แม้จะผ่านกฎหมายมาตั้งแต่เดือน มิ.ย. ทว่าผลบังคับใช้เพิ่งจะมีในวันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยให้สกุลเงินคริปโทเคอร์เรนซีชื่อดัง “บิตคอยน์” สามารถใช้ได้อย่างถูกกฎหมายในประเทศ El Salvador พร้อมกับการสนับสนุนของรัฐบาลอย่างเต็มที่ทั้งออกแอปพลิเคชันและแจกเงินเพื่อให้คนหามาใช้สกุลเงินดิจิทัลอีกด้วย
พี่ทุยจะสรุปให้ว่าทำไม El Salvador ถึงหันมาใช้สกุลเงินบิตคอยน์ และผลตอบรับในช่วงแรกเป็นอย่างไรบ้าง
ทำไม El Salvador ต้องใช้บิตคอยน์
เอลซัลวาดอร์เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกากลาง ทางตอนใต้ของสหรัฐฯ และใช้เงินสกุล “ดอลลาร์สหรัฐฯ” เป็นสกุลเงินหลักมาโดยตลอด โดยมี “Nayib Bukele” ชายวัย 40 ปี ผู้หลงใหลในเทคโนโลยีได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอย่างถล่มทลายเมื่อ 2 ปีก่อน
ประธานาธิบดีคนปัจจุบันผลักดันให้สภาผ่านกฎหมายยอมรับสกุลเงินบิตคอยน์ให้สามารถใช้จ่ายได้ในประเทศควบคู่ไปกับสกุลเงินดอลลลาร์ โดยหวังว่าการตัดสินใจในครั้งนั้นจะช่วยให้ชาวเอลซัลวาดอร์มีชีวิตที่ง่ายขึ้น
สาเหตุที่ต้องทำเช่นนั้น เป็นเพราะชาวเอลซัลวาดอร์ส่วนใหญ่มีความฝันที่จะไปทำงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ เพื่อหลีกหนีความยากจน และนำเงินจากประเทศที่เจริญกว่ากลับเข้ามา
เอลซัลวาดอร์มีมูลค่าการโอนเงินผ่านธนาคารกลับเข้าประเทศสูงถึง 6,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณเกือบ 2 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นถึง 1 ใน 5 ของเศรษฐกิจประเทศในปี 2019 และยังปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะยิ่งสูงขึ้นไปอีกเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัว ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดีว่า ชาวเอลซัลวาดอร์ที่เข้าไปทำงานในสหรัฐฯ จะมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น
จากข้อมูลของ World Bank พบว่า สัดส่วนเฉลี่ยสำหรับค่าใช้จ่ายในการส่งเงินกลับไปยังเอลซัลวาดอร์ อยู่ที่ 2.854% ของการส่งเงินกลับประเทศ 200 ดอลลาร์ เมื่อปี 2020 โดยแม้จะค่อย ๆ ลดลงจาก 5.2% ในปี 2012 แต่หากคิดจากมูลค่า 6,000 ล้านดอลลาร์แล้ว ก็นับเป็นเงินจำนวนไม่น้อย
ดังนั้น การหันมาใช้บิตคอยน์ จะเป็นการตัด “คนกลาง” อย่างธนาคารออกไป และลดค่าธรรมเนียมลง โดยนอกจากจะเหมาะกับประเทศที่ไปทำงานต่างประเทศแล้ว ยังเหมาะกับประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่กว่า 70% ไม่มีบัญชีธนาคารอย่างเอลซัลวาดอร์ เมื่อต้องการปรับระบบการเงินของประเทศสู่ระบบดิจิทัล
El Salvador ปรับภาพลักษณ์ดึงการลงทุนต่างชาติ
ในการปรับประเทศเข้าสู่ดิจิทัลโดยมีบิตคอยน์เป็นตัวชูโรงในครั้งนี้เอลซัลวาดอร์มีแผนการผลักดันอยู่ โดยทางการได้เปิดให้ใช้แอปพลิเคชันกระเป๋าตังค์ “Chivo” ซึ่งเป็นแสลงท้องถิ่นที่แปลว่า “เจ๋ง” (cool) และใส่บิตคอยน์ในกระเป๋าให้สำหรับประชาชนที่โหลดมาใช้คนละ 30 ดอลลาร์ พร้อมกับติดตั้งเครื่องแลกเปลี่ยนเงินสดเป็นบิตคอยน์อีก 200 แห่งทั่วประเทศ
ก่อนหน้านี้เอลซัลวาดอร์เพิ่งประกาศว่ามีบิตคอยน์อยู่ในมือมากถึง 400 บิตคอยน์ และตัวประธานาธิบดีอย่าง Bukele ยังประกาศผ่านทวิตเตอร์ของตัวเองว่าได้ซื้อบิตคอยน์นำร่องไปแล้วอีก 200 บิตคอยน์
(ที่มา : Al Jazeera)
นับเป็นเรื่องใหม่ของอเมริกากลางและใต้เลยทีเดียว ที่มีประธานาธิบดีที่มีภาพลักษณ์เป็น “คนรุ่นใหม่” อย่าง Bukele โดยนอกจากการเป็นประธานาธิบดีที่หนุ่มที่สุดหลังรับตำแหน่งในวัยเพียง 37 ปีแล้ว ยังใช้ทวิตเตอร์ในการสื่อสารประจำวันไม่ต่างอะไรกับนักธุรกิจอย่าง Elon Musk ซึ่งทวิตของ Bukele มีเนื้อหาตั้งแต่การพูดถึงนโยบายประเทศไปจนถึงความหลงใหลในเบสบอลและการโต้คลื่น
ไม่เพียงเท่านั้น Bukele ยังเป็นอดีตนักการตลาด จึงไม่แปลกที่จะกำหนดจุดยืนของประเทศเป็นประเทศที่เปิดรับเทคโนโลยี ดังนั้น การยอมรับบิตคอยน์ในครั้งนี้ จึงเป็นการประกาศต่อนานาชาติว่าเอลซัลวาดอร์พร้อมจะเปิดรับการลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี โดยพร้อมให้สัญชาติกับต่างชาติที่ลงทุนในเอลซัลวาดอร์เกิน 2 บิตคอยน์
บททดสอบบิตคอยน์ในโลกจริง
แต่เมื่อเป็น “ของใหม่” ที่แตกต่างกับชีวิตประจำวัน ย่อมนำมาซึ่ง “ความระแวง”
ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัย Central American University พบว่า มีเพียงแค่ 4.8% จาก 1,281 คนเท่านั้นที่เข้าใจว่าบิตคอยน์คืออะไรและใช้อย่างไร ในขณะที่ 68% ไม่เห็นด้วยกับการให้บิตคอยน์เป็นสกุลเงินตามกฎหมาย ความไม่พอนี้นำมาซึ่งการประท้วงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในเอลซัลวาดอร์
“เราไม่รู้จักค่าเงินนี้ เราไม่รู้ว่าบิตคอยน์มาจากไหน และเราไม่รู้ด้วยว่าบิตคอยน์จะให้ประโยชน์หรือผลเสียกันแน่ พวกเราไม่รู้อะไรเลย” Claudia Molina เจ้าของร้านขายเสื้อยืดและของที่ระลึกวัย 42 ปี กล่าวกับสำนักข่าว Sky News
นอกจากนี้ Moody’s สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือในการชำระหนี้ชื่อดัง ยังได้ลดเครดิตของเอลซัลวาดอร์ จากระดับ B3 เป็น Caa1 หรือจากระดับ “อาจมีการเก็งกำไรและมีความเสี่ยงสูง” เป็น “ไม่มีคุณภาพและมีความเสี่ยงสูงมาก” โดยให้เหตุผลว่า การเปิดรับบิตคอยน์จะลดความสามารถในการกำกับดูแล และยังอาจจะสร้างความไม่พอใจให้กับนานาชาติได้
การลดเครดิตในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อเอลซัลวาดอร์ที่อยู่ระหว่างการขอกู้เงิน 1,000 ล้านดอลลาร์จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ซึ่ง IMF เคยเขียนบทความในภาพรวมโดยไม่ได้ระบุชื่อประเทศว่า การยอมรับสกุลเงินดิจิทัลเป็นความเสี่ยงอย่างมาก เพราะจะสั่นคลอนเสถียรภาพของเศรษฐกิจในภาพรวม
IMF ตั้งข้อสังเกตว่า รายได้ของรัฐบาลอาจได้รับผลกระทบก็เป็นได้ เพราะความผันผวนของสกุลดิจิทัล เช่น กรณีตั้งภาษีเป็นสกุลเงินดิจิทัล แต่รายจ่ายต่าง ๆ ของรัฐยังทำในสกุลเงินท้องถิ่น รวมถึงยังลดความสามารถในการใช้ “นโยบายการเงิน” ในการจัดการเศรษฐกิจด้วย
“ปกติแล้วเมื่อประเทศใดประเทศหนึ่งนำเอาสกุลเงินต่างประเทศมาใช้เป็นของตัวเอง ประเทศนั้นจะ ‘นำเข้า’ ความน่าเชื่อถือของนโยบายการเงินของต่างประเทศเข้ามาด้วย พร้อมความหวังที่จะนำพาเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับธุรกิจต่างชาติ” IMF ระบุในบทความเมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2021 “แต่ทั้งหมดนี้จะทำไม่ได้เมื่อใช้สินทรัพย์ดิจิทัล”
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่รู้กันดีว่า บิตคอยน์ยังผันผวนตามตลาด ซึ่งอาจเป็นจุดที่ทำให้ต้นทุนในการทำธุรกิจสูงขึ้นก็เป็นได้
อ่านเพิ่ม
แม้จะมีหลายประเทศที่เริ่มใช้สกุลเงินดิจิทัล เช่น เวเนซุเอลาที่ใช้เงินดิจิทัลของตัวเอง แต่ทั้งหมดล้วนเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ออกภายใต้การควบคุมของรัฐ แตกต่างกับบิตคอยน์ที่เป็น “การกระจายศูนย์การเงิน” (Decentralized Finance) หรือ DeFi อย่างแท้จริง เพราะไม่มีรัฐบาลคอยเข้าควบคุมปริมาณเงินภายในระบบ
พี่ทุยว่า การเคลื่อนไหวของเอลซัลวาดอร์ในครั้งนี้จึงเป็น “บททดสอบ” ครั้งใหญ่ของ DeFi เลยทีเดียว ซึ่งทั่วโลกคงจับตาเอลซัลวาดอร์เป็นตัวอย่างของการใช้สกุลเงินที่ไม่มีรัฐบาลใดกำกับอย่างบิตคอยน์