นโยบายเพื่อไทย

นโยบายเพื่อไทย ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท/วัน ทำได้หรือขายฝัน ?

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • องค์การแรงงานระหว่างประเทศ จัดทำรายงานล่าสุดออกมา ชี้ว่า โลกเรากำลังเผชิญสถานการณ์ค่าแรงที่แท้จริงติดลบเป็นครั้งแรกในรอบศตวรรษ ซึ่งก็เป็นผลมาจากต้นทุนการใช้ชีวิตที่พุ่งขึ้นไม่ยั้ง
  • พรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาท/วัน ภายในปี 2570 และเรียนจบปริญญาตรีต้องได้เงินเดือนเริ่มต้น 25,000 บาท/เดือน 
  • นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นสิ่งที่พรรคการเมืองทุกยุคสมัยเอามาใช้หาเสียงเลือกตั้ง โดยในครั้งล่าสุดปี 2562 พลังประชารัฐ หาเสียงว่าจะขึ้นเป็น 400-425 บาท/วัน เพื่อไทย หาเสียงว่าจะขึ้นเป็น 400 บาท/วัน 
  • ถ้าดูการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจริงๆ ตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามา ก็มีการขึ้นไป 2 ครั้ง คือ 1 ม.ค. 2563 และล่าสุด 1 ต.ค. 2565 โดยค่าแรงขั้นต่ำตอนนี้คือ 328-354 บาท 
  • ในต่างประเทศก็ใช้นโยบายค่าแรงขั้นต่ำมาหาเสียงเหมือนกัน 

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ยังไม่ทันจะเริ่มต้นจากเลือกตั้งครั้งใหม่ การหาเสียงก็ดุเดือดเสียแล้ว ล่าสุด อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ประธานที่ปรึกษาพรรคด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมก็เพิ่งออกมาพูดถึง นโยบายเพื่อไทย ที่ชื่อว่า “คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน”

หนึ่งในนโยบายสำคัญที่ถูกพูดถึงก็คือ การประกาศว่า ค่าแรงขั้นต่ำของไทย ต้องไปอยู่ที่ 600 บาท/วัน ในปี 2570 ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาจากเหล่าแรงงานได้ไม่น้อย

วันนี้พี่ทุยก็เลยจะชวนมาพูดคุยถึงเรื่องนี้กันว่า ค่าแรงขั้นต่ำไทย จะไปถึง 600 บาทได้จริงมั้ย แล้วถ้าไปถึง วันนั้นแรงงานจะยิ้มร่าหน้าใสได้จริงรึเปล่า 

ค่าแรงที่แท้จริงทั่วโลกกำลังติดลบจากเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น

ก่อนอื่น พี่ทุยชวนมาอัปเดตเรื่องราวของค่าแรงที่แท้จริงของโลกเรากันหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง 

องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) จัดทำรายงานเรื่อง ค่าแรงทั่วโลกในปี 2022-2023 ระบุว่า ปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อ เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ค่าแรงที่แท้จริงลดลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2022 โดยคาดว่าจะลดลงไป -0.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ค่าแรงที่แท้จริงติดลบเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่จัดทำรายงานมาในปี 2008 เลยก็ว่าได้ แต่ถ้าไม่นับรวมจีน ก็พบว่า ค่าแรงที่แท้จริงทั่วโลก ครึ่งปีแรก -1.4% เลยทีเดียว 

นั่นก็เป็นเพราะ จีน เป็นประเทศที่ค่าแรงเติบโตมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ขณะที่ประเทศในกลุ่ม G20 ซึ่งเป็นประเทศพัฒนาแล้ว คาดว่าจะมีค่าแรงที่แท้จริง -2.2% ในช่วงเวลาเดียวกัน ส่วนประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ค่าแรงยังเติบโตอยู่ แค่เติบโตน้อยลง อยู่ที่ 0.8%

สิ่งเหล่านี้ สะท้อนว่า ครึ่งปีแรก ค่าแรงในหลายประเทศทั่วโลก ยังปรับขึ้นได้ไม่ทันกับต้นทุนการใช้ชีวิตที่พุ่งขึ้น และคาดว่าประเด็นเรื่องต้นทุนการใช้ชีวิตที่เพิ่มขึ้นนี้ก็จะยังเป็นเทรนด์กวนใจที่ส่งผลกระทบกับค่าแรงที่แท้จริงต่อไปจนถึงสิ้นปี 2023 

นโยบายเพื่อไทย ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท/วัน ทำได้หรือขายฝัน ?

สรุป นโยบายเพื่อไทย ปี 2566-2570

  • อบรม 1 ครอบครัว 1 Soft Power ฝึกฝนทักษะให้คนในครอบครัว ผ่านศูนย์บ่มเพาะ 800 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้สร้างรายได้ได้ไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท/ปี
  • แรงงานมีรายได้ขั้นต่ำ 600 บาท/วัน
  • เรียนจบปริญญาตรี ทำงานได้เงินเดือนเริ่มต้น 25,000 บาท/เดือน

นี่เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งของนโยบายที่เกี่ยวข้องกับค่าแรงขั้นต่ำโดยตรงเท่านั้น ยังไม่นับรวมด้านนโยบายราคาสินค้าเกษตร และนโยบายเศรษฐกิจอื่น ๆ อีก 

พี่ทุยต้องบอกว่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนไทยได้ตื่นเต้นกับนโยบายการเลือกตั้งที่เกี่ยวข้องกับค่าแรงขั้นต่ำ เพราะไม่ว่ายุคสมัยไหนที่มีการหาเสียงเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ พรรคการเมืองต่างก็หยิบเอาเรื่องค่าแรงขั้นต่ำมาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่ใช้ในการหาเสียงทั้งนั้น 

เพียงแต่ว่า พอนำเรื่องค่าแรงขั้นต่ำที่พูดถึงในตอนนี้ มาลองผูกโยงกับเทรนด์ค่าแรงที่แท้จริงทั่วโลก ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่นโยบายจะไปทัชใจของคน เพราะใครๆ ก็อยากได้ค่าแรงสูงขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่เงินเฟ้อสูง หันไปทางโน้น ข้าวราดแกงก็ขึ้นราคา หันมาทางนี้ ก๋วยเตี๋ยวจะปรับราคาอีก หันไปโน่นเลย ค่าเทอมลูกก็ปรับเช่นกัน อะไรๆ ก็มีแต่แพงขึ้น ยกเว้นรายได้ของเราที่ยังเท่าเดิม 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องมาคิดต่อคือ ฝันจะเป็นจริงได้มั้ย และตัวเลข 600 บาทนี้ จะทำได้จริงหรือ ?

ถ้าลองย้อนกลับไปดูนโยบายของพรรคต่างๆ ที่ประกาศเอาไว้เกี่ยวกับค่าแรงขั้นต่ำ ในปี 2562 ก็จะพบว่า ทุกพรรค หวังจะดึงค่าแรงขึ้นมาแตะหลักสี่ทั้งนั้นเลย แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว ทุกวันนี้ เรายังไม่ได้เห็นเลข 4 กันเลย แม้แต่ค่าแรงขั้นต่ำในพื้นที่ที่แพงที่สุด

ตัวอย่างนโยบายเลือกตั้งเกี่ยวกับค่าแรงขั้นต่ำในปี 2562

พรรคพลังประชารัฐ 400-425 บาท/วัน
พรรคเพื่อไทย 400 บาท/วัน
พรรคประชาธิปัตย์ ประกันรายได้ขั้นต่ำ 400 บาท/วัน
พรรคอนาคตใหม่ รายได้ปรับตามเงินเฟ้อ
พรรคภูมิใจไทย 425 บาท/วัน 

พอเข้ามาเป็นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปรากฎว่า มีการขยับค่าแรงขั้นต่ำ 2 ครั้งคือ 

1 ม.ค. 2563 จาก 300-330 บาท/วัน เป็น 313-336 บาท/วัน
1 ต.ค. 2565 จาก 313-336 บาท/วัน เป็น 328-354 บาท/วัน  

จากตัวเลขนี้ ก็จะเห็นได้ว่า ตอนหาเสียง กล่าวไว้เช่นใด ก็ไม่ได้หมายความว่า พอเป็นรัฐบาลจริง ๆ จะทำได้ตามนั้น เพราะคนที่จ่ายค่าแรงให้กับลูกจ้าง แรงงาน ไม่ได้มีแค่รัฐบาล แต่ยังมีภาคเอกชนด้วย 

และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ใช่นึกจะปรับก็ปรับได้เลย แต่ต้องคำนึงถึงสถานการณ์เศรษฐกิจ ปัจจัยแวดล้อมด้วย อย่างเช่น ในช่วงปี 2563-2564 ที่ประเทศไทยเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด เศรษฐกิจได้รับผลกระทบ ก็ไม่สามารถปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำได้ 

นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นประเด็นที่ใช้ขายฝันกันทั่วโลก

ถ้ามองมุมกว้างมากขึ้น โดยไปดูเรื่องนโยบายหาเสียงเลือกตั้งเกี่ยวกับค่าแรงขั้นต่ำ ให้ไกลกว่าประเทศไทย ก็จะพบว่า ประเทศอื่นในโลก เวลาหาเสียง ก็หยิบเรื่องนี้มาใช้เป็นไฮไลท์การหาเสียงเช่นกัน อย่างเช่น ไบเดน และทรัมป์ ที่ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งปี 2020 ก็สู้กันเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไร เพราะค่าแรงขั้นต่ำ มีผลโดยตรงต่อรายได้ เงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของแต่ละคน 

อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ข้อมูลและวิเคราะห์ค่าแรงขั้นต่ำ minimumwage.com เคยเสนอรายงานที่น่าสนใจเอาไว้ในปี 2020 ว่า มีผลการศึกษาในปี 2014 ระบุว่า ผลจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงให้กับคนทำงานที่มีชีวิตอยู่กับความยากจน เพราะการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้น จะไปลดความต้องการจ้างแรงงานในตลาดได้ 

ขณะที่ผลการศึกษาในปี 2018 โดย David Neumark ศาสตราจารย์ จากมหาวิทยาลัย California Irvine ระบุว่า การปรับขึ้นค่าแรงด้วยการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลกลางจะถูกหักล้างด้วยการที่คนทำงานที่ได้ค่าแรงขั้นต่ำบางคนต้องสูญเสียโอกาสการทำงานไป เพราะต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น บังคับให้นายจ้างต้องพยายามลดค่าใช้จ่ายเงินเดือน  

นโยบายเพื่อไทย ด้วยการขึ้นค่าแรงจะส่งผลต่อเศรษฐกิจยังไง? 

ถ้าย้อนดูในอดีต ไทยก็มีการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำมาตั้งแต่ปี 2516 และก็ปรับขึ้นมาเรื่อย ๆ ซึ่งจากการศึกษาของของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ชี้ให้เห็นว่า หากค่าแรงเพิ่มขึ้น 1% จะทำให้ต้นทุนค่าแรงเพิ่มขึ้น 0.01% ซึ่งตลอดช่วง 10 ปี (ปี 2544 – 2554) ค่าแรงเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปี 2.8% ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 0.03% เท่านั้น

การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างช้า ๆ นอกจากจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนแล้ว ภาคธุรกิจจะค่อย ๆ ปรับตัวจนไม่ได้ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมแต่อย่างใด

ในทางกลับกันช่วงปี 2556 ที่ปรับค่าแรงครั้งใหญ่เป็น 300 บาททั่วประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ศึกษาผลจากการปรับขึ้นค่าแรงอย่างก้าวกระโดดว่า ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มสูงขึ้นถึง 0.6% ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้น 12% และส่งผลให้ GDP ของไทยลดลงถึง 1.7% เมื่อเทียบกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างค่อยเป็นค่อยไป

สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น คือ การบริโภคของคนไทยยังเติบโตได้จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าเงินเฟ้อ แต่การลงทุนของภาคธุรกิจกลับติดลบ 2 ปีติดต่อกันที่ -1.0% และ -2.2% ในปี 2556 และ 2557 ตามลำดับ จากต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) หรือธุรกิจที่มีแรงงานเป็นส่วนใหญ่ จนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้า

ในเวลาต่อมาก็มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีก 3 ครั้ง ในปี 2560, 2561 และ 2563 เฉลี่ยปีละ 2% ท่ามกลางเงินเฟ้ออยู่ที่ราว 1% ซึ่งก็มีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตในเกณฑ์ดีที่ 3-4% อีกครั้ง

การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างค่อยเป็นค่อยไปสามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานจำนวนหนึ่งได้จริง ช่วยให้ภาคธุรกิจมีเวลาในการปรับตัว ตลอดจนช่วยหนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดีขึ้น กลับกันการปรับค่าแรงกะทันหันจะกลายเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการที่ต้องแบกรับ และอาจเห็นคนตกงานจากการถูกเลิกจ้างครั้งใหญ่

ปรับค่าแรงได้ แต่ไม่ใช่ทันที 

มาถึงตรงนี้ พี่ทุยมองว่า ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ในปี 2570 นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะถึงตอนนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจด้วยว่าเป็นยังไง ในช่วง 4 ปีจากนี้เศรษฐกิจเติบโตดีหรือเปล่า 

ถ้าเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตดี การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเพื่อให้สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจก็เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยากนัก เพราะผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มขึ้น ก็ยังมีความสามารถจะแบกรับต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้นได้ 

แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี แล้วรัฐบาลพยายามผลักดันขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ก็อาจจะไม่สามารถปรับขึ้นไปถึงอัตราที่ต้องการได้ หรือถ้าพยายามปรับให้ได้ตามที่หาเสียงไว้จริงๆ แทนที่จะเกิดผลดีกับแรงงาน ก็อาจจะเป็นผลลบเหมือนที่รายงานศึกษาในต่างประเทศระบุไว้ ก็คือ นายจ้างก็จ้างคนน้อยลง ในที่สุด ความหวังดีที่อยากให้แรงงานได้ค่าแรงเพิ่มขึ้น ก็อาจจะกลายเป็นทำให้แรงงานบางส่วนตกงานไปเลยก็ได้

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile