หากพูดถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คิดว่าใครก็คงรู้จัก เครื่องดื่มชนิดนี้เกี่ยวพันกับวิถีชีวิตมนุษย์ในหลายมิติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา สังคมและวัฒนธรรม ที่สำคัญ “แอลกอฮอล์” กับมนุษย์เรา มีเส้นทางยาวนานร่วมกันมาตั้งแต่ 10,000 ปีที่แล้ว
ครั้งนี้พี่ทุยจะพาไปเจาะถึงแง่มุมต่าง ๆ ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ว่าเกิดจากอะไร มนุษย์เริ่มดื่มมันตอนไหน และอุตสาหกรรมของสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ยังไง ถ้าอยากรู้แล้ว เรามาเดินทางย้อนกลับไปในอดีตพร้อมๆ กับพี่ทุยกันได้เลย!
มนุษย์เริ่มดื่ม “แอลกอฮอล์” ตอนไหน?
พี่ทุยสามารถพาย้อนไปไกลที่สุด เมื่อประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว มนุษย์เริ่มค้นพบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เกิดขึ้นเองตามป่าดงพงไพร โดยมาจากผลไม้ที่เลยความสุกไปแล้ว และยีสต์ในป่าพากันกัดกินน้ำตาลในผลไม้จนเกิดแอลกอฮอล์ขึ้นมา ซึ่งเป็นการหมักตามธรรมชาติ
โดยมนุษย์ในช่วงนั้นก็ยังเร่ร่อนล่าสัตว์เก็บของป่ากินกันเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว เลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเก็บผลไม้มีแอลกอฮอล์ติดไม้ติดมือมาด้วย ที่ถึงแม้จะดูเหมือนเน่า แต่ก็ต้องเก็บไว้เพื่อตุนเสบียงให้มากที่สุด แล้วก็ค้นพบว่าน้ำจากผลไม้เน่า ๆ นี้ดันดื่มกินได้! แถมยังมีรสชาติที่เข้าท่าและทำให้ผ่อนคลายเคลิบเคลิ้มต่างจากผลไม้ปกติ
ด้วยทักษะการเรียนรู้ มนุษย์ก็เริ่มเข้าใจเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น และเริ่มติดใจในรสชาติที่แปลกใหม่ จากการที่รอให้ธรรมชาติหมักให้ดื่ม กลายเป็นเอามาหมักด้วยตัวเอง ซึ่งก็มีการทำเครื่องปั้นดินเผาเพื่อหมักผลไม้โดยเฉพาะ และมีการลองส่วนผสมหลากหลายขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งเชอร์รี่ แอปเปิ้ล องุ่น และธัญพืชจนเกิดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากหลายรูปแบบตามอารยธรรมโบราณในแต่ละที่
ธุรกิจ “แอลกอฮอล์” ในอารยธรรมโบราณ
เราได้เห็นกันไปในยุคก่อนหน้าแล้วว่า มนุษย์เริ่มสร้างสรรค์เอาส่วนผสมต่าง ๆ มาลองหมัก และแต่ละส่วนผสมก็เกิดเครื่องดื่มที่แตกต่างกัน
โดยก่อนที่เราจะเดินทางไปในช่วงเวลาต่อไป พี่ทุยอยากให้ทุกคนเข้าใจก่อนว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันแบ่งใหญ่ ๆ ได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. เหล้า (Spirits) เกิดจากการหมักและกลั่น ทำให้มีดีกรี (%แอลกอฮอล์) สูงที่สุด คือไม่น้อยกว่า 20% และส่วนผสมที่ต่างกันก็จะเกิดเหล้าที่ต่างกัน เช่น หากใช้มันฝรั่งก็จะเป็นวอดก้า หากใช้ธัญพืชก็จะเป็นวิสกี้ หากใช้องุ่นก็จะเป็นบรั่นดี หากใช้ข้าวก็จะเป็นสาเก
