้างขึ้นกับพวกเขา ทั้งยังถูกห้ามไม่ให้ติดตามหรือจัดทำโปรไฟล์ของผู้ใช้เพื่อกำหนดเป้าหมายโฆษณา เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากพวกเขา เป็นต้น
นอกเหนือจากเจอกฎหมายยุโรปสกัดดาวรุ่ง และอาจจะมีผลต่อการเติบโตของรายได้ในอนาคตแล้ว เทคฯ ใหญ่สหรัฐฯ ยังต้องอยู่ในวังวนสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอีก
อย่างเช่นล่าสุด เป็นคิว Apple เมื่อมีรายงานหลายฉบับออกมาว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนอาจจะถูกห้ามใช้ไอโฟน โดยข้อมูลนี้ ไม่ได้มีประกาศออกมาอย่างเป็นทางการโดยรัฐบาลจีนก็จริง แต่ก็สร้างความกังวลให้กับคนที่ได้ยินได้ฟังว่า ผลิตภัณฑ์ของ Apple กำลังตกอยู่ในเป้าหมายสงครามกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งตลาดจีนที่รวมฮ่องกง และไต้หวันอยู่ด้วย ถือเป็นตลาดใหญ่อันดับ 3 ของ Apple คิดเป็น 18% ของรายได้รวมทั้งหมด
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของ Bernstein ระบุว่า การห้ามเจ้าหน้าที่รัฐบาลใช้งานไอโฟน จะทำให้ยอดขายไอโฟนในจีนลดลงประมาณ 5% และอาจเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่กว่านั้นสำหรับ Apple ถ้าการห้ามครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณไปถึงประชาชนในประเทศด้วยว่า พวกเขาควรจะใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของจีนในชีวิตประจำวัน
จากสถานการณ์ที่ยังมีความท้าทายกดดันธุรกิจเทคฯ เหล่านี้ พี่ทุยมองว่า ก็คงจะหยุดการเติบโตของเทคฯ สหรัฐฯ ไม่ได้ เพราะทุกวันนี้คนก็ใช้กันติดตลาดแล้ว เพียงแต่จะเป็นอุปสรรคที่ทำให้บริษัทเทคฯ ใหญ่ โตได้ไม่เร็วและต้องเดินธุรกิจแต่ละก้าวแบบระมัดระวังมากขึ้น
ถ้าถามว่า ธุรกิจเทคฯ ยังน่าลงทุนมั้ย พี่ทุยก็มองว่า ถ้าใครคิดว่า สิ่งที่บริษัทเหล่านี้ทำอยู่ เป็นสิ่งที่ล้มหายตายจากไปยาก ยังไงเราก็ต้องใช้ ต้องมี ต้องอยู่กับมัน ก็ยังถือว่าบริษัทเหล่านี้ก็ยังลงทุนได้ต่อไป เพียงแต่ราคาของหุ้นบริษัทเทคฯ จำนวนมากก็ขึ้นมาไม่น้อยแล้ว สะท้อนได้จากการขึ้นมาครองตำแหน่ง Market Cap. สูงสุดในโลก
ดังนั้น ก็อาจจะต้องเลือกจังหวะดี ๆ ช่วงที่ราคาลงมาบ้าง แล้วค่อยเข้าไปลงทุน หรืออาจจะทยอยลงทุนทีละนิดละหน่อย แล้วถือไว้ยาว ๆ ก็ได้ เพราะการลงทุนระยะยาว จะทำให้เราก้าวข้ามความผันผวนที่เกิดขึ้นระหว่างทางที่ส่งผลทำให้ราคาขึ้น ๆ ลง ๆ ไปได้ และพบกับโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในอนาคต
อ่านเพิ่ม