หลังจากไม่กี่ปีก่อนเซ็นทรัลเข้าลงทุนในหุ้น Grab ไปแล้ว ล่าสุด 2 ธ.ค. 2564 “CENTRAL ซื้อ Grab” อีกครั้ง เป็นการเข้าถือหุ้นแกร็บเพิ่ม
ทำไมเซ็นทรัลถึงทำอย่างนั้น ? แน่นอนว่าเรากำลังเร่งเข้าสู่โลกยุคดิจิทัล แต่การปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลไม่ใช่เพียงแค่การรับชำระเงินด้วยเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีเพียงอย่างเดียว ยังมี “สิ่งที่ไม่ใช่เรื่องใหม่” อย่างการเข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ด้วย
พี่ทุยว่า ความพยายามเชื่อมโยงช่องทาง Offline To Online หรือ Online To Offline เพื่อเชื่อมทุกช่องทางเข้าด้วยกัน หรือที่ภาษาการตลาดเรียกว่า Omnichannel นั้น เป็นสิ่งที่ “เครือเซ็นทรัล” กำลังพยายามอย่างหนักมาตั้งแต่ปี 2018
การทุ่มเงิน 4,500 ล้านบาท เพื่อเข้าถือหุ้นแกร็บแท็กซี่ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการ “Super App” ที่ทำได้ทุกอย่างตั้งแต่เรียกรถไปจนถึงสั่งอาหารอย่าง Grab ก็ถือเป็นหนึ่งในความพยายามเปลี่ยนโฉมหน้าธุรกิจของตัวเองด้วยเช่นกัน
CENTRAL ซื้อ Grab เพิ่ม
เครือเซ็นทรัล หรือ Central Group เป็นเครือบริษัทด้านค้าปลีกและบริการในประเทศไทย โดยมีบริษัทในเครือหลัก ๆ ที่เราคุ้นหู้กันดีอย่าง “บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” หรือ CRC “บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)” หรือ CPN และ “บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน)”
ในปี 2019 “เครือเซ็นทรัล” ได้ประกาศเข้าลงทุน 6,000 ล้านบาท ถือหุ้นแกร็บประเทศไทยอยู่ 30% ก่อนที่อีกเกือบ 3 ปีต่อมา ทางเครือเซ็นทรัลได้ให้ CRC เข้าถือหุ้นแกร็บเพิ่ม โดยประกาศมาเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2021
ในคราวนี้ CRC ได้ส่ง Hillborough Group ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ CRC เข้าซื้อหุ้นของ Porto Worldwide Limited (Porto WW) นิติบุคคลที่มีที่ตั้งอยู่ในฮ่องกง เป็นจำนวน 133,545,740 หุ้น หรือคิดเป็น 67% ของหุ้นทั้งหมด โดยซื้อมาจากผู้ถือหุ้นเดิมอย่าง OAL Holding Limited ซึ่งเป็นนิติบุคคลจากเกาะอังกฤษ
สำหรับบริษัท Porto WW นั้น นอกเหนือจากบริษัทย่อยของ CRC จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แล้ว ผู้ถือหุ้นอีก 33% ที่เหลือ คือบริษัท Chipper Global Limited ซึ่งเป็นบริษัทที่ทางเซ็นทรัลพัฒนาถือหุ้นทางอ้อมอยู่เต็มที่ 100%
สำหรับทาง Porto WW เป็นผู้ลงทุนในแกร็บประเทศไทยในสัดส่วน 40% หรือสรุปคือ เป็นการซื้อบริษัทที่ถือหุ้นแกร็บประเทศไทยอยู่ในปัจจุบันนั้นเอง
เซ็นทรัลได้หุ้นบริษัทแม่ Grab จริงหรือ ?
ทางบริษัทแม่ของแกร็บประเทศไทย หรือ Grab Holding Limited เข้าตลาดหุ้น Nasdaq ในสหรัฐฯ ไปเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2021 (หรือวันที่ 3 ธ.ค. 2021 ตามเวลาไทย) โดยมีราคาหุ้นเสนอขายครั้งแรก (IPO) อยู่ที่ 10 ดอลลาร์ ก่อนที่จะพุ่งขึ้นไป 19% อยู่ที่ 13.06 ดอลลาร์
โดยปิดตลาด ณ วันที่ 2 ธ.ค.2021 ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ หุ้น GRAB ได้ปรับลดลงถึง 20% ปิดที่ 8.75 ดอลลาร์ แต่การเข้า IPO ครั้งนี้ ก็นับเป็นการเปิดตัวในตลาดหุ้นสหรัฐที่ใหญ่ที่สุดสำหรับบริษัทที่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยทาง Porto WW มีสิทธิ์ 1 ครั้ง สำหรับแลกหุ้นของ “แกร็บประเทศไทย” ให้เป็นหุ้นของ Grab Holding Limited ซึ่งหากทาง Porto WW ตัดสินใจแลกหุ้นดังกล่าว จะทำให้ Porto WW มีหุ้นอยู่ 1.06% จากจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านบาท โดยทาง Porto WW มีเวลาใช้สิทธิ์ 60 วัน หลังแกร็บเข้าเทรดในตลาดหุ้นครบ 6 เดือน หรือภายในเดือน ม.ค. 2022 เรามาจับตาดูกันว่าจะเป็นอย่างไร
ทำไมเซ็นทรัลให้ความสำคัญกับ Grab?
พี่ทุยว่าทุกคนรู้ดี ธุรกิจห้างร้านทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับสึนามิดิจิทัลที่ทำให้ร้านรวงทยอยล้มหายตายจากกันไป จนถึงขั้นขนานนามว่าเป็น “วันสิ้นโลกของค้าปลีก”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในสหรัฐฯ ที่ร้านค้าปลีกปิดตัวลงไปอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2019 ในสหรัฐฯ มีร้านค้าที่ปิดตัวลงถึง 9,302 แห่ง ปรับเพิ่มขึ้น 59% จากปี 2018 และสูงสุดตั้งแต่มีการเก็บตัวเลขมาในปี 2012
ในปี 2017 บรรดาสื่อของสหรัฐฯ ต่างเรียกเหตุการณ์ที่ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมหรือที่เรียกว่า Brick and Mortar (ร้านค้าเเบบที่มีหน้าร้าน) ต่างต้องทยอยปิดตัวลงไปว่า “Retail Apocalypse” หรือวันสิ้นโลกของค้าปลีก และยังมีการใช้ศัพท์คำนี้มาจนถึงปัจจุบัน
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปชอปออนไลน์มากขึ้น ขณะที่โควิด-19 เป็นตัวเร่งปฏิกริยาให้ผู้บริโภคสะดวกใจที่จะสั่งซื้อของกินของใช้ผ่านทางออนไลน์มากขึ้น
แล้วเซ็นทรัลทำอย่างไร ?
ในปี 2018 ทางเซ็นทรัลได้ประกาศแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ในชื่อ “New Central, New E-conomy” ซึ่งทุ่มงบถึง 4.7 หมื่นล้านบาท โดยหนึ่งในกลยุทธสำคัญของเซ็นทรัลคือการให้ความสนใจกับการทำ Omnichannel เพื่อเชื่อมช่องทางขายต่าง ๆ ทั้ง Online และ Offline เข้าด้วยกัน
ตัวอย่างที่พี่ทุยเห็นบ่อยที่สุดคือ การเอาร้านค้าในห้างเซ็นทรัลยกเข้าไปไว้ในแกร็บ หรือแม้กระทั่งการจัดส่งสินค้าภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถทำได้สะดวกเมื่อมีแกร็บไว้ในมือ
นอกเหนือจากนี้ยังมีบริการที่ไม่เกี่ยวข้องกับแกร็บโดยตรงอย่างการ Chat & Shop หรือการแชทเพื่อเลือกซื้อสินค้าที่กำลังนิยมอย่างมากในปัจจุบัน และ Personal Shopper On Demand ผ่านทางโทรศัพท์ ซึ่งจะช่วยลูกค้าชอปปิงสินค้าได้เหมือนเราเดินไปสอบถามกับพนักงานในห้างเลย โดยบริการนี้เคยเป็นเพียงบริการพิเศษสำหรับ VIP แต่เมื่อเกิดการระบาดของโควิด-19 ก็ทำให้เซ็นทรัลตัดสินใจปรับตัวนำบริการนี้มาเปิดใช้ให้กับลูกค้าทุกคนเมื่อต้นปี 2021
ในเดือน พ.ย.2021 ทางหัวเรือใหม่ของเครือเซ็นทรัล คุณโอลิวิเยร์ บรง ซีอีโอคนใหม่ ได้ประกาศแผนสำหรับปี 2022 โดยตั้งเป้าจะผลักดันให้ยอดขายพุ่ง 2 เท่าภายใน 5 ปีข้างหน้าให้ได้ ซึ่ง 1 ใน 6 แผนยุทธศาสตร์ที่ทางเซ็นทรัลประกาศมา ก็ยังคงให้ความสำคัญกับ Omnichanel อยู่เช่นเดิม
การที่เซ็นทรัลลงทุนกับแกร็บเพิ่มก็เป็นเสมือนหนทางเชื่อมต่อไปสู่ลูกค้าของเซ็นทรัลในยุคที่ผู้บริโภคลดการเดินห้างลงนั่นเอง