2. ไวน์ (Wine) มีดีกรีรองจากเหล้าคือประมาณ 9-16% หมักจากผลไม้หรือข้าวและจะเรียกชื่อตามผลไม้ที่หมัก เช่น ไวน์แอปเปิ้ล ไวน์เชอร์รี่ แต่โดยส่วนใหญ่ไวน์ที่มีมากและนิยมที่สุดคือไวน์องุ่น
3. เบียร์ (Beer) มีดีกรีต่ำที่สุดคือประมาณ 4-8% เกิดจากการเอามอลต์ในข้าวบาเลย์หรือข้าวสาลีมาต้มและหมัก เกิดเป็นเบียร์ 2 แบบใหญ่ๆ คือ เบียร์เอล (Ale) และเบียร์ลาเกอร์ (Lager)
จริง ๆ แล้วไม่มีความชัดเจนว่าเหล้า ไวน์ หรือเบียร์อันไหนที่เกิดก่อนกันหรือใครเป็นคนคิดค้นคนแรก แต่พี่ทุยขอพาทุกคนเดินทางไปในอารยธรรมที่พัฒนาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ละประเภทและส่งต่อเครื่องดื่มนั้นสู่ยุคต่อไป
โดยเราจะไปเริ่มที่ดินแดนตะวันออกอย่างจีนเป็นที่แรก พร้อมเรื่องราวของเครื่องดื่มที่ชื่อว่าเหล้า
จีน : พื้นที่กลั่นเหล้าแห่งแรกของโลก
พี่ทุยขอเกริ่นก่อนว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เก่าแก่ที่สุดเท่าที่ค้นพบในจีนคือไวน์ที่ทำจากน้ำผึ้งและข้าวหมักเมื่อประมาณปี 7,000 BC โดยพบในจีนตอนเหนือ
มาในปี 2000 BC สมัยราชวงศ์เซี่ยก็พบว่ามีการหมักเบียร์ขึ้นมา
แต่ทั้งไวน์และเบียร์ก็ไม่ได้ฮิตถึงขนาดเป็นธุรกิจจริงจัง แถมในช่วงนี้ก็ยังเป็นช่วงก่อนประวัติศาสตร์ ไม่ได้มีตัวอักษรที่จะเอาไว้จดสูตรไวน์และเบียร์ให้เป็นมาตรฐานส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
คราวนี้ช่วงปี 200 AD ในราชวงศ์ฮั่นก็เริ่มมีความเชื่อว่าแอลกอฮอล์เป็นยารักษาโรคสารพัดชนิดแถมยัง ชะลอความแก่และเป็นยาแก้พิษได้ด้วย แต่ต้องเป็นแอลกอฮอล์ที่ดีกรีสูง ๆ เท่านั้นถึงจะใช้ได้!
ทีนี้เลยเกิดการคิดค้นเครื่องดื่มที่มีดีกรีสูง ๆ จนหมักและกลั่นออกมาเป็นเหล้า เพื่อตอบโจทย์กับความเชื่อที่ว่านี้เอง เหล้าเลยกลายเป็นเครื่องดื่มสามัญประจำบ้านของคนจีน สวมบทบาทเป็นทั้งยาจีนโบราณ เครื่องดื่มสังสรรค์ และน้ำในพิธีกรรมต่าง ๆ
เช่น ก่อนออกรบก็ต้องกระดกเหล้า ชนะกลับมาก็ต้องกระดกเหล้า สาบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องกระดกเหล้า ป่วยก็ต้องกระดกเหล้า ซึ่งหากใครเคยดูหนังพีเรียดจีน คงจะเห็นคนจีนกระดกเหล้าหมดจอกเหมือนเป็นน้ำเปล่าเลยทีเดียว
เพราะแบบนี้ไวน์และเบียร์ที่มีดีกรีต่ำ ๆ เลยเริ่มสาบสูญไปจากสังคมจีนโบราณ ความต้องการของตลาดเทไปที่เหล้าแทบทั้งหมด มีการกลั่นเหล้าคิดค้นสูตรและส่งต่อกันเป็นสมบัติล้ำค่าประจำตระกูลจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ปัจจุบันจีนมีเหล้าระดับพรีเมี่ยมอยู่ไม่น้อย
พี่ทุยขอยกตัวอย่างคือ Kweichow Moutai บริษัทผลิตเหล้าแบรนด์ “เหมาไถ (Moutai)” ซึ่งเป็นสูตรที่ตกทอดมายาวนานกว่า 2,000 ปี โดยเหมาไถถือเป็นเหล้าประจำชาติของจีนดีกรีแรงในระดับ 43-53% มักใช้เลี้ยงต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองโดยเฉพาะผู้นำระดับประเทศจากทั่วโลก ที่หากมาเยือนจีนก็ต้องได้ลิ้มรสชาติเหล้า 2,000 ปีนี้กันแทบทุกคน
โดยเหมาไถเน้นตีตลาดจีนและเป็นเหล้าที่คนจีนนิยมดื่มมากที่สุด ทำรายได้ระดับหมื่นล้านดอลลาร์แทบทุกปี ซึ่งทำให้ Kweichow Moutai เป็นบริษัทแอลกอฮอล์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก
นอกจากนี้ยังมี Wuliangye Yibin บริษัทผลิตเหล้าแบรนด์ “อี๋ปิน” ที่นิยมรองลงมาจากเหมาไถ และเป็นบริษัทแอลกอฮอล์ที่มีมูลค่าสูงในระดับ Top เช่นเดียวกัน
เรียกได้ว่า เหล้าสำหรับคนจีนถือเป็นเครื่องดื่มที่มีความผูกพันธ์และความเป็นมายาวนาน ทำให้เป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงมากตลอด 2,000 ปีในประวัติศาสตร์จีน
เหล้าในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
แต่ละที่ เหล้าก็ถูกพัฒนาและใช้ส่วนผสมที่แตกต่างกันไปตามสภาพภูมิศาสตร์
ในแถบยุโรปตะวันออกที่มีอากาศหนาวก็เกิดเหล้าที่หมักจากมันฝรั่งและกลั่นหลายรอบให้ไม่มีสีจนออกมาเป็น “วอดก้า (Vodka)”
ส่วนทางยุโรปตะวันตกอย่างฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส ก็มีเหล้าที่ทำจากจูนิเปอร์เบอร์รี่และสมุนไพรอื่นๆ จนออกมาเป็น “ยิน (Jin)” รวมถึงเหล้าที่ทำจากองุ่น แอปเปิ้ล หรือเชอร์รี่ ที่ออกมาเป็น “บรั่นดี (Brandy)”
ในแถบสกอตแลนด์ ไอร์แลนด์ อังกฤษ ก็มีเหล้าทำจากธัญพืชจนออกมาเป็น “วิสกี้ (Whiskey)”
ส่วนฟากอเมริกาก็มีเหล้าที่ทำจากอ้อยและกากน้ำตาลจนออกมาเป็น “รัม (Rum)”
โดยในปัจจุบันก็มีบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ใหญ่สุดในยุโรปคือ Diageo ที่ขายเหล้าโดยเฉพาะซึ่งมีแบรนด์ที่เคยขายดีที่สุดคือ สก็อตวิสกี้ในชื่อ Johnnie Walker ก่อนจะถูกเหมาไถมาแซงยอดขายไปในช่วงปี 2017
สรุปแล้ว เหล้าเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวค่อนข้างสูง ทำให้ความนิยมของเหล้าแต่ละประเภทก็จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น รัสเซียจะนิยมวอดก้ามากที่สุด อังกฤษจะนิยมวิสกี้มากที่สุด และจีนก็จะนิยมเหล้าจีนมากที่สุดนั่นเอง
การเดินทางของเบียร์ : จากสุเมเรียนสู่เครื่องดื่มระดับโลก
คราวนี้พี่ทุยขอพาขยับมาทางตะวันตกของเอเชีย ในอารยธรรมเมโสโปเตเมียกันบ้าง ซึ่งเป็นที่ที่เครื่องดื่มอย่างเบียร์ได้รับความนิยมและพัฒนาขึ้นมาโดยกลุ่มคนที่ชื่อว่าสุเมเรียนในช่วงปี 3000 BC เพราะพบสูตรเบียร์จากข้าวบาเลย์บันทึกไว้ในแผ่นดินเหนียวมากกว่า 20 สูตร!
และจากเมโสโปเตเมีย พี่ทุยพาข้ามทะเลแดงไปอีกฝั่งหนึ่ง คือ อียิปต์ ซึ่งพบเบียร์ 2 แบบ โดยแบบแรกทำจากข้าวบาเลย์ที่คงรับต่อมาจากสุเมเรียน และแบบที่สองทำจากข้าวสาลีโดยเชื่อว่าอียิปต์น่าจะคิดค้นขึ้นมาเอง
เรียกได้ว่า หากจีนคลั่งการดื่มเหล้า อียิปต์โบราณก็คงคลั่งการดื่มเบียร์ไม่แพ้กัน ถึงขนาดเป็นอาหารหลักประจำวันคู่กับขนมปังเลยทีเดียว และพบว่าหลายครั้งแรงงานที่มาก่อสร้างพีระมิดก็จะได้รับเบียร์เป็นค่าจ้างตอบแทนอีกด้วย
จากอียิปต์ เบียร์ก็ได้เดินทางไปสู่กรีกและต่อไปยังโรมัน แต่มหาอำนาจสองหน่อนี้คลั่งไคล้ไวน์มากกว่า และคิดว่าเบียร์เป็นเครื่องดื่มชั้นต่ำ ทำให้เบียร์ฮิตกันในหมู่คนแถบชายขอบของกรีกและโรมัน ซึ่งคนพวกนี้ก็ถูกมองว่าเป็นคนเถื่อนในสายตาของโรมัน
ต่อมาโรมันก็ถูกคนเถื่อนเหล่านี้ถล่มจนยับเยิน และเกิดอาณาจักรต่าง ๆ ของคนเถื่อนที่อยู่ในยุโรปขึ้นมา ซึ่งเมื่ออาณาจักรเติบโตขึ้น เบียร์ที่ฮิตในแถบนี้อยู่แล้วก็เติบโตตามไปด้วย โดยเฉพาะในอาณาจักรที่ชื่อบาวาเรีย (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนี) ผลิตเบียร์รสชาติดีจนกลายเป็นมาตรฐานให้กับเบียร์ทั่วยุโรป และในช่วงศตวรรษที่ 14 โรงเบียร์ในแบบฉบับบาวาเรียก็เริ่มผุดขึ้นในฝรั่งเศส อังกฤษ เบลเยียมและสเปน
คราวนี้ เบียร์แบบยุโรปก็ได้เดินทางไปทั่วทุกมุมโลกในยุคล่าอาณานิคม โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่เกิดธุรกิจโรงเบียร์กว่า 4,000 แห่งในศตวรรษที่ 19 และปัจจุบันกลายเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมเบียร์ใหญ่สุดในโลก มีบริษัทอย่าง Anheuser-Busch ที่กินส่วนแบ่งตลาดเบียร์โลก 25.7% (รองลงมาคือ Heineken 12.2%)
และทั้งหมดนี้คือเส้นทางของเครื่องดื่มที่ชื่อว่าเบียร์ จากสุเมเรียนสู่อียิปต์ ผ่านกรีกและโรมัน เข้าสู่ยุโรปและกระจายไปทั่วโลกจนเกิดอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ กลายเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ทำรายได้ทั่วโลกรวม 140,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 และเป็นเครื่องดื่มที่คนชอบดื่มรองจากน้ำเปล่า ชา และกาแฟ
กรีกและโรมัน : ต้นกำเนิดอาณาจักรของไวน์
ดูเรื่องราวของเหล้าและเส้นทางของเบียร์ไปแล้ว คราวนี้พี่ทุยขอพามาดูเรื่องของไวน์กันบ้าง
อย่างที่ทุกคนได้เห็นแล้วว่า ในปี 7000 BC เราพบร่องรอยของไวน์ที่เก่าแก่สุดในจีน และในปี 6000-4000 BC ก็พบร่องรอยของไวน์ในแถบเอเชียกลาง
แต่จุดพีคของไวน์เริ่มต้นในปี 2000 BC โดยกรีกโบราณที่มีความเชื่อว่าไวน์เป็นเครื่องดื่มศักดิ์สิทธิ์ที่เทพเจ้ามอบให้มนุษย์ แถมมีเทพเจ้าแห่งไวน์คือไดโอนีซุส ทำให้ชาวกรีกเริ่มดื่มไวน์เป็นชีวิตจิตใจ ทั้งในช่วงพักผ่อน เฉลิมฉลอง ทำพิธีกรรม หรือการพูดคุยสัมมนา และสิ่งที่ตามมาคือไร่องุ่นกลายเป็นธุรกิจทำเงินเป็นกอบเป็นกำในยุคสมัยนั้น
ความคลั่งไคล้ไวน์ของกรีกถูกส่งต่อไปที่โรมัน ซึ่งสร้างศาสตร์ผลิตไวน์ให้มีความล้ำลึกมากขึ้น ทั้งการปลูกองุ่น คัดเลือกสายพันธุ์ และแม้กระทั่งถังหมักก็เลือกแบบพิถีพิถันเพื่อให้ได้รสชาติไวน์ที่ดีที่สุด อีกทั้งกองทัพโรมันเวลาไปรบที่ไหนก็จะเอาเมล็ดพันธุ์องุ่นของตัวเองไปด้วย
ซึ่งพอชนะก็จะหว่านองุ่นเอาไว้ ทำให้พันธุ์องุ่นกระจายตามรายทางที่ทัพโรมันพิชิตได้ โดยเฉพาะในสเปนและฝรั่งเศส ซึ่งพอโรมันล่มสลาย ดินแดนเหล่านี้ก็กลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจไวน์ในยุคต่อมา
เส้นทางของไวน์นั้น พี่ทุยคิดว่าค่อนข้างคล้ายกับเบียร์ ที่เริ่มฮิตในยุโรปและถูกกระจายไปทั่วโลกในยุคล่าอาณานิคม และต่อยอดเป็นอุตสาหกรรมไวน์ขนาดใหญ่ในพื้นที่ต่าง ๆ
แล้วในปัจจุบันประเทศไหนบ้างที่เป็นพื้นที่ผลิตไวน์ชั้นดีของโลก?
1) ฝรั่งเศส เป็นประเทศที่ส่งออกไวน์เยอะที่สุดในโลก ตกปีละประมาณ 6,000 ล้านลิตร มีพื้นที่ปลูกองุ่นอย่างบอร์กโดซ์ เบอร์กันดี และแชมเปญ ทำให้ฝรั่งเศสมีบริษัทไวน์ระดับTop ของโลก คือ Castel Freres, Pernod Richard และ LMVH
2) อิตาลี เป็นประเทศคลั่งไคล้ไวน์ตั้งแต่ยุคที่เป็นโรมันอย่างที่เราได้เห็นไปแล้ว ส่งออกไวน์ปีละประมาณ 5,000 ล้านลิตร และมีพื้นที่ปลูกองุ่นในทัสคานีและเวเนโต
3) สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีพื้นที่ปลูกองุ่นชั้นดีในแคลิฟอเนียร์ และส่งออกไวน์เป็นอันดับ 3 รองจากฝรั่งเศสและอิตาลี
ไวน์ถือเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่คนนิยมดื่มรองจากเบียร์ ซึ่งด้วยเรื่องราวที่เกี่ยวโยงกับความเชื่อดั้งเดิมว่าเป็นเครื่องดื่มศักดิ์สิทธิ์จากเทพเจ้า แถมยังเกี่ยวโยงกับความเชื่อของศาสนาคริสต์ ทำให้ในอดีตไวน์เลยเป็นเครื่องดื่มของชนชั้นสูง และได้ส่งทอดมรดกวัฒนธรรมแนวคิดนั้นมาจนปัจจุบัน ในการเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่หรูหรา ราคาแพง และมีความเป็นศิลปะค่อนข้างสูง
ตลาดเครื่องดื่ม “แอลกอฮอล์” ในปัจจุบัน
หลังจากที่เราไปทัวน์ตามดูพัฒนาการของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์แล้ว คราวนี้พี่ทุยขอพาทุกคนกลับมาสู่ปัจจุบัน เพื่อดูว่าคนเราดื่มแอลกอฮอล์มากแค่ไหนและดื่มอะไรมากกว่ากัน
คนดื่ม “แอกอฮอล์” มากแค่ไหน?
รวม ๆ แล้ว มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 446,000 ล้านลิตรในทุก ๆ ปีทั่วโลก ซึ่งพี่ทุยสามารถเทียบสัดส่วนการดื่มได้ ดังนี้
อันดับ 1 เบียร์ ประมาณ 396,000 ล้านลิตร ถือเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยอดฮิตที่คนทั่วโลกดื่มมากที่สุด
อันดับ 2 ไวน์ ประมาณ 25,760 ล้านลิตร
อันดับที่ 3 เหล้า ประมาณ 23,110 ล้านลิตร
เรียกได้ว่า เบียร์ถือเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยอดฮิตมาตั้งแต่ยุคที่เกิดอุตสาหกรรม เพราะมีดีกรีค่อนข้างต่ำเลยดื่มง่าย จนตอบโจทย์กับคนแทบทุกพื้นที่ทั้งเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ในขณะที่ไวน์ส่วนใหญ่จะนิยมกันในแถบยุโรป
ส่วนเหล้านั้นอย่างที่พี่ทุยได้สรุปไปก่อนหน้าว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง ทำให้ในแต่ละที่นิยมดื่มเหล้าในชนิดที่แตกต่างกัน แถมยังดื่มยากที่สุดเพราะมีดีกรีสูง คนเลยนิยมดื่มเป็นอันดับสามนั่นเอง
ผู้เล่นในตลาดเครื่องดื่ม “แอลกอฮอล์” มีใครบ้าง ?
เมื่อเราเห็นกันแล้วว่าทั่วโลกดื่มแอลกอฮอล์มากแค่ไหน และนิยมดื่มอะไรมากที่สุด คราวนี้ พี่ทุยจะพาไปเจาะตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันต่อว่า ในปัจจุบันมีบริษัทไหนบ้างที่แข่งขันกันอยู่ แต่ละบริษัทมีแบรนด์อะไรที่โดดเด่น รวมถึงมีมูลค่าและรายได้มากขนาดไหน ซึ่งพี่ทุยคัดมาให้เน้นๆ ทั้งหมด 10 บริษัท ดังนี้
อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งทำให้กำลังการผลิตมีมากขึ้น อัตราการดื่มแอลกอฮอล์ก็เพิ่มขึ้นไปด้วยตั้งแต่ตอนนั้น และเริ่มเกิดบริษัทที่สร้างแบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยบางบริษัทเจาะตลาดเบียร์ บางบริษัทเจาะตลาดเหล้า บางบริษัทเจาะตลาดไวน์ หรือบางบริษัทเน้นเจาะตลาดทุกประเภท
และในปัจจุบัน Kweichow Moutai เป็นบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก คือ 382,350 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเน้นขายเหล้าจีนแบรนด์เหมาไถ
ส่วนบริษัทที่ทำรายได้สูงสุดในปี 2021 คือ Anheuser-Busch InBev คือประมาณ 54,304 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเน้นขายเบียร์แบรนด์ Budweiser และ Bud Light
โดยทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งสรุปได้ว่าเป็นสิ่งที่พัฒนามาคู่กับมนุษยชาติกว่าหมื่นปี มีรูปแบบในเชิงธุรกิจที่ยาวนานนับพันปี มีระบบอุตสาหกรรมขนาดใหญ่กว่าสามร้อยปี และพี่ทุยคิดว่าถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน จากหมื่นปีที่แล้วหรือในวันนี้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็เหมือนเป็นสิ่งที่เกี่ยวโยงกับสังคมมนุษย์เราแทบทุกมิติเลยทีเดียว
อ่านเพิ่ม