ช่วงที่ผ่านมาบริษัทจัดการกองทุนในไทยหลายแห่ง ต่างทยอยกันออกกองทุนยั่งยืนเกาะเทรนด์โลกที่คนหันมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล แต่ก็ต้องยอมรับว่า ปีนี้กองทุนยั่งยืนหลาย ๆ กอง ราคาปรับตัวลงมาเยอะทีเดียว จนนักลงทุนที่เคยใส่เงินเข้าไป เริ่ม “เอ๊ะ” ขึ้นมาว่า ฉันจะไปต่อกับกองทุน “หุ้นยั่งยืน (ESG)” หรือพอแค่นี้ดี
วันนี้พี่ทุยก็เลยอยากจะมาแชร์มุมมองว่า อะไรที่ทำให้อาการของ “หุ้นยั่งยืน” เป็นแบบนี้ และดูกันต่อว่า ตกลงกองทุนยั่งยืนยังเป็นกลุ่มที่น่าลงทุนอยู่รึเปล่า
สรุปข้อมูลการลงทุน “หุ้นยั่งยืน (ESG)” ในโลกและในไทย
การลงทุนยั่งยืนทั่วโลก
– คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าการลงทุนยั่งยืน 50 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2025 คิดเป็น 1 ใน 3 ของเงินลงทุนภายใต้การบริหารจัดการทั้งหมดในโลก
– มูลค่าเงินลงทุนไหลเข้ากองทุนยั่งยืนทั่วโลก ไตรมาสแรกปี 2022 อยู่ที่ 75,000 ล้านดอลลาร์ ลดลงหลังจากก่อนหน้านี้ จากความเสี่ยงที่โลกเผชิญอยู่ ความกังวลเงินเฟ้อ และต้นทุนกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น
– มาตรฐานเรื่องสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล (ESG) จะมีความสำคัญมากขึ้น ในการทำให้เงินลงทุนที่ยั่งยืนเพิ่มขึ้นในอนาคต
การลงทุนกองทุนยั่งยืนในไทย ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2022
- มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) 54,000 ล้านบาท -24.4% จากสิ้นปี 2021
- เงินไหลออกสุทธิเกือบ 900 ล้านบาท
- ส่วนใหญ่เป็นกองทุนยั่งยืนที่ลงทุนในตราสารทุนทั่วโลก
- กองทุนยั่งยืนที่ลงทุนหุ้นไทย มีสัดส่วนเพียง 4% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนยั่งยืน
โดยรวมแล้วการลงทุนยั่งยืนช่วงครึ่งปีแรกมีผลตอบแทนอยู่ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก ตามข้อมูลจาก Morningstar Global Markets Sustainability Index ซึ่งสร้างขึ้นมาเป็นตัวแทนของการลงทุนยั่งยืน พบว่า การลงทุนยั่งยืนให้ผลตอบแทนสะสมตั้งแต่ต้นปีมาจนถึง 30 มิ.ย. 20222 -21.1% ใกล้เคียงกับ Morningstar Global Markets Large-Mid Index ซึ่งเป็นตัวแทนหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่ทั่วโลก ที่ -20.1%
เหตุผลที่ทำให้ดัชนีหุ้นยั่งยืนให้ผลตอบแทนน้อยกว่าดัชนีหุ้นโลกเล็กน้อย ก็เพราะหุ้นยั่งยืนมีหุ้นกลุ่มเติบโตอยู่จำนวนมากกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นโลกโดยรวม และก็มีหุ้นคุณค่าน้อยดัชนีหุ้นโลก
พี่ทุย ขออธิบายเพิ่มเติมว่า หุ้นเติบโตจะเป็นหุ้นที่ราคามีโอกาสผันผวนได้มากกว่าหุ้นคุณค่า เพราะว่าธุรกิจอยู่ในช่วงเติบโต ส่วนหุ้นคุณค่ามักจะเป็นธุรกิจที่มีเสถียรภาพ ไม่ค่อยจะขึ้นลงมากนักตามสภาวะเศรษฐกิจหรือสภาวะแวดล้อมอื่นที่เข้ามากระทบ ดังนั้นก็จะมั่นคงกว่าแต่การเติบโตก็อาจน้อยกว่า
ซึ่งช่วงที่ผ่านมานักลงทุนมีการขายหุ้นเติบโตออกมา เนื่องจากความน่าสนใจของหุ้นกลุ่มนี้จะน้อยลง ช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เพราะนักลงทุนจะยอมรับความเสี่ยงได้น้อยลง เมื่อประเมินแล้วว่า ลงทุนในหุ้นเติบโตแล้วจะได้รับส่วนต่างจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากน้อยลง
