เราได้ยินบ่อยแล้วว่า ถ้าจะลงทุนในยุคนี้ ยังไงก็มองข้ามจีนไม่ได้ เพราะเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก และอาจจะแซงหน้าขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลกอย่างสหรัฐฯ ได้ใน 10 ปีข้างหน้า และผู้บริโภคจีนก็ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีอำนาจการซื้อสูง นักลงทุนเลยควรมีหุ้นจีนไว้ในพอร์ต ซึ่งแน่นอนว่าถ้าใครต้องการลงทุนหุ้นจีน พี่ทุยมักจะแนะนำให้ลงทุนผ่าน “กองทุนหุ้นจีน” เป็นหลัก เพราะกองทุนรวมนั้น ง่าย สะดวก เหมาะกับสำหรับการถือยาว และยังกระจายการลงทุนได้ดีอีกด้วย
สำหรับใครที่อยากลงทุนกองทุนรวม คำถามแรกที่ต้องต้องตอบให้ได้ก่อนเลยก็คือจะเลือก “กองทุนหุ้นจีน” แบบ Active หรือ Passive ดี ก่อนอื่นพี่ทุยขออธิบายไว้ก่อนเผื่อใครยังงงกับกองทุนแบบแต่ละแบบคืออะไร
กองทุนแบบ Active ก็คือ กองทุนที่มีการบริหารงานเชิงรุก ผู้จัดการกองทุนจะทำหน้าที่คัดสรรหุ้นรายตัว คอยเพิ่มหรือลดน้ำหนัก ปรับสัดส่วนหุ้นในพอร์ต ตามกลยุทธ์การลงทุนที่วางไว้ เพื่อให้สอดคล้องกับปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
โดยหลักการแล้วกองทุนแบบนี้มีเป้าหมายว่าจะทำผลงานให้ดีกว่าดัชนี แต่เวลาบริหารจริง ๆ แล้วก็เป็นไปได้หมดว่า จะทำผลงานได้ดีกว่า เท่ากับ หรือแย่กว่าดัชนี ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้จัดการกองทุนและทีมงานล้วน ๆ
ส่วนกองทุนแบบ Passive เป็นกองทุนที่ลงทุนตามเกณฑ์มาตรฐานหรือดัชนีที่ตั้งไว้ ในดัชนีมีหุ้นอะไรอยู่บ้าง กองทุนก็ลงทุนตามนั้น ด้วยเป้าหมายคือการทำผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีที่สุด
ลงทุน “กองทุนหุ้นจีน” แบบ Active หรือ Passive ดีกว่ากัน ?
เมื่อช่วงต้นปี 2021 มีรายงานที่นำเสนอโดย the International Advisory Board for Fund Selection (IAB) หรือคณะกรรมการที่ปรึกษานานาชาติสำหรับการคัดเลือกกองทุน จัดตั้งโดย Banco Inversis แพลตฟอร์มกองทุนในสเปน ในคณะกรรมการประกอบด้วย ผู้นำการคัดเลือกกองทุน และนักวิชาการจากสถาบันและมหาวิทยาลัยระดับโลก
ผลสำรวจยังออกมาอีกว่า ผู้จัดการกองทุนที่เป็นคนจีนทำผลงานการบริหารหุ้นจีนได้ดีกว่าผู้จัดการกองทุนจากต่างประเทศที่มาลงทุนในจีน โดย 6 ใน 10 ของบริษัทที่ทำผลงานได้ดีเป็นบริษัทจีน
ข้อมูลนี้สะท้อนว่า โอกาสสำคัญในจีนที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า มาจากการลงทุนแบบ Active มากกว่าการลงทุนแบบ Passive และการเลือกกองทุนที่มีผู้จัดการกองทุนเป็นคนจีนบริหารก็จะรู้จักประเทศตัวเองดีกว่า มีโอกาสทำผลงานได้ดีกว่าผู้จัดการกองทุนที่เป็นชาวต่างชาติ
ทำไม “กองทุนหุ้นจีน” แบบ Active ทำผลงานได้ดีกว่า ?
