“เก่าไป ใหม่มา” เป็นประโยคที่จริงเสียยิ่งกว่าจริงในโลกทุกวันนี้ ในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นนิตยสารและหนังสือพิมพ์ดังๆ ประกาศปิดตัวไปหลายฉบับ ทำเอาหลายคนใจหายไม่น้อย แต่พี่ทุยว่าถ้าเรามองอย่างเป็นธรรม ดูตัวเราเดี๋ยวนี้เราก็แทบไม่ได้หยิบหนังสือพิมพ์มาอ่านเช้า ๆ แล้ว ในเมื่อเขาสามารถหาอ่านข่าวได้อย่างฟรีๆ จากโซเชียลมิเดียต่างๆแถมไวกว่า Real-Time กว่าเห็น ๆ เมื่ออยากรู้อะไรก็สามารถค้นหาเองได้ง่ายๆด้วยปลายนิ้วจาก Google หรือถ้าอยากอ่านหนังสือจริงๆ อีกทางเลือกหนึ่งที่ดูเหมือนจะมาแรงแซงทุกโค้งในนาทีนี้อย่าง e-book ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะประหยัดเนื้อที่ในการเก็บและพกพาได้สะดวกสบาย
แต่แน่นอนว่าการที่พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างนี้ ย่อมส่งผลต่อหลายธุรกิจและรูปแบบการโฆษณา โดยเฉพาะธุรกิจ “ร้านหนังสือ” ที่ถูกเรียกว่า “ธุรกิจตะวันตกดิน” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนนี้เค้าอยู่ยงเป็นพระอาทิตย์เที่ยงคืนมาพักใหญ่ ๆ
เรามาดูกันดีกว่าว่า เดี๋ยวนี้คนนิยมอ่านหนังสือในรูปแบบ e-book ขนาดไหน จะมากกว่าการหยิบหนังสือเป็นเล่มขึ้นมาอ่านเลยมั้ย ?
ในสหรัฐอเมริกา ตัวเลขของผู้ที่เลือกอ่านหนังสือแบบ e-book และแบบเป็นรูปเล่มเริ่มขยับเข้ามาใกล้กันเรื่อย ๆ จนช่วงปี 2017 ผ่านมายอดขายe-book เริ่มแซงหนังสือแบบเล่มเป็นทีเรียบร้อยแล้ว แต่ก็อย่าเพิ่งตกใจว่านี่คือ อวสานของหนังสือ พี่ทุยมีสัดส่วนความนิยมของe-book และหนังสือแบบรูปเล่มมาปลอบใจ
จากกราฟจะเห็นได้ชัดเลยว่าถึง e-book แย่งชิงบัลลังก์ที่ 1 จากหนังสือแบบเป็นรูปเล่มในประเทศอเมริกาและอังกฤษได้ในที่สุด แต่สำหรับประเทศอื่นๆ (แน่นอนว่าไทยด้วย) ยังเทียบไม่ได้ติดฝุ่นเลย พี่ทุยมองว่าส่วนนึงที่ทำให้คนชอบอ่านหนังสือแบบ e-book คือการเข้าถึงอุปกรณ์ที่รองรับ เช่น E-Reader ของ Amazon หรือพวก iPad, Tablet นี่แหละ ประเทศอเมริกาและอังกฤษเป็นประเทศที่อุปกรณ์พวกนี้เข้าถึงง่าย e-book ก็เลยเป็นที่นิยม
แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันนะ อาจจะมีบางหน่วยงานคาดการณ์การเจริญเติบโตของตลาด e-book โดยใช้ตัวเลขความนิยมและการเข้าถึง Tablet ก็ได้ ถึงตอนนั้นใครจะไปรู้เนอะ (ฮ่า)
ประเด็นต่อมาที่น่าจะทำให้ e-book ฮิตในอเมริกากับอังกฤษก็เพราะว่า ภาษาของเค้าเป็นภาษาสากลที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกนั่นเอง เพราะฉะนั้นหนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษจึงมีจำนวนมากให้เลือกสรร ในขณะที่ภาษาอื่นๆ มีให้เลือกอ่านน้อยกว่ามาก ลองนึกภาพดูสิว่า ถ้าเราค้นหาหนังสือที่ต้องการ แล้วระบบขึ้นแต่คำว่า “ไม่พบหนังสือที่คุณต้องการ” จะเซ็งแค่ไหน
สรุปคือ E-Book ยังไม่ได้เข้ามาแย่งบัลลังก์หนังสือในรูปแบบรูปเล่มของเราได้ทั้งหมดหรอก ไม่ต้องกลัว เพราะมันยังไม่สามารถเป็นสินค้าทดแทนกันได้โดยสมบูรณ์ แต่ถึงยังไงธุรกิจร้านหนังสือก็เปลี่ยนไปจากพฤติกรรมของผู้บริโภคนั่นแหละ เราส่องกันดีกว่าว่าร้านหนังสือบ้านเราเค้าปรับตัวกันยังไงบ้าง
SE-ED Book Center
พูดถึงร้านหนังสือ เจ้าแรกที่เรานึกถึงก็ต้องเป็นร้านโลโก้ขาวแดงอย่าง SE-ED Book center ที่เปิดสาขาแรกมาตั้งแต่ปี 2533 โน่น เเละนับเป็นร้านหนังสือเจ้าใหญ่ที่สุดในธุรกิจนี้ เค้าจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ในชื่อว่า SE-ED
เมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา เค้ามีสาขามากมายถึง 462 สาขา แต่ ณ ปัจจุบันเหลือสาขาเพียงเเค่ 357 สาขาเท่านั้นจ๊ะ เพราะเค้าลดการเปิดหน้าร้านปีละหลายสิบสาขาเลย
รายได้และกำไรของ SE-ED
- ปี 2558 รายได้รวม 4,544 ล้านบาท กำไรสุทธิ 71 ล้านบาท
- ปี 2559 รายได้รวม 4,289 ล้านบาท กำไรสุทธิ 12.4 ล้านบาท
- ปี 2560 รายได้รวม 3,769 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ -25.7 ล้านบาท
- ปี 2561 รายได้รวม 3,383 ล้านบาท กำไรสุทธิ 14.6 ล้านบาท
- ไตรมาส 2/2562 รายได้รวม 1,677 ล้านบาท กำไรสุทธิ 21.31 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่ารายได้และกำไรลดลงทุกปี ซึ่งข้อสำคัญที่ทำให้รายได้ลดลงก็คือการทะยอยปิดสาขาเพื่อลดต้นทุนนั่นเอง
ร้านหนังสือนายอินทร์
หรือที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นโดยใช้ชื่อว่า “AMARIN”
รายได้และกำไรของ AMARIN
- ปี 2558 รายได้ 2,004 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 417 ล้านบาท
- ปี 2559 รายได้ 1,945 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 628 ล้านบาท
- ปี 2560 รายได้ 2,237 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 164 ล้านบาท
- ปี 2561 รายได้ 3,536 ล้านบาท กำไรสุทธิ 172.7 ล้านบาท
- ไตรมาส 2/2562 รายได้ 1,386.6 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 20ล้านบาท
ปีก่อนๆ อมรินทร์ขาดทุนอ่วมทีเดียว แต่ก็ฝ่าดงหนามเเละรอดชีวิตมาได้ในที่สุด เมื่อพลิกกลับมากำไร 172.7 ล้านบาทในปี 2561 ซึ่งกำไรในครั้งนี้มาจากส่วนของทีวีดิจิทัลที่ทำรายได้เพิ่มขึ้น 84% จากปีก่อนหน้า พอเรตติ้งของเค้าดีขึ้น ก็ทำให้สามารถขึ้นค่าโฆษณาได้ถึง 20-30% เลย
พอจะเห็นประโยชน์ของการกระจายความเสี่ยงลางๆ หรือยังจ๊ะ
ร้านหนังสือ B2S
B2S เป็นร้านหนังสือที่มีพื้นที่ต่อสาขาค่อนข้างกว้างและขายหลายอย่างที่นอกเหนือจากหนังสือ ทั้งเครื่องเขียน อุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน เป็นต้น จดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ในชื่อ “COL”
รายได้และกำไรของ B2S
- ปี 2558 รายได้ 3,991 ล้านบาท กำไรสุทธิ 223 ล้านบาท
- ปี 2559 รายได้ 4,509 ล้านบาท กำไรสุทธิ 255 ล้านบาท
- ปี 2560 รายได้ 4,635 ล้านบาท กำไรสุทธิ 354 ล้านบาท
- ปี 2561 รายได้ 4,550 ล้านบาท กำไรสุทธิ 388 ล้านบาท
ส่องรายได้และกำไรของร้านหนังสือทั้ง 3 แบรนด์มาพอหอมปากหอมคอแล้ว ตอนนี้มาเปิดศึกประชัน 3 ร้านกันเลยว่าแต่ละร้านมีโมเดลธุรกิจแตกต่างกันยังไงบ้าง
ร้านหนังสือทั้ง 3 แบรนด์มีความแตกต่างกันในเรื่องของรายละเอียด แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ร้านเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งพาห้างสรรพสินค้า เพราะเปิดในห้างแทบทั้งหมด ถ้าคนมาเดินห้างน้อยลงหรือห้างปิดตัวลงก็ย่อมส่งผลถึงรายได้ ในทางกลับกันถ้ามีคนมาเดินห้างมากขึ้น ก็ย่อมมีคนแวะเวียนเข้าไปอุดหนุนร้านเหล่านี้ เพราะฉะนั้นผู้ที่สนใจจะลงทุนในธุรกิจร้านหนังสือเหล่านี้ นอกจากจะปัจจัยเฉพาะตัวของเค้าแล้วก็อย่าลืมดูปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องกับเค้าด้วยล่ะ เช่น การเข้าถึงอุปกรณ์ที่รองรับ e-book หรือการที่มี e-book ภาษาไทยให้เลือกอ่านมากขึ้นตามที่พี่ทุยเล่าไปตอนแรกและแนวโน้มของห้างสรรพสินค้าด้วยนะ
ตลาดหุ้นเริ่มขึ้นแล้ว ใครที่ได้กำไรอย่าลืมเจียดไปช็อปหนังสือกันนะจ๊ะ นอกจากจะได้ความรู้และช่วยลดภาษีได้แล้ว ยังเป็นการให้กำลังใจธุรกิจเก่าแก่อย่างร้านหนังสือด้วยนะฮ่า ๆ ถึงจะพกพาได้ไม่สะดวกเหมือน e-book ไม่รวดเร็วทันสมัยเหมือนข่าวตามโซเชียลมีเดีย แต่เค้าก็มีสเน่ห์ของเค้าเองนะ หนังสือเป็นสินค้าแปลกเหมือนกัน เป็นสินค้าที่ซื้อแล้วยังไม่ต้องอ่านก็รู้สึกฉลาดขึ้น พอมองย้อนไปชั้นหนังสือตัวเอง หนังสือที่ได้มาจากงานหนังสือเยอะมากที่ยังไม่ได้หยิบมาอ่าน งั้นพี่ทุยขอตัวไปอ่านก่อนละกันฮ้ะ
Comment