ทุกครั้งที่ราคาอาหารแพงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยและยากจน ปัจจุบันปี 2023 โลกเราสุ่มเสี่ยงจะเจอภาวะการณ์ ขาดแคลนอาหาร อีกครั้ง วิกฤตความมั่นคงทางอาหารครั้งนี้ สาเหตุมาจากอะไร และวิกฤตหนนี้ร้ายแรงแค่ไหน ส่งผลกระทบต่อไทยอย่างไรบ้าง พี่ทุยหาคำตอบมาให้แล้ว
ขาดแคลนอาหาร 2023 เกิดจากอะไร
ปัญหาความมั่นคงทางอาหารปี 2023 ที่รุนแรงและอาจจะต้านทานรับได้ยากก็คือ ภัยธรรมชาติ ที่เป็นสาเหตุหลัก ๆ ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากภาวะโลกรวน
เอลนีโญ
ขณะนี้ทั่วทั้งโลกกำลังเผชิญกับสภาวะโลกร้อน (Climate Change) ที่ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญขึ้น โดยเจ้าปรากฏการณ์นี้ก็คือการเกิดสภาพอากาศแปรปรวนไปจากสภาวะปกตินั่นเอง เช่น บริเวณที่ฝนตกชุกก็จะกลายเป็นแห้งแล้ง แต่ในทางกลับกันบริเวณที่เคยแห้งแล้งฝนดันมาตกชุก
ซึ่งความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศดังกล่าวได้สร้างความเสียหายต่อพื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตรอย่างมาก เพราะแน่นอนว่าการปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารต้องพึ่งพาน้ำในปริมาณมาก
ดังนั้นเมื่อฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล จึงทำให้ผลผลิตทางการเกษตรไม่สามารถออกมาจำหน่ายในท้องตลาดได้ตรงตามที่คาดหมายไว้ และกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาวัตถุดิบทางการเกษตรปรับตัวสูงขึ้นนั่นเอง
นี่ยังไม่นับรวมกับภาคส่วนทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่ต้องพึ่งพาทรัพยากรน้ำในกระบวนการผลิตสินค้าและบริการที่จะได้รับความเสียหายไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อโลหะ อาหาร และสิ่งทอ รวมไปถึงความเสียหายจากที่มาจากสภาพอากาศแปรปรวนอีกด้วย
มีการประเมินความเสียหายที่เกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจทั่วโลกไว้ถึง 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ (80.5 ล้านล้านบาท) เลยทีเดียว เพราะคาดการณ์ไว้ว่าปรากฏการณ์นี้จะกินระยะเวลายาวนานถึง 5 ปี (2023 – 2027)
เมื่อกลับมามองดูประเทศไทยของเราจะพบว่า สถานการณ์ดูน่าเป็นห่วงไม่น้อย เพราะขณะนี้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำในพื้นที่สำคัญ เช่น ภาคกลาง และตะวันออก ลดน้อยลงจากปีที่แล้วอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคกลางที่อยู่ในระดับขั้นวิกฤต !!!
ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายต่อพื้นที่การเกษตร เช่น ข้าว และผลผลิตอื่น ๆ ประมาณ 4.8 หมื่นล้านบาทในปีนี้ และคาดว่าความเสียหายจะสูงมากกว่านี้ หากภาวะภัยแล้งลากยาวไปอีกจนส่งผลต่อผลผลิตในปี 2024
ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ต้องใช้น้ำในกระบวนการผลิตจำนวนมาก เช่น แก้ว กระเบื้อง ปูน และสิ่งทอ รวมไปถึงธุรกิจภาคบริการ เช่น โรงพยาบาล และโรงแรม คาดว่าจะได้รับความเสียหายตามไปด้วยเช่นกัน
จากบทเรียนในอดีตที่ไทยเคยประสบกับเอลนีโญมาเมื่อปี 2015 – 2016 พบว่ามีผลต่อกำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมมาแล้ว
และที่อาจจะหนักข้อขึ้นไปอีกสำหรับปี 2023 นี้ คือสถานการณ์การเมืองของไทย ที่ยังไม่แน่ชัดในการจัดตั้งรัฐบาล หากการมีรัฐบาลเนิ่นยาวออกไป ก็อาจส่งผลกับการปรับแนวทางการรับมือกับภัยแล้งที่รุนแรงใน 2 ปีนี้
ยูเครน
ขณะที่ปัจจัยความขัดแย้งระหว่างยูเครน – รัสเซีย ก็กำลังอีกหนึ่งสาเหตุที่เข้ามาซ้ำเติมให้วิกฤตราคาอาหารโลกรุนแรงยิ่งขึ้น หลังจากที่ทางการรัสเซียปฏิเสธที่จะทำตามข้อตกลงการส่งออกธัญพืชของยูเครนผ่านทะเลดำที่เคยให้สัญญาไว้กับสหประชาชาติ (UN) เมื่อปีที่แล้ว
ทำให้ปริมาณสินค้าเกษตรจากยูเครนราว 3.2 หมื่นตัน เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี น้ำมันจากเมล็ดทานตะวัน ไม่สามารถส่งออกสู่ตลาดโลกในทันที และกลายเป็นต้นเหตุสำคัญที่กำลังกดดันให้ราคาอาหารแพงขึ้น
โดยราคาธัญพืชในตลาดซื้อขายในยุโรปปรับตัวขึ้นทันที 8.2% จากวันก่อนหน้าที่รัสเซียจะประกาศท่าทีดังกล่าวออกมา โดยอยู่ที่ 284 ดอลลาร์ (ราว 9,940 บาท) ต่อตัน ขณะที่ราคาข้าวโพดแพงขึ้น 5.4%
สิ่งที่น่ากังวลคือกลุ่มประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าสินค้าเกษตรเพื่อนำมาบริโภคจากยูเครนกว่า 45 ประเทศทั่วโลกที่กำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
โดยกลุ่มที่พึ่งพามากเป็นพิเศษก็คือ เลบานอน โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 35% ของปริมาณอาหารที่ทั่วประเทศใช้กินใช้อยู่เลยทีเดียว ขณะที่ปากีสถาน ลิเบีย และอียิปต์ ก็น่าจะได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักจากภาวะความหิวโหยที่จะรุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ กลุ่มประเทศที่พึ่งพาวัตถุดิบทางการเกษตร โดยเฉพาะข้าวโพดเพื่อนำไปแปรรูปต่อ เช่น จีน สเปน และตุรกี คาดว่าจะได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ข้าวโพดเป็นวัตุดิบที่สามารถนำไปทำเป็น ไบโอดีเซล อาหารสัตว์ และของทานเล่น
ผลกระทบ ขาดแคลนอาหาร ตอนนี้
ผลจากความวิตกกังวลเรื่องความมั่นคงทางอาหารที่เพิ่มขึ้นทำให้หลายประเทศเริ่มออกมาตรการเพื่อเอาตัวรอดกันแล้ว เช่น อินเดียงดส่งออกข้าวชั่วคราว เพื่อกันไว้บริโภคในประเทศหลังจากราคาแพงขึ้นอย่างรุนแรง
ผลพวงของมาตรการดังกล่าวคาดว่าจะทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกแพงขึ้นทันที และผู้ที่ตกที่นั่งลำบากคือ กลุ่มลูกค้าในประเทศแถบแอฟริกาที่พึ่งพาข้าวจากอินเดียในปริมาณมากนั่นเอง
อย่างไรก็ดี นี่อาจกลายเป็นได้ทั้งโอกาสและความความท้าทายให้กับภาคการส่งออกของไทยได้ในเวลาเดียวกัน
ในแง่โอกาส คือ จะเป็นโอกาสที่จะช่วยหยุดเลือดจากภาวะขาดดุลการค้าที่ดำเนินติดต่อกันมา 9 เดือนให้บรรเทาเบาบางลงไปบ้าง เพราะไทยถือเป็นประเทศที่ส่งออกผลิตภัณฑ์การเกษตรและอาหารชั้นนำแนวหน้าของโลก ไม่ว่าจะเป็นข้าว (อันดับ 2 ของโลก) ปลากระป๋อง (อันดับ 1 ของโลก) มันสำปะหลัง (อันดับ 1 ของโลก) และสัปปะรดกระป๋อง (อันดับ 1 ของโลก)
ซึ่งหากไทยเร่งรีบทำการตลาดเชิงรุกและรีบคว้าโอกาสเหล่านี้เอาไว้ให้ดี พี่ทุยเชื่อว่าจะทำให้รายได้จากการส่งออกของเราฟื้นคืนได้บ้าง
ในแง่ความท้าทาย คือ ผลผลิตการเกษตรเราจะมีมากพอสำหรับส่งออกหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากว่าพื้นที่การเกษตรและผลผลิตได้รับความเสียหายจากปรากฏการณ์เอลนีโญ นี่จึงเป็นประเด็นที่น่าจับตามองอย่างมาก ท่ามกลางสถานการณ์ความผันผวนทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และภัยพิบัติทางธรรมชาติ
อ่านเพิ่ม