ต้องยอมรับกันว่าปีนี้เป็นช่วงเวลาที่หลายคนรู้สึกว่าเศรษฐกิจไม่ดีอย่างแท้จริง รายได้แทบไม่เพิ่มแถมยังจะลดลง ส่วนหนี้สินกลับพุ่งขึ้นสวนทางซึ่งเป็นภาระที่กำลังสร้างปัญหาในอนาคต วันนี้พี่ทุยเลยขอพาส่องปัญหา “หนี้ครัวเรือนไทย” ว่าจะส่งผลกระทบอย่างไร? จะสร้างปัญหาอะไรเพิ่มอีกหรือไม่?
ก่อนอื่นพี่ทุยขอพาไปรู้จักภาวะต้มกบกันก่อน
ภาวะเศรษฐกิจแบบต้มกบก็คือ
สภาวะเศรษฐกิจที่ค่อย ๆ ซบเซาลง ประชาชนเปรียบเสมือนกบในหม้อต้มน้ำที่ค่อย ๆ ร้อนแต่ยังไม่เดือด นั่นหมายความว่าก็ยังใช้ชีวิตปกติไม่รู้ตัวว่าอันตรายจะมาถึง จนท้ายที่สุดน้ำก็เดือดเศรษฐกิจซบเซาจนเข้าสู่ภาวะวิกฤติ กบที่เคยร่าเริงก็โดนต้มแบบไม่รู้ตัวและหนีไม่ทัน ซึ่งหนี้ครัวเรือนอาจเป็นเชื้อไฟชั้นดีที่เร่งอุณหภูมิน้ำให้เดือดเร็วยิ่งขึ้น
หนี้ครัวเรือนไทย ยังพุ่งรอทะลุ 15 ล้านล้านบาท
ธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดเผยตัวเลขหนี้ครัวเรือนไตรมาส 4 ปี 2564 พบว่าปริมาณหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 14.58 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 14.34 ล้านล้านบาท โดยเมื่อคำนวณอัตราส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP จะอยู่ที่ 90.1% ขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 2 ของเอเชีย เป็นรองเพียงเกาหลีใต้ซึ่งมีอัตราส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่ 106.7% (ไตรมาส 3 ปี 2564)
ถ้าหากย้อนไปเมื่อเดือน ธ.ค. 2563 ประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่ 89.3% น้อยกว่าเกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร และมาเลเซีย ซึ่งมีสัดส่วนที่ 106.6%, 96.6% และ 93.3% ตามลำดับ ตัวเลขและอันดับที่ขยับขึ้นมานับเป็นสัญญาณไม่ดีที่ชัดเจน
นอกจากนั้นแล้วยังพบว่ากลุ่มที่เป็นหนี้มากที่สุด คือวัยเริ่มทำงาน ช่วงอายุ 25-35 ปี และกว่าครึ่งหนึ่งของคนอายุ 30 ปี เป็นหนี้อุปโภคบริโภคและบัตรเครดิต นับเป็นหนี้ที่ไม่ช่วยเพิ่มความสามารถในการหารายได้และความมั่นคงในระยะยาว ลูกหนี้เหล่านี้จะโดนคิดเบี้ยปรับหรือดอกเบี้ยที่สูงกว่าปกติ หรือต้องกู้เงินนอกระบบซึ่งคิดดอกเบี้ยสูงกว่ามาก นับเป็นการเพิ่มภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นไปอีก
คุณภาพก็ปรากฎให้เห็นผ่านปริมาณหนี้เสีย สถิติจากเครดิตบูโรชี้ว่าลูกหนี้ 100 คน มีหนี้เสีย 18 คน และกลุ่มลูกหนี้ช่วงอายุ 30-34 ปี 100 คน จะมีหนี้เสียถึง 24 คน
สาเหตุหลักเป็นผลจากพฤติกรรมบริโภคที่ไม่คำนึงถึงความสามารถการบริหารเงินและหนี้ ซึ่งยังคงเป็นพฤติกรรมที่ยังมีอยู่และยังคงสร้างปัญหาหนี้ต่อไป อีกทั้งหนี้เหล่านี้ยังเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดพัฒนาการทางเศรษฐกิจ
รายได้ยุคโควิด ถึงเพิ่มแต่ไม่พอใช้จ่าย
ในข้อมูลตัวเลข GDP ไตรมาส 4 ปี 2564 ได้มีการเปิดเผยรายได้ต่อหัวของคนไทย พบว่าปี 2564 รายได้ต่อหัวอยู่ที่ 232,176 บาทต่อคนต่อปี เพิ่มขึ้นเพียง 7,214 บาทต่อคนต่อปี เมื่อเทียบกับปี 2563 ซึ่งอยู่ที่ 224,962 บาทต่อคนต่อปี และยังไม่ขึ้นมาเทียบกับกับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยังไม่มีโควิดแพร่ระบาด สอดคล้องกับตัวเลข GDP ปี 2564 ที่ขยายตัวแค่ 1.6%
การขาดรายได้ระหว่างที่โควิดแพร่ระบาดเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ซ้ำเติมปัญหาหนี้ ทำให้ประชาชนต้องหันไปกู้หนี้ยืมสินเพียงเพื่อนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันให้รอดจากช่วงเวลาดังกล่าว
สงครามต่างแดนกดดันเศรษฐกิจไทย
ในการเปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 4 ปี 2564 สภาพัฒน์ฯ คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะเติบโตประมาณ 4% แต่แล้วสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนก็เกิดขึ้นส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกเติบโตลดลง นอกจากนี้ยังส่งให้ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์อันเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น
ที่ผ่านมาเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจไทยดับสนิทเกือบหมด เหลือเพียงแต่ภาคการส่งออกที่รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัว แต่การเติบโตที่ลดลงอย่างไม่คาดคิดเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกและอุตสาหกรรมแน่นอน อีกทั้งราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นก็จะสร้างภาระให้กับผู้ผลิต ตัวเลข GDP คงมีแนวโน้มเติบโตลดลง
ล่าสุดธนาคารโลกปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 ลงมา 2.9% ลดลงจากคาดการณ์เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2564 ซึ่งคาดไว้ที่ 3.9% ขณะที่ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) ปรับลดประมาณการจาก 3.2% มาที่ 2.7% โดยต่างให้เหตุผลที่เหมือนกัน คือ สงครามรัสเซีย-ยูเครน และราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น
มากกว่านั้นการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ยังส่งผลให้ต้นทุนค่าครองชีพของประชาชนในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเดินทาง สินค้าในชีวิตประจำวัน สิ่งเหล่านี้สะท้อนผ่านอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นถึงระดับ 5.73% เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2565 นับเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 12 ปี
แบงก์ชาติคาดส่งออกยังเติบโต แต่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมาก
รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยประมาณการเศรษฐกิจปี 2565 พบว่าทั้งปริมาณและมูลค่าการส่งออกสินค้าจะเติบโตมากขึ้นเช่นเดียวกับปริมาณและมูลค่าการนำเข้าสินค้า อย่างไรก็ตามมีการปรับประมาณการดุลบัญชีเดินสะพัดจากเกินดุล 1,500 ล้านดอลลาร์ มาเป็นขาดดุล 6,000 ล้านดอลลาร์ สะท้อนว่าธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่าจะมีเม็ดเงินไหลออกจากประเทศ ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าทำให้ราคาสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น หนุนให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นไปอีก
ขณะที่คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เพิ่มขึ้นจาก 1.7% มาที่ 4.9% แน่นอนว่าเป็นผลจากราคาพลังงานและอาหารตามแนวโน้มตลาดโลก ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อที่ไม่คำนวณราคาพลังงานและอาหาร ก็ถูกปรับเพิ่มประมาณการจาก 0.4% มาที่ 2.0% สะท้อนว่าปี 2565 ระดับราคาสินค้าเกือบทุกชนิดในชีวิตประจำวันจะเพิ่มขึ้น
ภาระค่าครองที่เพิ่มขึ้นเช่นนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ประชาชนจะปลดหนี้ครัวเรือนได้อย่างง่ายดาย
การแก้ปัญหา “หนี้ครัวเรือนไทย” ได้ดีที่สุด คือ ทำให้ประชาชนมีรายได้ แต่ประชาชนกลับมีหนี้สูงขึ้น
นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวในงานประชุมนักวิเคราะห์ มีเนื้อความส่วนหนึ่งดังนี้ การแก้ปัญหาหนี้ได้ดีที่สุด คือ ทำให้ประชาชนมีรายได้ และเศรษฐกิจสามารถเดินได้
หากพิจารณาเศรษฐกิจไทยผ่านองค์ประกอบของ GDP จะพบว่ารายได้หลักของประเทศไทยมาจากภาคส่งออกและท่องเที่ยว ในส่วนภาคส่งออกก็ยังรับผลดีจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแต่สงครามที่เกิดขึ้นก็สร้างความไม่แน่นอน ขณะที่ภาคท่องเที่ยวต้องยอมรับว่ายังไม่ฟื้นตัวถึงขนาดกลับมาเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย ดังนั้นรายได้ต่อหัวคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้ไม่มาก
สอดคล้องกับคาดการณ์รายได้ต่อตัวจากสภาพัฒน์ซึ่งคาดว่าปี 2565 ประชาชนไทยจะมีรายได้ต่อหัว 244,838 บาทต่อคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าประมาณ 12,662 บาทต่อคน แต่นี่คือประมาณการเมื่อปลายปี 2564 ที่ผลกระทบจากไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนและสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังไม่ปรากฏ
จึงน่าเป็นห่วงว่ารายได้อาจเพิ่มขึ้นไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ ซ้ำร้ายอาจต้องกู้หนี้ยืมสินเพิ่มเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย
สิ่งที่อาจเกิดขึ้น แต่ภาวนาขออย่าให้เกิดขึ้นจริง
สภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา รายได้แทบไม่เพิ่ม เป็นผลให้หนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สุดท้ายก็จะวนกลับมาส่งผลต่อเศรษฐกิจ ขณะที่การช่วยเหลือจากภาครัฐก็เริ่มเจอกับข้อจำกัดเมื่อหนี้สาธารณะต่อ GDP จ่อทะลุระดับ 60% แม้จะต่ำกว่ากรอบตามกฎหมายที่ 70% แต่ก็ลดทอนความสามารถในการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปมีโอกาสที่ความแข็งแกร่งทางการเงินของประเทศไทยจะอ่อนแอจนไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศที่มีสถานะเปราะบาง
ส่วนเกาหลีใต้ที่มีหนี้ครัวเรือนต่อ GDP เป็นอันดับ 1 ของเอเชีย ไตรมาส 4 ปีที่แล้วเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวได้ถึง 4.2% โดยอาศัยภาคอุตสาหกรรมขั้นสูง เช่น ชิปคอมพิวเตอร์ จึงสามารถรับภาระหนี้ที่สูงได้ต่อไป
จากบทเรียนของหลายประเทศในอดีตชี้ว่าทางออกของหนี้ครัวเรือนอาจไม่ใช่แค่การหาทางเพิ่มรายได้ แต่เป็นการกำหนดทิศทางประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ทั้งในแง่กฎหมาย โครงสร้างพื้นฐาน และความพร้อมทางทรัพยากรบุคคล
อ่านเพิ่ม