ในที่สุด หลังจากฉายมาตั้งแต่ปี 2554 ก็ได้เวลาปิดม่านของซีรีส์ดัง “Game of Thrones” (มหาศึกชิงบัลลังก์) สักที พี่ทุยเห็นแฟนๆซีรีส์ที่ติดตามกันมาอย่างเหนียวแน่นถึงเกือบ 10 ปี โอดครวญกันเต็มหน้าไทม์ไลน์ อยากบอกว่าเข้าใจความรู้สึกมากนะ เพราะพี่ทุยก็เกาะขอบจอดูมาตั้งแต่ซีซั่นแรกเหมือนกัน (ฮือ) หนังจบแต่อารมณ์ยังไม่จบ รวมถึงข้อคิดต่างๆที่เราไม่ควรปล่อยให้จบไปพร้อมกับหนังนะจ๊ะ เอาล่ะ มาดูกันดีกว่า ว่ามีอะไรบ้าง
SPOILER ALERTED
ก่อนอื่นเลย พี่ทุยขอบอกว่าบทความนี้จะไม่สปอยล์เนื้อหาในช่วงซีซั่นหลังๆเพราะเผื่อใครยังไม่ได้ดู แต่ขอพาดพิงถึงแค่ในซีซั่นแรกๆแทน
1. จงเตรียมรับมือกับเรื่องไม่คาดฝันเสมอ
Game of Thrones เป็นซีรีส์ที่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นบ่อยมากๆในแทบทุกซีซั่น ซีรีส์นี้รับน้องคนดูโลกสวยตั้งแต่ซีซั่นแรกเลย ด้วยการที่ตัวเอกของเรื่อง อย่างเน็ต สตาร์ต ถูกประหารชีวิตโดยการตัดคอ แถมหลังจากถูกสำเร็จโทษเเล้ว ยังถูกนำหัวไปปักไม้เสียบประจานอีกต่างหาก หลายคนคงถึงกับงงแล้วคิดในใจว่า “เอาอย่างนี้จริงเหรอ?” ในเมื่อเน็ต สตาร์ตดูเหมือนจะเป็นตัวเด่นของเรื่องเลย แต่กลับตายอย่างโหดเหี้ยมตั้งแต่ซีซั่นแรกซะงั้น
เหมือนกับการลงทุนในตลาดหุ้น ที่อาจมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอๆ หุ้นตัวที่กราฟดูดีสุดๆ ก็อาจจะพังครืนได้เมื่อสถานการณ์โลกไม่เป็นใจ บริษัทที่กำไรดีมาตลอด ก็อาจพลิกโผขาดทุนได้ เพราะฉะนั้นการคิดไว้ก่อนว่าเราจะทำยังไงดี เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันนั้นๆขึ้น จะเป็นอะไรที่ดีมาก เช่น การวางจุด Stop loss หรือ Cut loss นั่นเอง
2. ควรมีแผนการในการทำสิ่งต่างๆ และวิธีการรับมือไว้ก่อนเสมอ
ขยายความต่อจากข้อที่แล้วเลย คือ ในเมื่อสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เราเป็นแค่ฟันเฟืองเล็กๆในโลกใบนี้ที่บางทีก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่สิ่งที่เราสามารถทำได้คือการวางแผนรับมือ เช่น ใน Game of Thrones เราไม่สามารถสั่งให้เหล่าผีดิบ White Walker บุกเข้ากำแพงมาได้ แต่เราสามารถหาแผนรับมือกับมันได้ นอกจากนี้การมีแผน ยังส่งผลถึงความก้าวหน้าของชีวิตอีกด้วยนะ ตัวอย่างของเจ้าแผนการที่ทุกคนคงคิดตรงกันโดยไม่ต้องพยายามนึกเลยคือ “นิ้วก้อย (ลิตเติลฟิงเกอร์/ลอร์ดเบลิช)” ที่วางแผนทุกอย่างอย่างละเอียดถี่ถ้วน จนสร้างความก้าวหน้าให้ชีวิต จากที่เป็นเพียงเจ้าของซ่องโสเภณีก็กลายมาเป็น Master of Coin และต่อมาก็เป็น Lord Protector of The Vale จากแผนการเจ้าเล่ห์ที่ใช้ความรักของไลซา (น้องสาวของแคทเธอรีน สตาร์ค) เป็นเครื่องมือ จนถึงเป็น Lord of Harrenhal
พี่ทุยไม่ได้บอกว่าการกระทำของนิ้วก้อยเป็นเรื่องที่น่ายกย่องนะจ๊ะ แค่ยกตัวอย่างคนที่รู้จักวางแผน จนทำให้เกิดความก้าวหน้าของชีวิต แต่จะดีและยั่งยืนกว่ามากเลย ถ้าเรารู้จักวางแผนอย่างขาวสะอาด ไม่เจ้าเล่ห์จนพาคนอื่นเดือดร้อนไปทั่ว เพราะคนที่ใช้ความฉลาดในทางที่ไม่เข้าท่าอย่างนั้น สุดท้ายจะพบจุดจบที่ไม่ดีนักเหมือนนิ้วก้อยยังไงล่ะ
3. อย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
ปัจจุบันคนเริ่มหันมานิยมการเทรดโดยใช้หุ่นยนต์หรือ AI มากขึ้น และสาเหตุหนึ่งที่ในบางสภาวะตลาด AI จะสามารถทำกำไรได้ดีกว่าคน ก็เพราะว่า AI ทำการซื้อขายและตัดขาดทุนแบบไม่ใช้อารมณ์ แต่ทำตามระบบที่ออกแบบมาอย่างเคร่งครัด AI จะไม่ต่อรองเมื่อถึงจุดที่ต้องตัดขาดทุนตามระบบว่า “เดี๋ยวก่อนสิๆ เดี๋ยวรอเด้งก่อนจะคัท” และจะไม่ขายออกมาเพราะกลัวราคาจะไม่ไปต่อ ถ้าไม่เจอ “สัญญาณขาย”
ตัวอย่างเรื่อง การปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลจนชีวิตตัวเองและคนรอบตัวพังใน Game of Thrones ก็คือ การที่ร็อบ สตาร์คไม่ยอมแต่งงานกับลูกสาวตระกูลเฟรย์ ทั้งๆที่ได้ให้สัญญาเอาไว้แล้ว แต่เลือกทาลิซาและลูกน้อยตามความรู้สึกของตัวเอง สุดท้ายก็เลยพบกับจุดจบอย่างที่เรารู้กัน
4. อยากเก่งต้องฝึกฝน
อาร์ยา สตาร์ค คือตัวอย่างของคนที่มีความพยายามและฝึกฝนจนเก่งขึ้นเรื่อยๆ และสามารถทำตามเป้าหมายของตัวเองได้ ซึ่งก็คือการสังหารคนที่เคยทำร้ายครอบครัวของเธอตามรายชื่อ ตอนเริ่มเรื่อง อาร์ย่าเป็นแค่เด็กผู้หญิงลูกคุณหนูตระกูลสูงคนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้เรียบร้อยเป็นกุลสตรีเหมือนซานซ่า แต่เธอก็คือลูกคุณหนูดีๆคนนึงเนี่ยแหละ ตลอดทั้ง 8 ซีซั่นเราจะได้เห็นพัฒนาการของอาร์ย่าตลอด จากเด็กผู้หญิงธรรมดา เธอกลายเป็นนักสู้สกิลเทพได้ เพราะการฝึกฝนและการกัดฟันสู้ อดทน แม้ต้องเจอกับเรื่องแย่ๆสารพัด ถึงแม้จะโดนทำให้ตาบอดก็ยังสู้ยิบตา
นี่แหละคุณสมบัติที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ เหมือนกับการเทรดหุ้น ที่ก่อนเราจะจับดาบ ฟันกำไรมาเป็นของเราได้ ก็ต้องผ่านการฝึกฝน อดทนเสียก่อน
5. อย่าเชื่อใครง่ายๆ ต้องคิดวิเคราะห์เอง
ตัวละครหลายตัวในเรื่องล้วนแต่พลาดท่าเสียทีเพราะลมปากคนอื่น เช่น เน็ต สตาร์ค ต้องตายเพราะเชื่อคำนิ้วก้อย สแตนนิสต้องยอมเผาลูกสาวตัวเองทั้งเป็น เพราะเชื่อในคำพูดของสตรีแดง (Red Woman)
เหมือนกับที่เราไม่ควรเชื่อคนอื่น คำแนะนำของมาร์เก็ตติ้ง หรือแม้กระทั่งบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์แต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่วิเคราะห์เองเสียก่อน ซึ่งตรงกับหลัก “กาลามสูตร” ในทางพุทธศาสนา ที่ว่าอย่าเชื่ออะไรงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณา
6. รู้จักใช้อัตราทด (Leverage)
หลังจากที่เดเนอริสกลายเป็นแม่ม้ายเพราะสามีตายและถูกคนทั้งเผ่าโดธรากีทอดทิ้งไป สิ่งเดียวที่เหลือก็มีเพียงลูกมังกรสามตัวที่เพิ่งฟักออกมาจากไข่สดๆร้อนๆเท่านั้น ตอนนั้นเรียกได้ว่าเดเนอริสกแทบจะไม่มีอะไรติดตัวเลย แต่สิ่งที่ทำให้เธอกลับมายิ่งใหญ่และสร้างกองทัพนับแสนได้ ก็เพราะเธอรู้จักใช้อัตราทด (Leverage) ซึ่งในที่นี้ก็คือ มังกรทั้งสามตัว รวมถึงสายเลือดกษัตริย์ของตัวเอง จนสร้างพันธมิตรและกองทัพที่ยิ่งใหญ่ มากเป็นหลายเท่าจากสิ่งที่เธอมีอยู่น้อยนิดในตอนแรก
จะเห็นได้ว่าสิ่งเล็กน้อยก็สร้างมูลค่าได้อย่างมากมาย หากเรามองเห็นค่า ใช้ให้เป็น และสร้างมูลค่าให้กับมัน เหมือนการเพิ่มอัตราทดโดยใช้มังกรของเดเนอริสนั่นเอง
ถึงซีรีส์เรื่องนี้จะปิดฉากลงไปแล้ว ก็อย่าลืม “ดูละครแล้วย้อนดูตัวเรา” โดยเฉพาะซีรีส์ยาวๆที่มีอะไรให้คิดเยอะแยะอย่าง “Game of Thrones” ตอนนี้พี่ทุยขอตัวไปหาซีรีส์เรื่องใหม่ก่อนนะ ใครมีอะไรสนุกๆมากระซิบบอกกันบ้าง อย่าลืมล่ะ (ฮ่า)
Comment