Web 3.0 คืออะไร ? - ส่งผลกระทบอะไรกับเราบ้าง

Web 3.0 คืออะไร ? – ส่งผลกระทบอะไรกับเราบ้าง

4 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • Web 1.0 เป็นอินเทอร์เน็ตรุ่นแรกที่อนุญาตให้ผู้ใช้อ่านได้อย่างเดียว
  • Web 2.0 เป็นอินเทอร์เน็ตเวอร์ชันที่ผู้ใช้งานสามารถ “อ่านและเขียน” โดยจุดเปลี่ยนที่สำคัญของ Web 2.0 คือการมาถึงของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Twitter และ Instagram ที่เข้ามาพลิกโฉมหน้าของการแบ่งปันและการสร้างเนื้อหา
  • Web 3.0 คืออินเทอร์เน็ตเวอร์ชัน “อ่าน, เขียน และการเป็นเจ้าของโดยผู้ใช้งาน” ซึ่งผู้ใช้จะสามารถท่องไปในโลกของ Web 3.0 ได้โดยยังมีความเป็นส่วนตัวและสามารถเข้าถึงการกระจายอำนาจที่แท้จริง

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

Web 3 หรือที่เรียกว่า “Web 3.0″ หรือ อินเทอร์เน็ตรุ่นที่ 3 นั้นอาจจะเป็นคำที่ผู้อ่านทุกท่านเริ่มได้ยินกันบ่อยขึ้นในยุคปัจจุบัน และงงงวยว่าแล้ว “Web 3.0 คืออะไร” กันแน่ เพราะสื่อและบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมายต่างพูดถึงและกล่าวว่ามันจะกลายเป็นเทรนด์ที่พาโลกของเราไปสู่ยุคใหม่ 

แล้วมันจะส่งเสริมการกระจายอำนาจและลดการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Meta, YouTube, Netflix และ Amazon ได้จริงหรือไม่? และทำไม Web 3.0 ถึงกลายเป็นกระแสขึ้นมา? 

พี่ทุยจะพาไปไขข้อสงสัยว่า “Web 3.0 คืออะไร” และทำความรู้จัก Web 3.0 ให้มากขึ้น

ก่อนจะรู้ว่า Web 3.0 คืออะไร มาทำความเข้าใจ Web 1.0 และ Web 2.0 

ก่อนที่จะลงลึกและเพื่อให้เข้าใจใน Web 3.0 พี่ทุยจะพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นรากฐานของ Web 3.0 นั้นก็คือ “อินเทอร์เน็ตรุ่นแรกหรือที่รู้จักในชื่อ Web 1.0” 

Web 1.0 เกิดขึ้นประมาณปี 2533-2548 ประกอบไปด้วยชุดของลิงก์และโฮมเพจ แต่ผู้ใช้งานจะยังไม่สามารถโต้ตอบอะไรกับเว็บไซต์ได้ ผู้ใช้งานจะทำได้เพียงอ่านและเผยแพร่เนื้อหาเหล่านั้นไปให้ผู้อื่น มันจึงกล่าวได้ว่า Web 1.0 นั้นเป็นอินเทอร์เน็ตเวอร์ชัน “อ่านได้อย่างเดียว”

และโลกก็พัฒนามาอย่างต่อเนื่องเข้าสู่ยุคของ Web 2.0 ประมาณปี 2548-2563 บางคนอาจจะเรียกสิ่งนี้ว่าอินเทอร์เน็ตเวอร์ชัน “อ่านและเขียน” อินเทอร์เน็ตเวอร์ชันนี้จะอนุญาตให้คุณเปิดและแก้ไขไฟล์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งแตกต่างจาก Web 1.0 ที่คุณสามารถอ่านได้อย่างเดียว 

อินเทอร์เน็ตเวอร์ชันนี้นั้นทำให้ผู้คนไม่เพียงแต่บริโภคเนื้อหาเท่านั้น แต่พวกเขายังสามารถสร้างเนื้อหาของตนเองและเผยแพร่ในบล็อกต่าง ๆ เช่น Tumblr ซึ่งเป็นฟอรัมอินเทอร์เน็ตที่โด่งดังในยุคนั้นหรือตลาดกลางอย่าง Craigslist ที่เชื่อมความต้องการของผู้คนไว้ด้วยกันและทำให้เกิดการซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย

จุดเปลี่ยนที่สำคัญของ Web 2.0 คือการมาถึงของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Twitter และ Instagram ที่เข้ามาพลิกโฉมหน้าของการแบ่งปันและการสร้างเนื้อหา

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนก็เริ่มรับรู้และตระหนักถึงวิธีที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานและใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อสร้างโฆษณาและแคมเปญการตลาดที่ปรับแต่งมาให้เหมาะกับแต่ละบุคคล โดยเฉพาะบริษัทชั้นนำอย่าง Facebook ที่ทำการละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวด้านข้อมูลนับครั้งไม่ถ้วนและถูกปรับโดย Federal Trade Commission (FTC) กว่า 5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2562 ซึ่งถือเป็นบทลงโทษที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในคดีลักษณะดังนี้

ด้วยเหตุการณ์นี้ ผู้คนมากมายจึงตระหนักได้ว่า แม้ Web 2.0 จะนำเสนอบริการที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายและเข้าถึงได้ง่ายอย่างน่าอัศจรรย์มาสู่โลก แต่ผู้คนจำนวนมากเริ่มเบื่อหน่ายกับ “สวนสาธารณะที่มีกำแพงสูงระฟ้าล้อมรอบและติดกล้องวงจรปิดมากมายไว้ทุกมุมของสวน” ที่บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ได้สร้างขึ้นและเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้คนมากมายที่อยู่ในสวนสาธารณะแห่งนี้

จึงเป็นจุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ตเวอร์ชันใหม่ที่เรียกว่า Web 3.0

แล้ว Web 3.0 คืออะไร ?

พี่ทุยจะให้คำนิยามกับ Web 3.0 ว่าเป็นอินเทอร์เน็ตเวอร์ชัน “อ่าน, เขียน และเป็นเจ้าของ” 

โดย Web 3.0 ได้นำเสนอประสบการณ์ที่ผู้ใช้นั้นสามารถมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลและการดำเนินงานของโปรโตคอล ซึ่งหมายความว่าผู้คนสามารถมีส่วนร่วมและเป็นผู้ถือหุ้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลูกค้าหรือผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ดั่งเช่น Web 2.0

ใน Web 3.0 แพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ จะมีการสร้างโทเค็นหรือสกุลเงินดิจิทัลขึ้นมา โทเค็นหรือสกุลเงินดิจิทัลเหล่านี้จะทำงานอยู่บนเครือข่ายบล็อกเชนที่โปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ โดยผู้ที่ใช้งานนั้นจะต้องถือโทเค็นของแพลตฟอร์มเพื่อที่จะลงคะแนนหรือโหวตในข้อเสนอต่าง ๆ สำหรับแนวทางการพัฒนาและอนาคตของโปรโตคอล 

Web 3.0 จึงเป็นอินเทอร์เน็ตเวอร์ชันที่คืนความเป็นเจ้าของและการมีส่วนร่วมกับแพลตฟอร์มให้กับผู้ใช้งานได้อย่างแท้จริง

แล้ว Web 3.0 จะส่งผลต่อเราอย่างไร?

อินเทอร์เน็ตเวอร์ชันใหม่นี้จะมอบประสบการณ์การท่องเว็บที่เป็นส่วนตัวและกำหนดเองได้มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใช้งานยังได้รับประโยชน์จากการกระจายอำนาจที่มุ่งเน้นในการสร้างเว็บที่ยุติธรรมให้กับผู้ใช้งานทุกคนอีกด้วย 

และนี่คือคุณสมบัติบางส่วนที่ Web 3.0 สามารถนำเสนอให้กับผู้ใช้งาน

  • ผู้ใช้จะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจสำหรับทิศทางการพัฒนาของแพลตฟอร์มที่พวกเขาใช้งาน

Web 3.0 นั้นได้นำเสนอรูปแบบการจัดการใหม่จำนวนมากให้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างอุตสาหกรรมเกม ที่ผู้เล่นมักจะประสบปัญหาข้อบกพร่องที่นักพัฒนาทิ้งไว้หรือการอัปเดตเกมที่มักทำลายประสิทธิภาพของของอาวุธในเกม  

แต่ด้วยนวัตกรรมของ Web 3.0 เกมเมอร์สามารถลงทุนในตัวเกมและโหวตว่าควรดำเนินการอย่างไรต่อไปกับเกม ๆ นั้น ซึ่งส่งผลให้เกิดความร่วมมือระหว่างผู้เล่นและนักพัฒนา เพื่อช่วยยกระดับการเติบโตของแพลตฟอร์มได้อย่างต่อเนื่อง

  • เทคโนโลยีการเงินแบบกระจายอำนาจ

การใช้งานที่น่าสนใจของ Web 3.0 ก็คือ ระบบการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง (DeFi) ที่ผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบกับแพลตฟอร์มด้านการให้กู้ / กู้ยืมหรือเทคโนโลยีทางการเงินรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องให้ข้อมูลส่วนบุคคลกับธนาคารหรือสถาบันการเงินต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำเงินออกมาลงทุนหรือใช้ในกรณีต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย

  • Non-Fungible Token และ Fungible Token

คุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของ Web 3.0 ก็คือผู้ใช้และผู้สร้างสามารถเป็นเจ้าของอินเทอร์เน็ตได้ด้วยการเป็นเจ้าของโทเค็นที่มีทั้งแบบ Non-Fungible Token (NFT) และ Fungible Token

NFT มีอยู่บนบล็อกเชน Ethereum และเครือข่ายบล็อกเชนต่าง ๆ จำนวนมากที่เกิดขึ้นใหม่ 

NFT ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเป็นเจ้าของสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ, รูปภาพ, เพลง, ข้อความ สินทรัพย์ในเกม, สิทธิการกำกับดูแล, บัตรผ่านเข้าออก และอื่น ๆ  

Ethereum ขับเคลื่อนโดย ETH ซึ่งเป็น Fungible Token ดั้งเดิมบนเครือข่ายและใช้สำหรับการทำธุรกรรมบนเครือข่าย เช่น การซื้อ NFT บน Openseas, การแลกเปลี่ยนโทเค็นต่าง ๆ บนการแลกเปลี่ยนแบบกระจายอำนาจ (DEX) อย่าง UniSwap เป็นต้น 

  • ช่องทางในการสร้างรายได้ที่มากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น เครือข่าย Ethereum ยังเป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้ผู้ใช้งานมากมายสร้างผลตอบแทนได้มากยิ่งขึ้น เช่น การสร้างและวางขาย NFT บน Opensea, การปล่อยกู้บนแพลตฟอร์มอย่าง Aave เพื่อรับดอกเบี้ย หรือจะเป็นการนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปเป็นหลักประกันที่ MakerDAO และกู้ DAI ซึ่งเป็น Stablecoin ของแพลตฟอร์มออกมาเพื่อนำไปลงทุนในแนวทางอื่น ๆ ต่อไป

ตัวอย่างของแพลตฟอร์ม Web 3.0 ที่น่าสนใจ

  • Storj, Siacoin, Filecoin หรือ IPFS ของ Web 3.0 ระบบสำหรับเเชร์และจัดเก็บไฟล์ ทำหน้าที่เป็น Google Drive หรือ Dropbox 
  • Experty.io ของ Web 3.0 ทำหน้าที่เป็น Skype
  • Status ของ Web 3.0 ระบบสำหรับการสนทนาของผู้คน ทำหน้าที่เป็น WhatsApp และ Wechat Web
  • Essentia.one และ EOS ที่เป็นดั่งพื้นฐานของเว็บยุคใหม่ของ Web 3.0 ทำหน้าที่เป็นระบบปฏิบัติการ iOS และ Android
  • Akasha หรือ Steemit ของ Web 3.0 ทำหน้าที่เป็น Facebook 
  • Brave ของ Web 3.0 ทำหน้าที่เป็น Chrome 
  • และ Ethlance ที่สามารถรับช่วงต่อจาก Upwork สำหรับการหางานแบบกระจายอำนาจบน Web 3.0

แพลตฟอร์ม Web 3.0 ที่น่าสนใจ

ขณะนี้ Web 3.0 อาจจะดูว่าเข้าถึงได้ยากและยังไม่สามารถจับต้อง Web 3.0 ได้จริง ๆ สักที 

แต่เชื่อพี่ทุยเถอะว่า ตอนนี้มีผู้คนหลายพันคนที่กำลังทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงพื้นที่นี้ได้มากขึ้น และอีกไม่นานผู้อ่านทุกท่านก็จะได้ใช้ Web 3.0 กันโดยไม่รู้ตัวก็เป็นไปได้ 

การปฏิวัติของ Web 3.0 ที่กำลังจะมาถึงนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พี่ทุยว่า เราคงต้องปรับตัวและเรียนรู้ให้เท่าทันกับเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา เพราะการที่พัฒนาตัวเองอยู่เสมอนั้น มักจะพาไปพบกับโอกาสดี ๆ ที่ซ่อนอยู่ได้

รู้จักเหรียญ Flux เหรียญ Theme Web 3.0 ที่นี่

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile