วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถือเงินสดในมือมากแค่ไหน ?

ในแวดวงการลงทุน คงจะไม่มีใครไม่รู้จัก Berkshire Hathaway บริษัทที่เน้นทำธุรกิจผ่านการลงทุนในบริษัทอื่น (Conglomerate Holding Company) ซึ่งมีนักลงทุนระดับตำนาน (ที่ยังมีชีวิตอยู่) อย่าง “วอร์เรน บัฟเฟตต์”  (Warren Buffett) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และซีอีโอ

ข่าวใหญ่ล่าสุดเกี่ยวกับ Berkshire Hathaway ที่ถูกพูดถึงกันในวงกว้าง คือ ประเด็นการถือครองเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นของบริษัท ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นสถิติสูงสุดใหม่ จำนวน 1.22 แสนล้านเหรียญ ณ สิ้นเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา

ทำไม Berkshire Hathaway ซึ่งเป็นบริษัทที่เน้นการนำเงินไปลงทุนในบริษัทอื่น ถึงต้องถือเงินสดและรักษาสภาพคล่องไว้สูงถึงขนาดนี้ ? เพราะอย่างที่พวกเราทุกคนทราบกันอยู่แล้วว่า ผลตอบแทนจากการ “ถือเงินสด” ในระยะยาวนั้นแย่ขนาดไหน

สถิติที่ผ่านมาเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นของ Berkshire Hathaway เป็นเทรนด์ขาขึ้นมาโดยตลอดในช่วง 10 ปีย้อนหลัง

ปี 2553 จำนวน 3.82 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
ปี 2554 จำนวน 3.73 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
ปี 2555 จำนวน 4.69 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
ปี 2556 จำนวน 4.81 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
ปี 2557 จำนวน 6.32 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
ปี 2558 จำนวน 7.17 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
ปี 2559 จำนวน 8.63 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
ปี 2560 จำนวน 1.15 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ
ปี 2561 จำนวน 1.11 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ

ณ เดือน มิ.ย. 2562 จำนวน 1.22 แสนล้านเหรียญ

และ Warren Buffett  ก็ออกมาตอบผ่านทางจดหมายถึงผู้ถือหุ้นของบริษัท เกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า

“บริษัทได้มองหาโอกาสในการลงทุนขนาดใหญ่มาตลอด แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ราคาที่ต้องจ่ายนั้นแพงเกินไปสำหรับการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอันใกล้นี้ บริษัทหวังว่าจะสามารถนำสภาพคล่องส่วนเกินนี้ ไปลงทุนในธุรกิจที่บริษัทต้องการจะถือครองระยะยาวได้ตามที่ต้องการ”

“สภาพคล่องที่สูงขึ้น” บวกกับคำตอบของ Warren Buffett ทำให้นักลงทุนหรือนักวิเคราะห์บางส่วนเป็นกังวล ทั้งต่อมุมมองที่ว่าหุ้นแพงเกินไปแล้ว รวมถึงการสูญเสียโอกาสที่จะนำเงินเหล่านั้นไปลงทุนให้งอกเงย แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าประเด็นที่ว่าหุ้นตอนนี้แพงแล้ว ก็อาจจะไม่ใช่เหตุผลหลักเหตุผลเดียวสำหรับการสะสมเงินสดของ Berkshire Hathaway สักเท่าไหร่

มีสถิติอีกตัวนึงที่น่าสนใจ เพราะสะท้อนให้เห็นว่า Berkshire Hathaway ให้ความสำคัญกับการรักษาสภาพคล่องโดยเฉลี่ยไว้ประมาณ 12-15% ของสินทรัพย์รวม และเหตุที่สภาพคล่องเพิ่มนั้น ก็เพราะว่า สินทรัพย์รวมของ Berkshire Hathaway ปรับเพิ่มขึ้นทำให้ต้องเพิ่มเงินสดมากขึ้นเพื่อรักษาสัดส่วนที่ 12-15% ของสินทรัพย์ แทนที่จะทุ่มเงินเกือบทั้งหมดเพื่อเข้าไปลงทุน

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยบอกไว้ว่า “ย้อนกลับไปเมื่อปี 2550 หรือปี 2551 (ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤต Subprime) หากเราไม่ได้มีนโยบายในการรักษาสภาพคล่องเอาไว้ เราอาจจะไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ก็เป็นได้” และในขณะเดียวกัน Buffett มองว่า “ในอนาคตอีก 20-30 ปีข้างหน้า เรารู้ว่ามันจะมี 2 หรือ 3 ครั้ง ที่โอกาสในการลงทุนจะเปิดออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน (It will be raining Gold) ซึ่งเราก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่แน่นอนว่าเราจะมีเงินมากพอที่จะคว้าโอกาสไว้”

หลายคนอาจจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าการถือครองเงินสดในระยะยาวเป็นสิ่งที่ให้ผลตอบแทนไม่น่าพึงพอใจนัก ซึ่งแน่นอน Berkshire Hathaway เองก็ทราบดีอยู่แล้วในเรื่องนี้ แต่ถ้าเราไม่มีเงินสดติดมือไว้เลยเวลาที่เราเจอโอกาสลงทุนดีดีเข้ามา เราก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะคว้ามันไว้ได้ การมีเงินสดติดมือไว้ก็จะช่วยทำให้เราคว้าโอกาสเหล่านี้ไว้ได้  ที่ผ่านมา เราจะเห็นบริษัทพยายามที่จะคว้าโอกาสในการลงทุนดีดีได้อยู่เสมอ อย่างเช่น การเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ใน Occidental Petroleum เพื่อช่วยลงทุนในการเข้าซื้อ Anadarko Petroleum ซึ่ง Buffett มองว่า ราคาในการเข้าลงทุนส่วนใหญ่สูงเกินไป แต่ก็ยังมีการใช้เงินลงทุน 1.5 หมื่นล้านเหรียญฯ เพื่อเข้าซื้อหุ้น Apple

การมีสภาพคล่องก็เหมือนเรามีการเตรียมกระสุนให้พร้อมเสมอ เมื่อมีโอกาสเข้ามาก็สามารถยิงได้ทันที มาถึงตอนนี้สิ่งที่นักลงทุนกำลังจับตามองอยู่ น่าจะเป็นโอกาสในการลงทุนครั้งใหญ่ ครั้งใหม่ของ Berkshire Hathaway ว่าจะเกิดขึ้นที่หุ้นตัวไหน แล้วจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ?