ในที่สุดการเลือกตั้งก็มีกำหนดการออกมาแล้วว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 14 พ.ค. 2566 ซึ่งกลุ่มหนึ่งที่คึกคักกันเป็นพิเศษในช่วงเลือกตั้ง ก็คือ การลงทุนในตลาดหุ้นนั่นเอง แล้ว หุ้นได้ประโยชน์ เลือกตั้ง 2566 นี้ จะมีหุ้นไหนบ้าง หุ้นอะไรน่าจะปรับขึ้นช่วงเลือกตั้ง และทำไมหุ้นมักจะขึ้นช่วงเลือกตั้ง วันนี้พี่ทุยจะเล่าให้ฟัง
สรุปกลุ่ม หุ้นได้ประโยชน์ เลือกตั้ง 2566 ช่วงก่อนเลือกตั้ง
ทั้งนี้ พี่ทุยไปข้อมูลเพิ่มเติมจาก บล.เอเซียพลัส ที่เคยนำเสนอไว้ว่า ช่วงก่อนการเลือกตั้ง นับตั้งแต่ปี 2544-2562 หุ้นที่ปรับขึ้นในช่วง 3 เดือนก่อนเลือกตั้ง แต่ละกลุ่มปรับขึ้นเท่าไหร่ พบดังนี้
หุ้นได้ประโยชน์ เลือกตั้ง 2566
สำหรับกลุ่มหุ้นที่มักจะปรับขึ้นก่อนการเลือกตั้งนั้น จะเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ 3 ประเด็น คือ
1. เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง
ทำให้นักลงทุนคาดหวังว่า หากพรรคการเมืองที่มีความเกี่ยวข้อง ได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาลแล้ว หุ้นที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองนั้นอาจจะได้รับประโยชน์ไปด้วย ซึ่งก็จะเป็นหุ้นรายตัว ในกลุ่มนั้น ๆ โดย บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน คลาสสิก ออสสิริส เคยนำเสนอไว้ว่า หุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง ได้แก่ EA, PTG, SIRI, STEC และ STPI
ที่มา https://www.caf.co.th/article/analyze-ssfvote-stock-2022.html#gref
2. กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายของพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่ประกาศไว้ว่า ถ้าได้รับเลือกตั้งแล้วจะทำ
เช่น พรรคการเมืองส่วนใหญ่จะนำเสนอนโยบายเกี่ยวกับการเพิ่มค่าแรง ดังนั้นจึงทำให้เกิดความคาดหวังว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคจะดีขึ้น ทำให้การใช้จ่ายผ่านค้าปลีก ธุรกิจพาณิชย์ต่าง ๆ เติบโตได้ หรือมีนโยบายด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ก็จะส่งผลบวกกับกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
- ค้าปลีก อุปโภคบริโภค
 
ก่อนการเลือกตั้งรัฐบาลชุดปัจจุบันมักเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประชาชนกินอิ่มนอนหลับดียิ่งขึ้นเพื่อเรียกคะแนนเสียง เงินในกระเป๋าที่มากขึ้นก็ทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากตามไปด้วย ด้านพรรคการเมืองก็จะใช้จ่ายมากขึ้นเพื่อหาเสียงและนำเสนอนโยบายที่เป็นเรียกความมั่นใจในการใช้จ่าย เช่น การขึ้นค่าแรงและเงินเดือนขั้นต่ำ ลดค่าครองชีพ
หุ้นที่รับอานิสงส์จากการเลือกตั้ง: CPALL ซึ่งผลการดำเนินงานถูกคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างมีนัยยะจากการคลายมาตรการควบคุมโรคและการท่องเที่ยวฟื้นตัว และ OSP ที่รับการเปิดเมืองและการกระตุ้นการบริโภคจากภาครัฐ รวมไปถึง SINGER ซึ่งจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ราคาจับต้องได้ มีแนวโน้มรับผลดีจากการใช้จ่ายก่อนเลือกตั้ง
- รับเหมาก่อสร้าง
 
รัฐบาลชุดปัจจุบันต้องเร่งปิดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ให้เห็นผลงานชัดเจนเพื่อใช้เป็นผลงานหาเสียงเลือกตั้ง นอกจากนี้นักลงทุนยังคาดการณ์ว่ารัฐบาลชุดใหม่จะต้องอนุมัติโครงการลงทุนใหม่เพื่อสร้างผลงาน
หุ้นที่รับอานิสงส์จากการเลือกตั้ง: STEC เป็นบริษัทที่มักได้รับอานิสงส์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ นอกจากนี้บริษัทยังมีโครงการที่เซ็นสัญญาแล้วและโครงการที่รอเซ็นสัญญาจำนวนมาก ส่วนผลการดำเนินงานมีแนวโน้มฟื้นตัวจากการเปิดเมือง
- การเงิน
 
เมื่อมีการจับจ่ายใช้สอย การลงทุนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ การเมืองมีเสถียรภาพ ย่อมมีการกู้ยืมเพิ่มเติม ธนาคารพาณิชย์ได้ประโยชน์จากการปล่อยสินเชื่อลงทุน ส่วนบริษัทเงินทุนก็รับอานิสงส์จากสินเชื่อการบริโภคและโอกาสเกิดหนี้เสียที่น้อยลง
หุ้นที่รับอานิสงส์จากการเลือกตั้ง: KTB เป็นช่องทางการจ่ายเงินในโครงการมาตรการกระตุ้นของรัฐ ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ก็มีการตั้งสำรองและค่าใช้จ่ายการดำเนินงานลดลง รวมถึงได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ส่วน BBL ก็รับประโยชน์จากการที่มีพอร์ตสินเชื่อบริษัทขนาดใหญ่
3. กลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการหาเสียงเลือกตั้ง
ซึ่งก็คือ กลุ่มสื่อ เนื่องจากพรรคการเมืองต่าง ๆ จำเป็นต้องจัดทำป้ายโฆษณาหาเสียง รวมถึงการใช้เงินเพื่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ออนไลน์ โทรทัศน์ วิทยุ และสิ่งพิมพ์ เช่น VGI, PLANB
Pre-Election Rally ตลาดหุ้นจะขึ้นก่อนเลือกตั้ง?
โดยทั่วไปแล้วนักวิเคราะห์และนักลงทุนที่มีประสบการณ์จะตอบไปในทางเดียวกันว่าการเลือกตั้งทั่วไปเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทย ซึ่งข้อมูลจากการเลือกตั้ง 10 ครั้งหลังสุดเป็นสิ่งยืนยันชัดเจน ผลตอบแทน SET Index ก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 2.57%
ทำไมการเลือกตั้งถึงทำให้ตลาดหุ้นปรับขึ้น
ต้องบอกว่า การเลือกตั้งมีผลต่อตลาดหุ้น ไม่ใช่แค่กับไทยเท่านั้น แต่ประเทศอื่นๆในโลกก็เป็นเช่นกัน ที่เป็นแบบนี้ เพราะว่า ปกติตลาดหุ้นก็จะเป็นตลาดที่มีความผันผวน หวั่นไหวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศตัวเองและในโลกได้ง่ายอยู่แล้ว ซึ่งการเลือกตั้ง ถือเป็นอีเว้นท์ใหญ่ระดับประเทศ มีผลกับอนาคตด้านเศรษฐกิจ สังคม และพัฒนาการทางการเมืองในประเทศนั้น
ตลาดหุ้นมักปรับตัวขึ้นก่อนการเลือกตั้งเพราะนักลงทุนมองว่า จะมีการเสนอนโยบายที่ทำให้ผู้คนจะมีความเชื่อมั่นกลับมาใช้จ่ายอีกครั้ง นอกจากนี้ยังรับอานิสงส์จากการใช้จ่ายจากพรรคการเมืองเพื่อหาเสียงเลือกตั้ง นอกจากนี้เศรษฐกิจจะรับผลดีจากการที่รัฐบาลชุดปัจจุบันเร่งใช้มาตรการกระตุ้นทั้งการบริโภคและการลงทุนเพื่อสร้างผลงานเรียกคะแนนเสียง
ดังนั้น ก่อนที่การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นจริง นักลงทุนก็จะเข้ามาลงทุนบนความคาดหวังต่อผลการเลือกตั้งที่จะออกมา อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังของนักลงทุนโฟกัสไปแค่กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้งหรือนโยบายพรรคการเมืองเท่านั้น ดังนั้นการเลือกตั้งจึงไม่ได้ทำให้หุ้นขึ้นทุกกลุ่ม เพราะหากหุ้นกลุ่มไหนไม่เกี่ยวข้อง ก็อาจจะไม่ปรับตัวขึ้น
ทั้งนี้ ในไทยนั้น มีการเก็บสถิติเอาไว้ว่า ตลาดหุ้นจะปรับขึ้นในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง ยาวไปจนถึง 1 เดือนหลังผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว โดยช่วงเวลาที่หุ้นมีโอกาสขึ้นได้มากที่สุดคือ โค้งสุดท้าย 2-3 สัปดาห์ ก่อนเลือกตั้ง และหลังจบการเลือกตั้ง 1 สัปดาห์
ข้อมูลสถิติผลตอบแทนดัชนีหุ้นไทยช่วงก่อน-หลังเลือกตั้ง หุ้นได้ประโยชน์ เลือกตั้ง 2566
สำหรับรายชื่อหุ้นที่มีโอกาสปรับขึ้นได้ดีช่วงเลือกตั้งนั้น บล.เอเซีย พลัส ได้เก็บรวบรวมสถิติในช่วงการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2544-2562 พบว่า ดังนี้
ที่มา https://www.asiaplus.co.th/asps/research_file.php?id=68436&file=1
หลังเลือกตั้ง ตลาดหุ้นยังขึ้นต่อหรือไม่?
ส่วนสถิติผลตอบแทนหลังการเลือกตั้งกลับไม่น่าสนใจนัก โดยข้อมูลจากการเลือกตั้ง 10 ครั้งหลังสุด ผลตอบแทน SET Index หลังการเลือกตั้ง 3 เดือน ปรับตัวลงเฉลี่ย 4.57% เหตุผลเป็นเพราะว่านักลงทุนต่างรอดูการบริหารงานและเสถียรภาพของรัฐบาลใหม่ ส่วนกระแสเงินจากต่างชาติมักไหลเข้าหลังการเลือกตั้งจนเป็นผู้ซื้อสุทธิในปีที่มีการเลือกตั้ง แต่ต้องรอเวลาระยะหนึ่งซึ่งคาดว่าก็รอดูเสถียรภาพของรัฐบาลเช่นกัน
ดังนั้น หากลงทุนซื้อ SET Index ก่อนเลือกตั้งจากนั้นขายหลังเลือกตั้งก็อาจจะไม่มีกำไรเลย จึงควรตัดสินใจทำกำไรเมื่อรู้ผลการเลือกตั้ง
คราวนี้มาลองดูในประเทศอื่นบ้างดีกว่า ว่าเวลามีการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นจะเป็นยังไง
เลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ จะมีผลให้หุ้นขึ้น แต่เลือกประธานาธิบดีตลาดจะนิ่งกว่าปกติ
ข้อมูลจาก US Bank ระบุว่า มีการจัดทำข้อมูลย้อนหลังไป 90 ปี เพื่อดูวงจรของตลาดหุ้นเทียบเคียงกับวงรอบที่มีการเลือกตั้ง พบว่า ในปีที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ จะมีผลการดำเนินงานจะค่อนข้างนิ่งๆ กว่าช่วงเวลาอื่นๆ
หากประเมินผลการดำเนินงาน 12 เดือน ในช่วงเวลาทั่วไป หุ้นจะให้ผลตอบแทนประมาณ 8.5% แต่ในปีที่มีการเลือกตั้งใหญ่ประธานาธิบดี ผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นจะต่ำกว่า 6% ส่วนในตลาดตราสารหนี้ ก็มีผลคล้ายกัน โดยผลตอบแทนจะอยู่ที่ประมาณ 6.5% ในปีที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่ว่าในปีทั่วๆ ไป ผลตอบแทนจะอยู่ที่ 7.5%
อย่างไรก็ดี ถ้าสหรัฐฯ มีการเลือกตั้งกลางเทอม ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นระหว่างครึ่งทางที่ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งอยู่ เป็นการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่มีขึ้นทุก 2 ปี ต่างจากเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่ 4 ปีมีครั้ง จะมีผลต่อตลาดแตกต่างกัน คือ ดัชนีตลาดหุ้น S&P500 มักจะทำผลการดำเนินงานได้โดดเด่นกว่าปีปกติที่ไม่มีการเลือกตั้งกลางเทอม
ขณะที่ หุ้นที่ได้รับผลจากปัจจัยการเลือกตั้ง จะเป็นกลุ่มหุ้นเฉพาะเจาะจง ที่มีความเกี่ยวโยงกับนโยบายรัฐบาล เช่น กลุ่มสุขภาพ ซึ่งการเลือกตั้งกลางเทอมจะเป็นตัววัดว่า นโยบายจะเดินหน้าด้วยดี ได้รับเสียงสนับสนุนจากสภารึเปล่า จากจำนวนเสียงของ สว. และ สส. คลิกที่มาที่นี่
ส่วนตัวอย่างอีกประเทศ คือ ญี่ปุ่น จะมีปฏิกิริยาตอบสนองในตลาดหุ้นคล้ายคลึงกับไทย โดยจากข้อมูลที่ Daiwa Securities Co. Ltd. เคยจัดทำขึ้นในปี 2021 ก่อนจะมีการเลือกตั้ง พบว่า ในการเลือกตั้ง สส. ที่มีขึ้น 7 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 2000-2017 มีถึง 6 ครั้ง ที่ช่วง 60 วันก่อนและหลังเลือกตั้ง ตลาดหุ้นจะปรับขึ้น
ทั้ง 2 ประเทศนี้ เป็นตัวอย่างที่ทำให้เราเห็นว่าการเลือกตั้งมีผลต่อตลาดหุ้น แต่ว่าผลอาจจะแตกต่างกันไปตามมุมองที่นักลงทุนแต่ละตลาดมี แต่ถ้าดูในเอเชียแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะคล้ายคลึงกันคือ ตลาดหุ้นขึ้นช่วงเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และไทย เป็นต้น เพราะนักลงทุนย่อมคาดหวังว่าจะมีนโยบายดีๆ ออกมา มีเสถียรภาพการเมืองที่ดีกว่าเดิมหลังการเลือกตั้ง
เอาเป็นว่า มาลุ้นกันดีกว่าว่าครั้งนี้ตลาดหุ้นไทยช่วงเลือกตั้งจะปรับขึ้นตามคาด หรือจะหักปากกาเซียน
อ่านเพิ่ม