พี่ทุยลองวิเคราะห์เพิ่มเติมว่า เหตุผลอะไรที่ทำให้กองทุน Active มีโอกาสทำผลงานได้ดีกว่ากองทุนแบบ Passive ก็พบประเด็นที่น่าสนใจคือ จีนเป็นตลาดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ไม่เหมือนกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป ที่มักจะเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มเศรษฐกิจ สามารถคาดเดาทิศทางได้ง่ายกว่า
เพราะในตลาดหุ้นจีน การดำเนินนโยบายของรัฐบาลมีอิทธิพลมาก เวลาที่รัฐบาลจีนประกาศนโยบายอะไรออกมากำกับธุรกิจแต่ละที ก็จะส่งผลกระทบแบบแรง ๆ กับธุรกิจที่เป็นเป้าหมายของการกำกับดูแล
ล่าสุดพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลออกมาประกาศแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี (ปี 2021-2025) จะปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับสาธารณสุข ที่เกี่ยวกับโรคติดเชื้อ และกฎหมายที่เกี่ยวกับการกักตัว การข้ามแดน
กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับอาหารและยา ทรัพยากรธรรมชาติ ความปลอดภัยในอุตสาหกรรมการผลิต ธรรมาภิบาลในเมือง การขนส่ง ก็จะบังคับใช้อย่างเข้มงวด จะพัฒนากฎหมายในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล การเงินบนอินเทอร์เน็ต ปัญญาประดิษฐ์ Big Data Cloud Computing และปรับปรุงการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายให้ดีขึ้นด้านการศึกษา เชื้อชาติ ศาสนา และความปลอดภัยทางชีวภาพ
สิ่งที่เราเห็นรัฐบาลจีนทำไปแล้ว คือ การควบคุมบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ไม่ให้ทำธุรกิจผูกขาด ออกกฎเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล เข้มงวดปราบปรามบริษัทที่ทำธุรกิจสอนพิเศษ รวมถึงเพิ่มการควบคุมทางเศรษฐกิจและสังคม แถมรัฐบาลยังส่งสัญญาณแล้วว่าจะยกระดับการตรวจสอบบริษัทประกันออนไลน์ พยายามทำสภาพแวดล้อมตลาดให้โปร่งใสและเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภค
แค่เห็นสิ่งที่รัฐบาลจะทำใน 5 ปีข้างหน้า นักลงทุนก็คงสยองแล้ว จะส่งผลกระทบกับบริษัทจีนแน่นอน ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงตลาดหุ้นจีนด้วย ดังนั้นถ้าลงทุนกับกองทุน Passive เวลาตลาดหุ้นจีนได้รับผลจากความกังวลในนโยบายเหล่านี้ ผลตอบแทนของกองทุน Passive ย่อมปรับขึ้นลง ล้อไปกับผลกระทบที่เกิดขึ้นนี้ด้วย
แต่ถ้าเป็นกองทุนแบบ Active แล้วมีผู้จัดการกองทุนเก่ง คัดเลือกหุ้นได้ดี ไปหยิบเอาหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบาย หรือเป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายที่รัฐบาลส่งเสริม ผลตอบแทนกองทุนก็อาจจะออกมาดีกว่าดัชนีได้
กองทุนหุ้นจีนแบบ Passive ไม่น่าสนใจใช่มั้ย ?
เหรียญยังมี 2 ด้าน การลงทุนแบบ Active ก็ไม่ได้มีแต่ด้านดีอย่างเดียวเหมือนกัน อย่างที่พี่ทุยบอกไว้ว่า การลงทุนแบบ Active คาดหวังว่าจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนี เป็นการคัดเลือกหุ้นรายตัว แต่ก็ไม่ได้แปลว่า ผู้จัดการกองทุนแบบ Active ทุกกอง จะคัดเลือกหุ้นได้ดีไปซะหมด ถ้าเลือกผิดตัว ไปเจอตัวที่รัฐบาลออกนโยบายมาจัดการพอดี ผลงานของกองทุนในระยะสั้น อาจจะแย่กว่าดัชนีก็ได้
ดังนั้น จะเลือกกองทุนหุ้นจีนแบบ Active หรือ Passive ก็อยู่ที่ความคาดหวังของตัวนักลงทุนเองว่า ถ้าเราหวังอยากลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนดีกว่าดัชนี โดยที่ทำใจถ้ากองทุนอาจทำผลงานได้แย่กว่าดัชนี ก็เลือกกองทุนหุ้นจีนแบบ Active ได้ แต่ถ้าเราคาดหวังแค่ลงทุนให้ได้ผลตอบแทนล้อไปกับดัชนี กองทุน Passive จะขึ้นหรือลงตามดัชนี ก็ไม่เป็นไร กองทุน Passive ก็ยังตอบโจทย์นี้ได้อยู่
และสุดท้ายก่อนจะตัดสินใจเลือกกองทุนหุ้นจีนแบบ Active หรือ Passive ก็ตาม สิ่งสำคัญที่พี่ทุยอยากบอกคือ ถ้าคิดจะลงทุนในตลาดหุ้นจีน ต้องเน้น “ระยะยาว” เท่านั้นเพราะการลงทุนระยะสั้น ๆ อาจจะเจอความผันผวนได้มาก จากนโยบายรายทางที่มีออกมา
แต่นโยบายทุกอย่างของจีน มีจุดประสงค์ชัดเจนเพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเงิน เพื่อประโยชน์ของคนในประเทศ ซึ่งจะดีต่ออนาคตระยะยาว แปลว่าถ้าเราสามารถลงทุนหุ้นจีนในระยะยาว ก็จะผ่านความผันผวนระหว่างทาง และมีโอกาสเจอผลตอบแทนดี ๆ รออยู่ปลายทางได้
เปิดรายชื่อกองทุนหุ้นจีนในไทย กองไหน Active กองไหน Passive
คราวนี้ มาดูตัวอย่างกันดีกว่าว่า กองทุนหุ้นจีนในไทย กองไหนเป็นกองแบบ Active และกองไหนเป็นแบบ Passive โดยพิจารณาจากรายชื่อกองทุนในเว็บไซต์ Morningstar
โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกองทุน Active หรือว่า Passive จะทำผลการดำเนินงานได้ดี ไม่ได้ดูกันแค่สั้น ๆ 1 เดือน หรือ 1 ปี แต่ต้องดูยาว ๆ 3 – 5 ปีขึ้นไป เพราะช่วงสั้น ๆ กองทุนไหนก็ติดลบเยอะได้ โดยเฉพาะในช่วงสั้น ๆ จีนอาจเจอปัจจัยท้าทายพอดี เช่น ความเสี่ยงจากนโยบายภาครัฐ เป็นต้น และการซื้อขายกองทุนก็ไม่ควรซื้อ ๆ ขาย ๆ เหมือนการเก็งกำไรหุ้น เพราะแทนที่จะได้ผลตอบแทนที่ดี อาจจะกลายเป็นโดนเสียค่าธรรมเนียมการซื้อและการขายไปหลายบาท
พี่ทุยเปิดรายชื่อกองทุนดูพบว่า มีรายชื่อกองทุนหุ้นจีนอยู่ทั้งหมด 89 กองทุน ซึ่งมีทั้งที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ (A-Share) ตลาดหุ้นฮ่องกง รวมถึงหุ้นจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ โดยในจำนวนนี้นับรวมหมดทั้งที่เป็น กองทุนรวมทั่วไป กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมเพื่อการออม
สุดท้ายนี้ พี่ทุยก็ขอย้ำเตือนอีกสักนิดว่า การลงทุนมีความเสี่ยง เวลาเราจะเลือกลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ใช่ตัวแปรเดียวในการตัดสินใจ แต่ต้องดูด้วยว่า นโยบายลงทุนของกองทุนตรงกับที่ใจเราต้องการรึเปล่า และเราสามารถยอมรับความเสี่ยงกับความผันผวนระหว่างทางที่จะเจอจากการลงทุน