แต่ถ้าไปดูผลตอบแทนย้อนหลังระยะยาวกว่านั้น คือ รอบ 5 ปี ตั้งแต่อดีตจนถึงสิ้นปี 2021 ก็จะพบว่า ดัชนีหุ้นยั่งยืนให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนแบบกวาดหุ้นทั้งดัชนี ซึ่งก็แสดงว่า จริง ๆ แล้วการลงทุนที่ยั่งยืน ไม่ได้มีดีแค่การช่วยลดความเสี่ยงจากประเด็นสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาลเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ใกล้เคียงหรือดีกว่าการลงทุนทั่วไปได้ด้วย
มุมมองนักลงทุนสถาบันที่มีต่อการลงทุน “หุ้นยั่งยืน (ESG)”
พี่ทุยไปดูข้อมูลจากเว็บไซต์ globallandscapesforum.org มา พบว่า มีการนำเสนอมุมมองของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการลงทุนยั่งยืนไว้อย่างน่าสนใจ โดยชี้ว่า โลกจะมีความต้องการเงินลงทุน 5-7 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อทำให้ได้ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ภายในปี 2030 โดยเป็นความต้องการลงทุนทั้งจากภาคเอกชนและภาครัฐ
ขณะที่นับวันนักลงทุนจะเห็นความสำคัญของการลงทุนที่ยั่งยืนมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางปัญหาที่เจอ ไม่ว่าจะเป็นราคาอาหาร สินค้าโภคภัณฑ์ และพลังงานที่เพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และเศรษฐกิจที่เติบโตน้อยลง โดยเฉพาะปัญหารัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาพลังงานเพิ่มขึ้นรวดเร็ว ถือเป็นตัวเร่งการลงทุนพลังงานสีเขียวที่สำคัญ ทำให้เห็นชัดว่าต้องลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
พี่ทุยสรุปมุมมองของนักลงทุนสถาบันต่างชาติ ที่อัปเดตล่าสุดเกี่ยวกับการลงทุนยั่งยืน โดยรวมแล้วมองกันว่า ถึงตอนนี้การลงทุนยั่งยืนจะเผชิญกับเรื่องราคาผันผวนเช่นเดียวกับตลาดหุ้นโดยรวม แต่ถ้ามองยาว ๆ แบบข้ามช็อต นี่แหละคือการลงทุนที่ตอบโจทย์ระยะยาว
แล้วสามารถกลับไปลงทุนในกองทุนยั่งยืนได้รึยัง ?
เมื่อภาพระยะยาวชัดเจนว่า โลกเดินหน้าสู่ประเด็นความยั่งยืน การลงทุนยั่งยืนก็เป็นแนวโน้มที่เติบโตต่อไปแน่นอน แต่ระยะสั้นความผันผวนเกิดขึ้นมาก
พี่ทุยแนะนำว่า นักลงทุนก็ควรทำตามหลักการลงทุนในเรื่องการกระจายความเสี่ยง ไม่ได้จัดสรรเงินลงทุนทั้งหมดไปโฟกัสที่กลุ่มการลงทุนยั่งยืนอย่างเดียว แต่ให้มองเป็นธีมหนึ่งที่ควรหยิบมาไว้ในพอร์ตลงทุน โดยที่อาจจะทยอยลงทุนเข้าไปเรื่อย ๆ ด้วยวิธี DCA หรือการลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่ากันทุกเดือนก็ได้
หรือจะจับจังหวะจากช่วงที่คิดว่า ตลาดลงมาผิดปกติ พี่ทุยก็มองว่าไม่เสียหายอะไร แต่ก็ต้องทำความเข้าใจว่า ราคากองทุนอาจจะไม่ได้เคลื่อนไหวสอดคล้องกับตลาดหุ้นในแต่ละวัน และราคากองทุนที่เราเห็นก็ไม่ใช่ราคาที่เราจะซื้อ เพราะราคาที่จะซื้อคือราคาที่ยังไม่ประกาศออกมา
แต่ที่แน่ ๆ คือ ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรศึกษาความเสี่ยงต่าง ๆ ให้เข้าใจก่อน
อ่านเพิ่ม