"สาเหตุ" อะไร ทำให้ “เงินเฟ้อ” ของเราไม่เท่ากัน ? - คนรายได้น้อยเจ็บหนักสุด

สาเหตุอะไร ทำให้ เงินเฟ้อ ของเราถึงไม่เท่ากัน ? – คนรายได้น้อยเจ็บหนักสุด

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักในการเก็บรวบรวมรายการสินค้าเพื่อมาคำนวณเงินเฟ้อเป็นประจำทุกเดือน โดยธนาคารแห่งประเทศไทยมีภารกิจในการรักษาระดับเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3%
  • สินค้าที่นำมาคำนวณเงินเฟ้อแบ่งเป็น 7 หมวด ซึ่งมีน้ำหนักไม่เท่ากัน โดยสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์มีน้ำหนักเยอะที่สุดในตะกร้าเงินเฟ้อ
  • เงินเฟ้อไทยเกิดจากสาเหตุสำคัญมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาสินค้าเกษตร อาหาร และน้ำมันเพิ่มขึ้นทั่วโลก
  • เงินเฟ้อไทยแต่ละหมวดเพิ่มขึ้นไม่เท่ากัน โดยหมวดที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ที่อยู่อาศัย และอาหาร เพิ่มขึ้นมากที่สุด
  • คนรายได้น้อยได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อมากกว่าคนรายได้สูง เนื่องจากมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านอาหารและพลังงานรวมกันมากกว่า

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ในห้วงเวลาแบบนี้ เงินเฟ้อ กลายเป็นหนึ่งในปัญหากวนใจของใครหลายคนอยู่ไม่น้อย ในชีวิตจริง เงินเฟ้อส่งผลกระทบต่อผู้คนแตกต่างกัน นั่นเป็นเพราะการที่ราคาสินค้าชนิดหนึ่งมีราคาสูงขึ้น เช่น ราคาน้ำมัน บางคนได้รับผลกระทบน้อย ขณะที่บางคนได้รับผลกระทบมากจนไม่อยากออกนอกบ้าน วันนี้พี่ทุยจึงชวนทุกคนมาเจาะลึกด้วยกันว่า สาเหตุ อะไร ที่ทำให้ เงินเฟ้อ ของแต่ละคนหนักเบาไม่เท่ากัน ?

สาเหตุ เงินเฟ้อ มาอย่างไร?

ก่อนอื่นพี่ทุยขอทวนความหมายของเงินเฟ้ออีกครั้ง เงินเฟ้อ คือ ภาวะที่ราคาข้าวของแพงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาอาหาร เสื้อผ้า ค่าเดินทาง ค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น ซึ่งหากราคาสินค้าเพิ่มขึ้นไปตามภาวะปกติ การเกิดเงินเฟ้อจะไม่มีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่มากนัก แต่หากเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้มูลค่าเงินในกระเป๋าลดลง สินค้าที่เคยซื้อได้จะไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินเท่าเดิมอีกต่อไป

กระทรวงพาณิชย์คือหน่วยงานที่รับผิดชอบหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูลสินค้าและบริการต่าง ๆ เป็นประจำทุกเดือนจากตลาด ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ทั้งในกรุงเทพฯ และตามภูมิภาค รวมสินค้ากว่า 400 รายการ เพื่อคำนวณหาการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าเหล่านี้ในเดือนปัจจุบันเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเรียกการเปลี่ยนแปลงของราคานี้ว่า อัตราเงินเฟ้อ และเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ต้องรักษาระดับเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3%

สินค้าที่นำมาคำนวณเงินเฟ้อมีน้ำหนักไม่เท่ากัน

สำหรับรายการสินค้าที่นำมาคำนวณเงินเฟ้อ แบ่งออกเป็น 7 หมวดหลัก ได้แก่

1) อาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์

2) เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า

3) เคหสถาน

4) การตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล

5) พาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร

6) บันเทิง การศึกษา

และ 7) ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์

เรียกรวมกันว่า ตะกร้าเงินเฟ้อ

อย่างไรก็ตาม สินค้าแต่ละหมวดในตะกร้าเงินเฟ้อมีน้ำหนักในการคำนวณไม่เท่ากัน จากภาพด้านล่าง จะเห็นว่า สินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มมีน้ำหนักเยอะที่สุดคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของตะกร้าเงินเฟ้อ (41%) รองลงมาเป็นหมวดยานพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร (24.1%) และเคหสถาน (21.9%) ส่วนหมวดยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีน้ำหนักน้อยที่สุด (1.3%) 

ทำไม… เงินเฟ้อของเธอกับฉันถึงไม่เท่ากัน ?

ทั้งนี้ สัดส่วนน้ำหนักในตะกร้าเงินเฟ้อและรายการสินค้าจะมีการปรับเปลี่ยนใหม่ทุก 4-5 ปี เพื่อให้ครอบคลุมสินค้าใหม่ ๆ และให้สอดคล้องกับลักษณะการกินอยู่ของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงไป

“เงินเฟ้อ” ไทยคราวนี้มี “สาเหตุ” สำคัญมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน

เงินเฟ้อไทยปรับตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนมาแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 14 ปีที่ 7.7% ในเดือน มิ.ย. 2565 และ 7.6% ในเดือน ก.ค. 2565 จากราว 2% ในช่วงปลายปี 2564

ที่มาของเงินเฟ้อไทยคราวนี้เริ่มมาจากวิกฤตโควิด-19 ที่คลี่คลายลง มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมต่าง ๆ ทำให้ผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้ากันมากขึ้น แต่สินค้าบางประเภทยังปรับตัวและผลิตสินค้าไม่ทันกับความต้องการ ราคาสินค้าบางหมวดจึงปรับขึ้นมาเล็กน้อย

แต่สาเหตุสำคัญจริง ๆ มาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ก.พ. 2565 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตร อาหาร และสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นหลายเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันดิบ น้ำมันปาล์ม ปุ๋ย ข้าวสาลี

ขณะที่ไทยมีมูลค่านำเข้าน้ำมันดิบและสินค้าพลังงานคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 15% ของมูลค่านำเข้ารวมทั้งประเทศ ดังนั้น เมื่อราคาน้ำมันและพลังงานทั่วโลกปรับสูงขึ้นจึงกลายเป็นต้นทุนการผลิตของภาคธุรกิจ เมื่อประกอบกับเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นมีความต้องการสินค้าสูงขึ้น จึงส่งผลให้เงินเฟ้อไทยปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

ค่าเดินทาง ค่าที่อยู่อาศัย และค่าอาหาร เพิ่มขึ้นมากที่สุด

สำหรับรายละเอียดของเงินเฟ้อในเดือน ก.ค. 2565 ที่ 7.6% แยกตามทั้ง 7 หมวดในตะกร้าเงินเฟ้อ จากภาพด้านล่าง จะเห็นว่า เงินเฟ้อของสินค้าแต่ละหมวดเพิ่มขึ้นไม่เท่ากัน

โดยเงินเฟ้อหมวดยานพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสารเพิ่มขึ้นมากสุดที่ 10.2% ตามมาด้วยหมวดเคหสถานที่ 8.4% และหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่ 8.0% ส่วนหมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้าเพิ่มขึ้นเพียง 0.1%

พอเราเห็นแบบนี้ก็พอบอกได้เบื้องต้นแล้วว่า เงินเฟ้อหรือภาวะที่ราคาข้าวของแพงขึ้นกระทบกับค่าครองชีพของผู้คนแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ Lifestyle การจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าในหมวดใดมากกว่ากัน หากใครที่ต้องเดินทางไม่ว่าจะด้วยรถสาธารณะหรือรถยนต์ส่วนตัว จ่ายค่าก๊าซและซื้อวัตถุดิบมาประกอบอาหารเอง รวมถึงออกไปทานอาหารนอกบ้านบ่อยครั้ง ก็จะมีค่าครองชีพที่สูงกว่า

คนรายได้น้อยได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อมากกว่าคนรายได้สูง

อย่างไรก็ตาม หากดูเพียงเฉพาะการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อในแต่ละหมวด หรือจำนวนเงินที่ควักเพื่อซื้อสินค้า อาจไม่เพียงพอและไม่ครอบคลุมว่าเงินเฟ้อกระทบผู้คนแตกต่างกันอย่างไร แต่จำเป็นต้องดูว่า แต่ละคนมีการใช้จ่ายซื้อสินค้าในหมวดที่เงินเฟ้อสูงเป็นเท่าไหร่เมื่อเทียบกับรายได้หรือค่าใช้จ่ายทั้งหมดของตนเอง

หากใครมีการใช้จ่ายซื้อสินค้าในหมวดที่เงินเฟ้อสูงเมื่อเทียบกับรายได้หรือค่าใช้จ่ายทั้งหมดในสัดส่วนที่สูง ย่อมได้รับผลกระทบมากกว่าคนที่มีการใช้จ่ายหมวดเงินเฟ้อสูงในสัดส่วนที่ต่ำกว่า

พี่ทุยจึงได้รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านอาหารและพลังงาน (ซึ่งเป็นหมวดสินค้าที่เผชิญกับเงินเฟ้อสูงจากราคาน้ำมันดิบและราคาอาหารในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น) เทียบกับค่าใช้จ่ายทั้งหมดในชีวิตประจำวันของคนแต่ละกลุ่ม โดยแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มตามระดับรายได้ เพื่อดูว่าคนกลุ่มรายได้ใดได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อมาก-น้อยที่สุด

"สาเหตุ" อะไร ทำให้ “เงินเฟ้อ” ของเราไม่เท่ากัน ? - คนรายได้น้อยเจ็บหนักสุด

จากตารางด้านบน จะเห็นว่า คนในแต่ละกลุ่มรายได้มีค่าใช้จ่ายซื้อสินค้าด้านพลังงานเทียบกับค่าใช้จ่ายรวมในสัดส่วนไม่เยอะและใกล้เคียงกัน การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ส่งผลให้เงินเฟ้อด้านพลังงาน ราคาน้ำมันหรือราคาก๊าซในไทยสูงขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อทุกกลุ่มรายได้ไม่แตกต่างกัน เนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็นที่เราควบคุมราคาไม่ได้ ทุกคนต่างต้องเผชิญกับค่าน้ำมันในการเดินทาง ค่าก๊าซไว้ปรุงอาหารที่เพิ่มขึ้นกันหมด

แต่เมื่อหันมาดูค่าใช้จ่ายด้านอาหาร ซึ่งเป็นหมวดที่เงินเฟ้อสูงสุดเป็นอันดับ 3 ในตะกร้าเงินเฟ้อ พบว่า

  • คนที่มีรายได้น้อยที่สุดในกลุ่มที่ 1 (มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน)
  • และกลุ่มที่ 2 (มีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 14,400 บาทต่อเดือน)

มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายพลังงานและอาหารต่อค่าใช้จ่ายรวมสูงถึงเกือบ 20% นั่นหมายความว่า ค่าใช้จ่าย 1 ใน 5 ของค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทั้งหมด หมดไปกับค่าวัตถุดิบและค่าอาหาร 

เทียบกับคนกลุ่มรายได้สูง โดยเฉพาะกลุ่มที่ 5 ซึ่งเป็นคนกลุ่มที่มีรายได้สูงสุด (มีรายได้เฉลี่ยอยู่ระหว่าง 32,601 – 57,900 บาทต่อเดือน) ควักเงินในกระเป๋าเพื่อซื้อวัตถุดิบอาหารน้อยกว่าถึงครึ่งหนึ่ง (10% ของคนรายได้สูง กับ 20% ของคนรายได้น้อย)

แสดงให้เห็นว่า คนที่มีรายได้น้อยกว่าแต่กลับต้องจ่ายเงินเพื่อซื้ออาหารและเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงกว่าโดยเปรียบเทียบ 

มาถึงตรงนี้พอจะเห็นแล้วว่า คนที่มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบจากหมวดสินค้าที่มีเงินเฟ้อสูง ราคาข้าวของแพง มากกว่าคนที่มีรายได้สูง 

ภาวะเงินเฟ้อจึงไม่ใช่แค่ปัญหากวนใจแล้วก็หายไป แต่มันส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่หากรายได้ไม่เพิ่มตาม และเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเหลื่อมล้ำทางรายได้ระหว่างกลุ่มคนมากยิ่งขึ้น

แม้เศรษฐกิจไทยจะเริ่มดูดีขึ้น แต่ยังซ่อนความเปราะบางไว้อยู่มากมาย ทุกคนสามารถสำรวจ Lifestyle รูปแบบการใช้ชีวิต รายการค่าใช้จ่ายที่เราต้องควักออกไปในแต่ละครั้ง ในแต่ละเดือน เพื่อดูว่าเราได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อมากน้อยแค่ไหน เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการวางแผนชีวิต วางแผนรายรับ-รายจ่าย ซึ่งจะช่วยให้เกิดความคล่องตัวทางการเงินในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile