กระแสการมาของคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) โดยเฉพาะ “Bitcoin” ที่ถือเป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายทั่วโลก และคาดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในสกุลเงินใหม่ของโลกในอนาคตใกล้ ๆ นี้ ที่จะทำให้การซื้อขายแลกเปลี่ยนทั้งในและต่างประเทศ มีความสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ในยุคปัจจุบันนี้พี่ทุยเชื่อว่าหลาย ๆ คนก็ยังคงใช้ธนบัตรหรือเหรียญในการซื้อสินค้าในชีวิตประจำวันอยู่เป็นหลัก ซึ่งก็คงรู้กันอยู่แล้วว่าเงินที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้จะมีมูลค่าไม่ได้เลย ถ้าธนาคารกลางของแต่ละประเทศไม่สำรอง “ทองคำ” เอาไว้ เพราะไม่อย่างนั้นสกุลเงินของแต่ละประเทศที่ผลิตออกมาก็จะเป็นเพียงแค่กระดาษธรรมดา ๆ เท่านั้น (แต่ในกรณีนี้จะยกเว้นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ของประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ที่สามารถพิมพ์ออกมาได้โดยไม่ต้องมีทองคำเก็บไว้)
ฟัง Podcast เพิ่มเติม
คำถามก็คือ แล้วมูลค่าของ “ทองคำ” และบิตคอยน์ มาจากไหนกัน ? ซึ่งก่อนที่จะตอบคำถามนี้ได้ พี่ทุยขอพาทุกคนย้อนเวลากลับไป เล่าถึงความเป็นมาของ “สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน” กันซักนิดนึงก็แล้วกัน
ความเป็นมาของทองคำและบิตคอยน์ ในฐานะ “สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน”
ประวัติการแลกเปลี่ยนของทองคำ
ในสมัยก่อนเมื่อนานมาแล้วก่อนที่จะมีสกุลเงินเกิดขึ้นบนโลก ผู้คนต่างทำมาหากินตามสิ่งที่ตนเองถนัดเพื่อดำรงชีวิต และทำการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างกันเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ (Barter System) เช่น นาย A ถนัดทำนาและมีข้าวอยู่จำนวนมาก แต่ต้องการกินปลา จึงขอแลกเปลี่ยนกับนาย B ซึ่งถนัดทำประมง เป็นต้น
แต่พอเวลาผ่านไป การแลกเปลี่ยนแบบนี้ ก็พบปัญหาอยู่หลายอย่าง เช่น
- นาย B ไม่ต้องการข้าวของนาย A (ความต้องการของทั้ง 2 ฝ่ายไม่ตรงกัน)
- นาย B ต้องการข้าวมากกว่าที่นาย A จะให้ได้ (ไม่มีความเป็นมาตรฐานของมูลค่าในการแลกเปลี่ยน)
ทำให้ในช่วงเวลานั้นผู้คนต่างแสวงหาวิธีการในการแก้ปัญหา เพื่อให้การแลกเปลี่ยนมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงเกิดการคิดค้น “สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน” ขึ้นมา และเกิดเป็นยุคสมัยการแลกเปลี่ยนแบบใหม่ซึ่งถูกเรียกว่า “Currency System” ซึ่งในช่วงแรกผู้คนต่างยอมรับ “ทองคำ” ในฐานะสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
“ทองคำ” เป็นแร่ชนิดหนึ่งที่ถูกค้นพบว่ามีการใช้งานจริงครั้งแรกเมื่อราว ๆ 4,600 ปีที่แล้ว โดยมักจะมีการใช้เพื่อสำหรับเป็นเครื่องประดับและของตกแต่งเป็นหลักเท่านั้น หลังจากนั้นเริ่มมีการนำเหรียญทองคำและเหรียญเงินมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนในอีก 2,000 ปีถัดมา
ด้วยลักษณะของทองคำที่มีความมันวาวสวยงาม ดึงดูดสายตาให้กับสิ่งมีชีวิตนานาชนิดต้องหลงใหล ไม่สึกกร่อนหรือขึ้นสนิม รวมถึงมีความหายากพอสมควร ทำให้ทองคำถือเป็น “เครื่องช่วยสะสมมูลค่า” ชั้นดี เพราะนอกจากจะสามารถใช้ในการแลกเปลี่ยนได้ ทองยังสามารถดัดแปลงรูปร่างให้ได้ขนาดตามที่ต้องการ โดยไม่สร้างความเสียหายให้ตัวแร่ และจากความนิยมในการใช้งานที่สูงขึ้น ทำให้ทองคำมีความต้องการมากขึ้น และมีมูลค่าที่สูงขึ้นตามมา
แต่ด้วยปริมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดและความหายากของทองคำ ทำให้แร่ชนิดนี้มีไม่เพียงพอต่อการนำมาใช้ในการแลกเปลี่ยนได้อย่างสะดวก จึงเกิดเป็นยุคสมัยของ “Gold Standard” ขึ้น เพื่อใช้ทองคำเป็นเสมือนสินทรัพย์ที่ใช้ค้ำมูลค่าของ “ธนบัตรและเหรียญ” ของสกุลเงินในแต่ละประเทศ เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนแทนนั่นเอง
ประวัติการแลกเปลี่ยนของ “Bitcoin”
จุดเริ่มต้นของบิตคอยน์ที่แท้จริงเริ่มต้นตั้งแต่ยุคสมัยของการกำเนิดของ “Internet” ในช่วงปี ค.ศ. 1974 – 1990 แต่เริ่มมามีบทบาทสำคัญมากขึ้นหลังเกิดวิกฤติซับไพรม์ (หรือ Hamburger Crisis) ในปี ค.ศ. 2006 – 2008 ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลและสถาบันการเงินถูกลดทอนความน่าเชื่อถือลงจากการเป็นหนึ่งในต้นตอของปัญหาด้านฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในอเมริกา
ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ในช่วงปี ค.ศ. 2007 ได้เริ่มมีการพูดคุยถึงคอนเซ็ปท์ของบิตคอยน์ขึ้นมา ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะออกจากระบบการเงินแบบเดิม ๆ ที่มีรัฐบาลและสถาบันการเงินคอยควบคุม โดยมีนาย “Satoshi Sakamoto” เป็นผู้ที่เสนอไอเดียเกี่ยวกับบิตคอยน์เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2008 ผ่านเอกสารที่ชื่อว่า “Bitcoin : A Peer-to-Peer Electronic Cash System” ซึ่งต่อมาถูกเรียกสั้น ๆ ว่าเป็น “Bitcoin White Paper” นั่นเอง
โดยในเอกสารนั้น ได้มีการระบุถึงลักษณะทำงานและคอนเซ็ปท์ของบิตคอยน์เอาไว้ ซึ่งถือเป็นการกำหนดคุณลักษณะของบิตคอยน์ในฐานะสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนด้วย ทำให้บิตคอยน์มีคุณสมบัติคร่าว ๆ คือ
- ไร้ตัวกลาง (Decentralize) ไม่มีรัฐบาลควบคุม ไม่มีสถาบันการเงินควบคุม ไม่มีใครที่เป็นผู้ควบคุมระบบ จึงทำให้ทุกคนที่ทำธุรกรรมผ่านบิตคอยน์ไม่ถูกกีดกั้นสิทธิใด ๆ ในการแลกเปลี่ยน
- โปร่งใส (Transparency) ทุกคนในระบบ สามารถเห็นทุก ๆ ธุรกรรมในระบบที่เกิดขึ้นได้ เสมือนเป็นพยานในการแลกเปลี่ยนระหว่างกันและกันเอง
- ไม่ระบุตัวตน (Anonymous) ไม่สามารถติดตาม แกะรอย หรือเข้าถึงตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของรหัสได้ ทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
- รวดเร็ว (Fast) การแลกเปลี่ยนบิตคอยน์ไปยังอีกซีกโลกหนึ่ง ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ในขณะที่การโอนเงินข้ามประเทศผ่านสถาบันการเงินอาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์
- เป็นสกุลเงินดิจิทัล (Digital Currency) ถูกสร้างขึ้นโดยภาษาคอมพิวเตอร์ ไม่มีรูปร่าง และไม่สามารถจับต้องได้
- แบ่งเป็นหน่วยย่อยได้ (Divisibility) เช่น Bitcoin, Milli Bitcoin, Micro Bitcoin, Bit แล Satoshi
- ปริมาณจำกัด (Limited Supply) ถูกจำกัดปริมาณไว้ที่ 21 ล้านเหรียญ
- มูลค่าขึ้นอยู่กับความต้องการ (Value is determined by demand) มีราคาที่ถูกกำหนดโดยความต้องการของตลาดในช่วงเวลานั้น ๆ
บิตคอยน์ vs ทองคำ เหมือนและแตกต่างกันยังไง ?
จากที่พี่ทุยได้เล่าให้ทุก ๆ คนฟังไปแล้วในหัวข้อด้านบน สรุปได้ว่า “ทองคำ” และ “บิตคอยน์” ถูกนำมาใช้ในฐานะสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเหมือน ๆ กัน เนื่องจากมีปริมาณที่จำกัด สามารถแบ่งหรือแยกส่วนได้ มีความหายาก จึงเหมาะสำหรับเป็นเครื่องมือในการสะสมมูลค่า และที่สำคัญมูลค่าของตัวมัน ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดทั้งคู่
บางครั้งจึงอาจจะได้ยินบางคนพูดว่า “Bitcoin is The New Gold” หรือเปรียบเสมือนว่าบิตคอยน์เป็น “Digital Gold” ในยุคสมัยปัจจุบัน เนื่องจากมีลักษณะที่คล้ายกับทองคำมาก แต่เป็นเวอร์ชั่นที่อัปเกรดขึ้นมาให้อยู่ในรูปแบบของภาษาคอมพิวเตอร์ เพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องของสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่ทองคำไม่สามารถทำได้
ในวันนี้ พี่ทุยจึงจะพาทุกคนมาทำความเข้าใจถึงลักษณะความเหมือนและความแตกต่างของสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนทั้ง 2 สินทรัพย์ว่ามีข้อใดที่นักลงทุนควรที่จะรู้ เพื่อทำความเข้าใจในเบื้องต้น ก่อนการตัดสินใจลงทุน
1. ปริมาณ (Supply)
ทั้งทองคำและบิตคอยน์เป็นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดและมีความหายาก แต่บิตคอยน์จะกำหนดปริมาณ Supply ออกมาอย่างชัดเจนว่าปริมาณทั้งหมดจะมีได้เพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น จากปัจจุบันในปี 2021 ที่มีการขุดมาแล้วประมาณ 18.6 ล้านเหรียญ และปริมาณการขุดจะยิ่งขุดได้น้อยลงเรื่อย ๆ ทุก 4 ปี หรือที่เราจะเรียกกลไกนี้ว่า Bitcoin Halving ที่ช่วยควบคุมปริมาณของบิตคอยน์ด้วย
ส่วนปริมาณของทองคำถึงแม้จะมีจำนวนจำกัด แต่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าปัจจุบันใต้พื้นดินเหลือปริมาณทองคำอีกมากน้อยแค่ไหน แต่ยิ่งสำรวจและขุดลึกมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่คุ้มกับราคาทองที่สามารถนำไปขายได้ แต่เมื่อราคาทองคำปรับขึ้นไปในอนาคต ก็จะสามารถสำรวจและขุดเพิ่มเติมได้
2. ลักษณะทางกายภาพ (Physical Appearance)
บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Asset) แตกต่างจากทองคำซึ่งสามารถจับต้องได้ ทำให้ทองคำมีประโยชน์มากกว่าในแง่ของการนำไปใช้ประโยชน์ เช่น เป็นเครื่องประดับ
3. การมีลักษณะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)
ทุก ๆ คน น่าจะรู้ว่าทองคำขึ้นชื่อว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) อยู่แล้ว แต่ในส่วนของบิตคอยน์ยังคงมีข้อโต้แย้งอีกมาก และต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเอง เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่เกิดขึ้นมาเพียง 10 กว่าปีเท่านั้นเอง บ้างก็ว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เนื่องจากมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับทองคำมาก บ้างก็ว่าไม่ใช่สินทรัพย์ปลอดภัยเนื่องจากความผันผวนที่สูงและมีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่นค่อนข้างน้อย จึงยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด
4. ต้นทุน การขนส่งและการเก็บรักษา (Production Cost, Shipping & Retaining)
โดยรวมแล้วทองคำจะมีต้นทุนที่สูงกว่าในเกือบทุกด้าน ซึ่งทำให้บิตคอยน์นั้นถือว่ามีคุณลักษณะในการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าในข้อนี้
5. วัตถุประสงค์ในการลงทุน (Investment Objective)
โดยส่วนใหญ่ นักลงทุนทองคำจะมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อเก็งกำไรและใช้เพื่อการลดความเสี่ยงของพอร์ท (Speculative & Hedging) เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่สามารถใช้ถัวเฉลี่ยความเสี่ยงพอร์ทได้ดี
ส่วนบิตคอยน์จะยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ใช้สำหรับการเก็งกำไรเป็นหลัก เนื่องจากราคายังคงมีความผันผวนที่สูง แต่สำหรับนักลงทุนที่เชื่อในบิตคอยน์ก็มองว่า บิตคอยน์ก็สามารถใช้เพื่อการลดความเสี่ยงของพอร์ทได้ไม่แตกต่างกับทองคำ
6. การกระจายศูนย์กลาง (Decentralize)
ตลาดทองคำค่อนข้างมีความชัดเจนว่ามีตัวกลางในการควบคุมตลาด (Centralized) อย่างเช่น London Metal Exchange (LME) ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดซื้อ-ขายโลหะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งข้อมูลการแลกเปลี่ยนซื้อขาย รวมถึงข้อมูลของผู้ทำธุรกรรม จะถูกเปิดเผยต่อ LME แต่กรณีบิตคอยน์เป็นตลาดแบบไร้ตัวกลาง (Decentralized) ซึ่งไม่มีรัฐบาลควบคุม ไม่มีสถาบันการเงินควบคุม ไม่มีใครที่เป็นผู้ควบคุมระบบ จึงทำให้ทุกคนที่ทำธุรกรรมผ่านบิตคอยน์ไม่ถูกกีดกั้นสิทธิใด ๆ ในการแลกเปลี่ยน
7. ความเป็นส่วนตัวในการทำธุรกรรม (Transaction Privacy)
จากที่พี่ทุยได้บอกไว้ในข้อ 6 ว่าตลาดทองคำมีตัวกลางในการดูแลตลาด ทำให้ข้อมูลการทำธุรกรรมถูกเปิดเผย และไม่อาจถือว่ามีความเป็นส่วนตัวในการทำธุรกรรมได้ ต่างจากบิตคอยน์ซึ่งมีรูปแบบบัญชีซึ่งไม่สามารถระบุตัวตนได้ (Anonymous)
8. การถูกปลอมแปลง (Counterfeitability)
แม้ในช่วงต้น ๆ ของการใช้ทองคำเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนจะมีความเข้าใจว่าทองคำไม่สามารถปลอมแปลงได้ แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน สามารถทำให้โลหะบางชนิดกลายเป็นทองคำได้แล้ว แต่ก็ยังคงยาก และไม่คุ้มต่อต้นทุนที่เสียไปในทางปฏิบัติ ในขณะที่บิตคอยน์ไม่สามารถปลอมแปลงได้เลย เนื่องจากมีรูปแบบรหัสที่ถูกกำหนดที่แตกต่างกัน
โอกาสในอนาคตของ “บิตคอยน์” จะเข้ามาแทนที่ “ทองคำ” หรือไม่ ?
ในมุมมองของพี่ทุยมองว่า ด้วยคุณลักษณะหลาย ๆ อย่างที่เหมาะสมจะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและมูลค่าที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดสะท้อนให้เห็นว่า “บิตคอยน์” กำลังเป็นที่ยอมรับจากผู้คนทั่วโลกอย่างปฎิเสธไม่ได้
แต่อย่างไรก็ตาม พี่ทุยคิดว่ายังคงมีอุปสรรคอีกมากมายที่ยังคงเป็นความเสี่ยงและอาจทำให้บิตคอยน์ไม่ประสบความสำเร็จในฐานะ “Digital Gold” ไม่ว่าจะเป็น
- ความผันผวนด้านราคาสูงมาก ซึ่งทำให้บิตคอยน์อาจขาดคุณสมบัติในเรื่องของการรักษามูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่ดี
- ยังคงมีความเสี่ยง เนื่องจากอาจไม่เป็นที่ยอมรับของรัฐบาลในหลาย ๆ ประเทศ เพราะการที่บิตคอยน์ไม่สามารถควบคุมได้ ก็จะทำให้รัฐบาลไม่สามารถควบคุมปริมาณเงินที่จะไหลเวียนในระบบได้ ซึ่งจะกระทบโดยตรงต่อการออกนโยบายการเงินและการคลังของแต่ละรัฐบาล
- ปัจจุบันการนำบิตคอยน์มาใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ยังคงมีอยู่น้อยมาก แถมต้นทุนยังคงสูงและใช้เวลาที่นานกว่าคริปโทเคอร์เรนซีอื่น ๆ
แม้ว่า “บิตคอยน์” อาจมีความเสี่ยงและมีความไม่แน่นอนในอนาคตสูง แต่ในวงการ Cryptocurrency ยังคงมีโอกาสและทางเลือกของสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งบิตคอยน์เสมือนเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของระบบสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนในยุคดิจิทัลเท่านั้น
พี่ทุยยังคงเชื่อว่า ในอีกอนาคตอันใกล้นี้ เราจะเริ่มมองเห็นโอกาสในการลงทุนในตลาด Cryptocurrency มากขึ้น และในแง่มุมของนักลงทุนการเริ่มต้นศึกษาและกระจายการลงทุนเข้าไปในตลาด Cryptocurrency ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
อ่านเพิ่มเติม