เรื่องของสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่มีมายาวนานกว่าหนึ่งปีแล้ว ถึงแม้ว่าประเด็นนี้จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายนอก แต่ก็ส่งผลกระทบต่อเราไม่น้อย เหมือนบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCG ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ในชื่อย่อว่า SCC ก็ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าเช่นกัน วันนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าเรา “หุ้น SCC” ที่เรารู้จักได้รับผลกระทบอะไรบ้าง
เรื่องแรกที่คนมักจะนึกถึงหุ้นเวลาพูดถึง “หุ้น SCC” ของปูนซีเมนต์ไทย คือ เค้าเป็นหุ้นที่ใหญ่มาก อันดับแรกเพราะว่า ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ SCC ถึง 33.64% คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ของเรานั่นเอง อันดับสอง คือ เรื่องของความใหญ่ในขนาดกิจการ หุ้น SCC เป็นหุ้นที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศไทย (ข้อมูลเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2561) ฉะนั้นการขยับตัวเพียงเเค่เล็กน้อยของยักษ์ใหญ่นี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อดัชนีรวมของตลาดหุ้นไทย
อันดับสุดท้าย คือ ความใหญ่ของราคาหุ้น หมายถึงราคาในเชิงปริมาณเท่านั้นนะ ราคาปิดเมื่อวันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายนอยู่ที่ 387 ต่อหุ้น ถ้าเราอยากจะเป็นเจ้าของร่วม ต้องซื้ออย่างน้อย 1 หน่วยหรือ 100 หุ้น คิดเป็นเงิน 38,700 บาททีเดียวหรือถ้าใครอยากได้มากก็สามารถซื้อทีละหุ้นใน Odd Lot ก็ได้นะ ฮ่า ๆ ส่วนราคาเชิงคุณภาพอย่างสัดส่วน P/E อยู่ที่ประมาณ 13 เท่า
จริง ๆ แล้ว ถ้าใครติดตามราคาหุ้น SCC จะรู้ว่า การที่ราคาไม่ถึง 400 บาทต่อหุ้นในช่วงนี้ถือเป็นราคาที่เย้ายวนใจนักลงทุนพอสมควรเลย เพราะก่อนหน้านี้ราคาเค้าอยู่ในช่วงสี่ร้อยบาทปลาย ๆ ถึงห้าร้อยบาทมาตลอด จนมักเกิดคำถามที่ว่า “ราคาหุ้น SCC ลงมามากขนาดนี้แล้ว เข้าซื้อได้หรือยัง?” เอาเป็นว่าเรามาหาคำตอบของคำถามข้อนี้ไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า
เฉพาะในปีนี้ราคาหุ้น SCC ก็ร่วงลงราว 28% ถ้านับจากตอนต้นเดือนเมษายนที่ราคา 490 บาทต่อหุ้น มาถึงเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่เค้าทำจุดต่ำสุดที่ราคา 351 บาทต่อหุ้น ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ ก็มาจาก “สงครามการค้า” ที่พี่ทุยพูดถึงไปตอนต้นเนี่ยแหละจ้ะ
มาดูรายได้และผลกำไรของ SCC กัน
อัตรากำไรสุทธิในปี 2561 ลดลงจากปี 2560 อยู่หลายเปอร์เซ็นเลย ปัญหาตรงนี้เกิดขึ้นเพราะว่า ถึงแม้ SCC เป็น Holding company มีธุรกิจหลายด้าน ทั้งด้านวัสดุก่อสร้าง Packaging และเคมีภัณฑ์ แต่เค้าค่อนข้างพึ่งรายได้จากส่วนของเคมีภัณฑ์ ถ้าคิดเป็น 100% SCC มีรายได้ 46% มาจากธุรกิจด้านเคมีภัณฑ์ 36% มาจากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและรายได้ 18% มาจากส่วนของธุรกิจ Packaging ถ้าจำกันได้ช่วงก่อนมีข่าวที่กระทบราคาน้ำมันค่อนข้างบ่อย เช่น เรื่องการที่ OPEC จะลดกำลังการผลิตน้ำมัน หรือการคว่ำบาตรอิหร่าน
รายได้ของเค้าจึงได้รับผลกระทบเป็นห่วงโซ่ อธิบายง่าย ๆ คือ วัตถุดิบหลักด้านเคมีภัณฑ์ที่เป็นรายได้หลักของ SCC คือ “แนฟทา” ซึ่งแนฟทาที่ว่านี้กลั่นมาจากน้ำมันดิบ เพราะฉะนั้นเมื่อ OPEC จะลดกำลังการผลิตน้ำมัน ความต้องการซื้อมีเท่าเดิม ในขณะที่ความต้องการมีลดลง ราคาน้ำมันเลยพุ่งสูงขึ้น พอน้ำมันแพงขึ้น แนฟทาที่กลั่นน้ำมันดิบก็เลยแพงขึ้นนั่นเอง ส่งผลให้ต้นทุนธุรกิจด้านเคมีภัณฑ์ของ SCC มากขึ้น กำไรก็เลยลดลงน่ะสิ และราคาแนฟทาที่เพิ่มขึ้นเนี่ยก็ไม่ได้มาเล่น ๆ แต่ปรับขึ้นขึงขังจริงจังที่ 24% เลยนะ
ผลก็คือกำไรด้านเคมีภัณฑ์ลดลงประมาณ 29.30% จากปีที่แล้ว เพราะนอกจากเรื่องราคาแนฟทาแล้ว เรื่องของค่าเงินบาทที่แข็งเหลือเกินก็เป็นปัจจัยที่เบียดบังกำไรเค้ามาก
แต่ถึงแม้กำไรเค้าจะหดตัวและสงครามการค้าก็ไม่รู้ว่าจะยืดเยื้อไปอีกนานแค่ไหน ต่างชาติก็ยังคงเข้าสะสมกันมาก เห็นได้จากยอดสะสมของ NVDR ในช่วงปีที่ผ่านมานี้
ใครที่คิดอยากจะเข้าสะสมหุ้น SCC ด้วยเหตุผลที่ว่าราคาถูก P/E ต่ำ ต่างชาติสะสมเยอะต้องมองหลาย ๆ มุมนะจ๊ะ เพราะถ้าเราเข้าซื้อหุ้นด้วยเหตุผลว่าราคาถูก ก็อาจจะเจอถูกกว่า เหมือนเราเดินห้าง เจอของลดราคา 20% ก็รีบซื้อด้วยความดีใจ แต่ผ่านไปไม่กี่วัน Shopee, Lazada ก็จัดโปร 11.11 และของแบบเดียวกันก็ถูกกว่าเยอะ แค่คิดก็เจ็บปวดกันแล้วใช่มั้ย (ฮ่าๆ)
หรือเข้าซื้อด้วยเหตุผลที่ว่า ค่า P/E ต่ำ ที่ประมาณ 13 เท่า ในขณะที่ค่า P/E ของ SET ทุกวันนี้สูงกว่า 19 เท่า ก็ต้องมองความสามารถในการทำกำไรของเค้าด้วยนะ P/E เป็นอัตราส่วนที่คิดมาจาก ราคา (Price) หารด้วยรายได้ (Earning) ซึ่งถ้าเกิดบริษัทนั้น ๆ มีรายได้ลดลง เดี๋ยวค่า P/E ที่เราเห็นว่าต่ำก็สูงขึ้นเองนะจ้ะ เพราะตัวหารน้อยลงไง
พูดถึงเรื่องไม่ค่อยดีไปแล้ว มาพูดถึงเรื่องดีกันบ้าง เพราะ SCC เค้าก็พยายามปรับตัวอยู่เหมือนกัน ทั้งมีงบในส่วนวิจัยและพัฒนา (Research and Development หรือ R & D) 1 % ของรายได้ และทุ่มงบประมาณลงทุนกว่า 80,000 ล้านบาท ส่วนเรื่องที่เค้าค่อนข้างพึ่งพารายได้จากธุรกิจส่วนเคมีภัณฑ์ เค้าก็เริ่มไปมุ่งเรื่องธุรกิจ Packaging นะ ในอนาคตอีกไม่กี่ปีข้างหน้า SCC คงมีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจ Packaging มากขึ้นอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ในส่วนธุรกิจด้านซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง เค้ายังมีโครงการที่ชื่อว่า “Service Solution” ซึ่งครอบคลุมทั้งเรื่องการสร้างบ้านใหม่และใส่ใจลูกค้าอีกกลุ่มนึงคือ ลูกค้าที่ต้องการซ่อมแซม ปรับปรุงบ้าน เพราะแน่นอนแหละว่า คนคงไม่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ราคาแรงอย่างบ้านกันบ่อย ๆ แน่ กลุ่มลูกค้านี้จึงน่าจะเป็นกลุ่มหลัก อีกทั้งยังมี Co-working space สำหรับช่างและผู้รับเหมาที่ชื่อว่า “CPAC Solution Center” ให้คนในวงการก่อสร้างได้มาพูดคุยและระบุความต้องการของตัวเองอีกด้วย
ในเรื่องเทคโนโลยี ทาง SCC ก็ไม่ได้เพิกเฉยนะ เค้ามีช่องทางแบบ Omni-Channel ซึ่งเชื่อมการขายระหว่างแบบออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกันชื่อว่า SCG HOME ลูกค้าก็จะสะดวกขึ้น เพราะนอนเลือกสีกระเบื้องได้จากบนเตียงนอนในห้องที่อยากจะเปลี่ยนและซื้อได้ตลอด 24 ชั่วโมงเลยด้วย
ยุคนี้คือยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงของจริง ขนาดบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง SCG ยังต้องปรับต้องเปลี่ยนกันเลย พี่ทุยว่าคำว่าที่หมดยุคปลาใหญ่กินปลาช้า แต่ตอนนี้เป็นยุคปลาเร็วกินปลาช้าสงสัยจะจริงมาขึ้นเรื่อย ๆ แล้วล่ะ
Comment