งบไตรมาสออกแล้ว บริษัทมีกำไรเติบโต 100 % ไปซื้อหุ้นตัวนี้กันเลย !!
นักลงทุนหลายคนคงต้องเคยมีพฤติกรรมแบบนี้กันมาแล้ว โดยเฉพาะมือใหม่ที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นได้ไม่นานนัก ปกติการ “เลือกหุ้น” มีวิธีหลายแบบไม่ว่าจะเป็นทั้งดูจากปัจจัยด้านพื้นฐาน ดูจากปัจจัยด้านเทคนิคอล หรือดูจากข้อมูลข่าวสารในช่วงนั้น ๆ
พี่ทุยเชื่อว่า ข้อมูลหรือตัวเลขจากงบการเงิน ที่นักลงทุนแทบทุกคนจะต้องดูเลย คือ กำไรสุทธิ (Net Profit) ซึ่งเป็นตัวเลขที่สำคัญที่สุดของงบการเงินเลยก็ว่าได้ โดยมีวิธีคิดง่าย ๆ จากรายได้รวม หักลบด้วยต้นทุนรวมทั้งหมด แล้วมาหักลบด้วยค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และรวมถึงการจ่ายภาษีและภาระดอกเบี้ยจ่ายไปแล้ว จะเหลือเป็นตัวเลขกำไรสุทธิของบริษัท
โดยทั่วไปราคาหุ้นที่ดีมักจะสอดคล้องไปกับผลประกอบการของบริษัท หากบริษัทมีผลประกอบการที่ดีขึ้น กำไรเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้น ในทางตรงข้าม เมื่อบริษัทมีผลประกอบการย่ำแย่ ขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงตามลำดับ
แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากถือหุ้นที่กำลังขาดทุนไปเรื่อยๆ แสดงถึงโอกาสที่จะไม่ได้รับเงินปันผลจากการถือหุ้นด้วย บางตัวขาดทุนหนักจนต้องถูกเพิกถอนออกไปจากตลาดหลักทรัพย์เลยก็มีให้เห็นกันมานักต่อนัก !
พี่ทุยคิดว่าบริษัทขาดทุน เราไม่มีความจำเป็นต้องไปพูดถึงกันเยอะ เพราะรู้ ๆ กันอยู่แล้ว แต่บริษัทที่มีกำไรสูงๆที่ดึงดูดความสนใจของนักลงทุน การเลือกหุ้นบริษัทที่มีกำไรสูงๆดีจริงมั้ย เรามาค้นหาคำตอบกัน ซึ่งพี่ทุยอยากจะบอกว่าวิธีการเลือกหุ้นโดยดูแค่กำไรสุทธิสูงๆอย่างเดียวนั้น มันไม่พอ !!
นักลงทุนที่ดี ต้องรู้ว่า เป็นกำไรปกติในระยะยาวหรือไม่ ?
โดยทั่วไปเราจะได้รู้ข้อมูลของกำไรกันในทุกๆไตรมาสอยู่แล้ว ทุกบริษัทจะต้องรายงานผลประกอบการเผยแพร่ออกมาสู่สาธารณะให้ทราบโดยทั่วกัน สิ่งที่นักลงทุนควรต้องรู้ คือ กำไรที่รายงานออกมานั้น เป็นกำไรปกติที่เกิดจากธรรมชาติของธุรกิจจริง ๆ หรือเปล่า และกำไรนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องต่อไปได้อีกหรือไม่ ?
นักลงทุนที่ดี ต้องรู้ว่า กำไรที่เกิดขึ้นเป็นรายการพิเศษหรือไม่ ?
มักจะเรียกกันสั้นๆว่า กำไรพิเศษ เป็นรายการพิเศษที่เกิดขึ้นในรอบไตรมาสหรือปีนั้น เช่น บริษัทได้ทำการขายสินทรัพย์บางอย่างออกไป อาจเป็นได้ทั้ง ที่ดิน อาคาร หน่วยลงทุนต่างๆ หรือควบรวมกับบริษัทอื่นๆ เป็นต้น ทำให้บริษัทเกิดกำไรเติบโตอย่างก้าวกระโดดขึ้นมา ตรงจุดนี้เอง นักลงทุนที่ดีควรจะหักกำไรพิเศษเหล่านี้ออกไปก่อนที่จะนำมาพิจารณาเลือกหุ้นจากการดูกำไรสุทธิ
นักลงทุนที่ดี ต้องรู้ว่า กำไรของบริษัทอยู่ในธุรกิจที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์หรือไม่ ?
ธุรกิจที่อ้างอิงอยู่กับพวกสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน น้ำตาล ยางพารา ทองคำ เป็นต้น บริษัทเหล่านี้มักจะมีผลประกอบการที่เป็นไปตามราคาสินค้าที่อิงกับราคาตลาดโลก ซึ่งราคาเหล่านี้มักจะมีรอบของมัน รอบขึ้น-ลงของราคาสินค้าเหล่านี้ บางตัวใช้ระยะเวลานานหลายปี ดังนั้นการเลือกหุ้นหรือบริษัทในช่วงที่ผลประกอบการดีๆ มีกำไรสูงๆ เพียงอย่างเดียว อาจจะไม่เหมาะสม เนื่องด้วยบริษัทที่อยู่ในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์นี้อาจอยู่ในรอบช่วงราคาตลาดโลกกำลังเป็นช่วงขาขึ้นอยู่ในขณะนั้น จึงทำให้บริษัทดูมีผลกำไรสูงตามไปด้วย แต่พอถึงรอบขาลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์แล้วนั้น กำไรอาจจะลดลงอย่างไม่ทันตั้งตัวได้ จึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องเพิ่มความระมัดระวังให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน
วิธีการดูกำไรที่ดีสำหรับนักลงทุนมือใหม่ ควรทำอย่างไร ?
การดูกำไรที่ดีควรดูจากที่กำไรปกติของบริษัท เป็นกำไรที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วในเวลาอันยาวนาน ยิ่งยาวก็จะยิ่งดี ยิ่งผ่านช่วงวิกฤตมาแล้วก็จะยิ่งดีขึ้นเข้าไปอีก เอาเป็นว่า พี่ทุยขอให้ดูกำไรอย่างน้อย 5-10 ปีล่าสุด วิธีดูที่ง่ายๆ คือ กำไรสุทธิเติบโตหรือไม่ แล้วเติบโตขึ้นปีละประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วง่ายที่สุดใช้วิธีนำมาหารเพื่อหาค่าเฉลี่ยเลยก็ได้ แล้วนำกำไรงวดล่าสุดไปเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยนั้น ว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง อย่างไรบ้าง อย่าลืมหักลบกำไรพิเศษออกไปก่อน ตามที่ได้บอกไปแล้วข้างบนด้วยนะ
วิธีการดูกำไรยังสามารถดูจาก อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) หรือมาจากกำไรต่อยอดขาย เช่น อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 20% แสดงว่ายอดขายของบริษัท 100 บาท บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 20 บาท ซึ่งจะมากน้อยต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจด้วยตัวเลขนี้บ่งบอกถึงความสามารถของการทำกำไรของบริษัท และสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของบริษัทด้วย หากสามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิไว้ได้ดีอย่างต่อเนื่อง แสดงว่า บริษัทนี้อาจมีความสามารถบางอย่างที่เหนือกว่าคู่แข่ง เช่น บริหารจัดการต้นทุนได้ดีกว่า หรือมีกำแพงใบสิทธิบัตรบางอย่างที่คู่แข่งขันเข้ามาแข่งด้วยยาก หรือเราสามารถนำไปเปรียบเทียบกับอัตรากำไรค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมก็ได้
ทั้งหมดนี้เป็นแนวคิดที่ไว้ใช้เตือนใจนักลงทุนมือใหม่ ที่ชอบ “เลือกหุ้น” โดยดูจากผลกำไรของบริษัทที่สูง ๆ ไม่ถูกต้องเสมอไป ต้องดูปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย หรือหากว่าเมื่อบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เติบโตอย่างเห็นได้ชัดจริง ๆ พี่ทุยไม่ได้บอกว่าต้องเป็นกำไรที่ผิดปกติก็ได้ เนื่องจากว่าบริษัทอาจมีการปรับแผนธุรกิจใหม่ หรือมีการรับรู้รายได้เข้ามาจริงๆ ทำให้บริษัทมีกำไรจากโครงการลงทุนที่ผ่านมาก็เป็นได้ ซึ่งอาจกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของบริษัทที่จะสร้างฐานรายได้และเพิ่มกำไรใหม่ ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดไปได้ในระยะยาว
สิ่งสำคัญ คือ นักลงทุนต้องไปทำการบ้านกันต่อว่า บริษัทมีนโยบาย แผนธุรกิจและโครงการอะไรอยู่บ้าง ที่กำลังจะมาช่วยทำให้บริษัทเติบโตไปได้ในระยะยาว แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้นได้ เป็นหน้าที่ของนักลงทุนต้องเข้าใจวิธีการดูกำไรที่ถูกต้องที่เหมาะสมด้วย เพราะการดูแค่เพียงตัวเลขผลกำไรสูง ๆ อาจไม่ได้ดีเสมอไป