เรื่องมลภาวะทางอากาศ ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัว เพราะพวกเราทุกคนต้องสูดอากาศหายใจเข้าออกอยู่ทุกวัน หลายคนก็คงได้ยินข่าวเกี่ยวกับน้ำแข็งขั้วโลกละลาย เหตุการณ์ภัยพิบัติต่างๆ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยคนไทยน่าจะสัมผัสได้ชัดเจนก็คือเรื่อง ความร้อน ที่ 2-3 ปีล่าสุดนี้ร้อนขึ้นเป็นพิเศษ จนทุกคนสัมผัสได้
ภาพแผนที่แสดงอุณหภูมิความร้อนสูงสุดในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ข่าวคนตายเพราะความร้อน ทั้งจากญี่ปุ่น จีน อินเดีย หรือแม้แต่แคนาดา มีคนเสียชีวิตรวมกันแล้วหลายสิบคน เป็นเหตุการณ์สุดสลดที่บอกเราได้เป็นอย่างดี ว่าอุณหภูมิของโลกเรากำลังสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เกินกว่าที่สัตว์ต่างๆ รวมถึงพวกเราจะปรับตัวได้ทัน และถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ต้องแย่แน่ๆ
มลภาวะจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง กำลังทำลายโลกเราอย่างไม่มีวันหวนคืน
ส่วนสำคัญที่ทำให้มันเป็นแบบนี้ มาจาก “ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect)” โดยส่วนหนึ่งของสาเหตุมาจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงต่างๆ ทั้งจากรถยนต์กว่า 1,000 ล้านคันที่ต้องเผาถ่านหิน และปล่อยคาร์บอนปริมาณมหาศาล หรือโรงงานไฟฟ้าถ่านหินที่ต้องเผาถ่านหิน เพื่อให้พลังงานแก่บ้านเรือน และปล่อยมลภาวะปริมาณมหาศาลเป็นประจำทุกวัน
หลายเมืองใหญ่ในโลกก็กำลังประสบปัญหาเหล่านี้ ตัวอย่างที่ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนก็คือ ประเทศจีน ที่ในเมืองมีแต่ฝุ่นควัน ชาวเมืองต้องใส่หน้ากากกันฝุ่นควันอยู่ตลอดเวลาเมื่อออกมาข้างนอกที่พักอาศัย
ภาพคนใส่หน้ากากกันมลภาวะในประเทศจีน
การเปลี่ยนผ่านจากพลังงานสกปรกสู่พลังงานที่สะอาดกว่า
พวกเราอาจจะยังมีความหวังอยู่บ้าง เพราะในหลายประเทศก็มีความพยายามแก้ปัญหามลภาวะที่เป็นพิษ และปัญหาโลกร้อนแล้ว ทั้งด้วยการผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยมลพิษอย่างเข้มงวด รวมถึงผลักดันการใช้พลังงานสะอาดอย่างพลังงานแสงอาทิตย์
รถไฟฟ้ากำลังชาร์จไฟในที่สาธารณะ
อย่างเยอรมันเองก็ผลักดันกฎหมายให้แบนรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษภายในปี 2030 ให้รถทุกคันจะต้องเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดอย่างพลังงานไฟฟ้า
หรืออย่างเดนมาร์กก็พึ่งทำลายสถิติโลกด้านการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด และถูกยกย่องให้เป็นผู้นำด้านการลดคาร์บอนไดออกไซด์ และยังตั้งเป้าที่จะก้าวเป็นประเทศพลังงานสะอาด 100% ภายในปี 2050 อีกด้วย
ยังมีอีกหลายประเทศที่กำลังผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานที่สะอาดและไร้มลภาวะ ซึ่งนอกจากรัฐบาลจะผลักดันแล้ว ภาคส่วนอื่นๆอย่างเอกชนเอง ก็มีโครงสร้างพัฒนาต่างๆมากมาย ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังถูกพัฒนาให้มีราคาที่จับต้องได้ การขยายจุดชาร์จไฟให้ครอบคลุมพื้นที่ และรวมถึงโครงการที่นำเทคโนโลยีที่กำลังถูกพูดถึงอย่าง Blockchain มาช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้การใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เป็นไปได้มากขึ้นในวงกว้าง เพราะเราไม่จำเป็นต้องมีแผงโซล่าร์ของตัวเอง ก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยโลกของเราได้
พี่ทุยขอแนะนำให้รู้จัก “Brooklyn microgrid” และ “Power Ledger” โครงการที่จะช่วยให้การใช้พลังงานสะอาดขยายสู่วงกว้างมากยิ่งขึ้น
Blockchain เครื่องมือที่ช่วยเข้าถึงพลังงานได้ในราคาที่ถูกกว่า
นอกจากปัญหาเรื่องมลภาวะที่เป็นพิษจากการเผาผลาญถ่านหินแล้ว ในหลายประเทศ อำนาจการผลิตไฟฟ้ายังถูกผูกขาดไว้ที่รัฐบาล หรือบริษัทใหญ่ๆ ไม่กี่บริษัท ทำให้ราคาไม่สามารถถูกลงได้มากกว่านี้ รวมถึงบางแห่งยังต้องอาศัยการเดินทางของกระแสไฟฟ้าจากโรงงานผลิตที่ไกลหลายสิบกิโลเมตรกว่าจะไปถึงที่พักอาศัยของพวกเรา
อีกปัญหาใหญ่ คือ เมื่อเกิดปัญหาขัดข้องทางเทคนิคต่างๆจนไฟดับ คนนับแสนต้องรอให้บริษัทต้นทางหรือภาครัฐ ค้นหาสาเหตุและทำการแก้ไข ซึ่งหลายครั้งกินเวลานานหลายชั่วโมงจนถึงหลายวัน เราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ถ้าไม่มีเครื่องปั่นไฟ ก็ต้องรออย่างเดียว หรือในกรณีที่เกิดภัยพิบัติก็จะยิ่งแย่เข้าไปอีก อาจกินเวลาเป็นเดือน ที่ต้องอยู่แบบไม่มีไฟฟ้าใช้
ส่วนการจะให้ทุกบ้านติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ อาจจะยังเป็นไปได้ลำบาก ด้วยปัจจัยหลายอย่าง จึงทำให้เกิดโครงการนำร่อง โดยนำ Blockchain เข้ามาช่วยอย่าง Brooklyn microgrid และ Power Ledger
พวกเค้าใช้ Blockchain เข้ามาช่วยให้บ้านที่มีแผงโซล่าเซลล์สามารถขายพลังงานไฟฟ้าให้แก่เพื่อนบ้านได้ ในขณะเดียวกันเพื่อนบ้านก็สามารถมีทางเลือกในการซื้อพลังงานที่สะอาดและราคาถูกกว่าได้ และกำหนดได้ว่าจะซื้อพลังงานจากโรงงานไฟฟ้าแบบเดิม หรือจะซื้อพลังงานที่สะอาดกว่า ปริมาณเท่าไหร่ หรือ เวลาไหนบ้าง
โดยการซื้อขายนี้ใช้ความสามารถในการบันทึกและแลกเปลี่ยนมูลค่าของ Blockchain เข้ามาช่วยในการจัดการซื้อขาย และส่งพลังงานแบบอัตโนมัติ เหมือนกับที่ Blockchain ทำให้การส่ง Bitcoin เป็นไปแบบ Peer to Peer คนส่งคนรับเชื่อมต่อกันโดยตรง โดยไม่ต้องมีคนกลางอย่างธนาคาร ในกรณีของพลังงานก็เช่นกัน เราซื้อขายรับส่งพลังงานถึงกันได้โดยตรงภายในชุมชนของเราเองได้เช่นกัน
แผงโซล่าเซลล์บนดาดฟ้าของตึกที่เข้าร่วมในโครงการ Brooklyn microgrid
Brooklyn Microgrid คือโครงการที่เกิดขึ้นที่บรุกลิน นิวยอร์ก ระหว่างตึกแถวที่มีการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ และสมาชิกเครือข่ายตึกรอบๆ ที่แสดงเจตจำนงว่าพวกเค้ามีความต้องการใช้พลังงานสะอาด จึงรวมตัวกันและวางโครงสร้างพื้นฐานให้สามารถซื้อและรับพลังงานสะอาดได้ ซึ่ง Blockchain ทำหน้าที่เป็นระบบบันทึกอัตโนมัติว่า
- มีพลังงานพร้อมใช้เหลือเท่าไหร่
- ราคาเท่าไหร่
- พลังงานอยู่ที่ไหน
- และมันต้องไปที่ไหน
อีกโครงการหนึ่งที่น่าสนใจ คือ Power Ledger
เป็นโครงการของบริษัทพลังงานจากออสเตรเลียที่ได้ทุนสนับสนุนจากคนทั่วไปและรัฐบาลออสเตรเลีย เพื่อใช้ในการพัฒนาระบบที่ทำให้พลังงานเหลือใช้ของบ้านที่ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ สามารถขายพลังงานเหล่านั้นกับเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียงได้ ซึ่งโดยรวมก็มีวิธีการในแนวทางเดียวกันกับ Brooklyn Microgrid
แต่ที่แตกต่างกัน คือ Power Ledger ขยายพื้นที่การใช้ระบบดังกล่าวไปยังประเทศอื่นๆด้วย เช่น การไปจับมือร่วมลงทุนระบบนี้ กับ บริษัทพลังงานอันดับ 2 ของญี่ปุ่นอย่าง Kansai Electric Power Co. หรือแม้แต่ประเทศไทยเอง Power Ledger ก็เข้ามาร่วมมือกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังอย่างแสนสิริ เพื่อร่วมกันนำร่องโครงการซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer to Peer ด้วย Blockchain ในโครงการ T77 ย่านสุขุมวิท 77 ด้วยงบลงทุนกว่า 50 ล้านบาท พร้อมแผนขยายไปยังโครงการของแสนสิริอีก 20 โครงการภายในปี 2018 นี้
ภาพตัวแทนจาก แสนสิริ บีซีพีจี และ Power Ledger
นอกจากนั้นยังร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อนำระบบนี้ไปใช้ในภายในมหาวิทยาลัยเพื่อนำร่องให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นมหาวิทยาลัยที่ใช้พลังงานสะอาดเป็นที่แรกๆ อีกด้วย ในอนาคตอันใกล้หลายคนที่กำลังอ่านบทความของพี่ทุยอยู่นี้ อาจจะได้ไปซื้อบ้าน หรือคอนโด ที่ใช้เทคโนโลยีอย่าง Blockchain มาช่วยลดมลภาวะที่เป็นพิษแถมประหยัดค่าไฟในระยะยาวก็เป็นได้
สรุป
สิ่งที่พี่ทุยตั้งใจนำเรื่องราวเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม พิษภัยของมลภาวะมาบอกเล่า เพราะอยากให้ทุกคนร่วมกันตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และร่วมกันผลักดันสินค้าหรือบริการต่างๆ ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมของเราอย่างยั่งยืน ในฐานะผู้บริโภคที่มีกำลังซื้ออยู่ในมือ
เพราะพวกเรา และลูกหลานของเราอีกหลายคน ยังคงต้องอยู่กับโลกใบนี้ไปอีกนาน ปัญหาโลกร้อนและมลพิษเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ทุกคน ต่อให้พวกเราทำตามแผนการเงินการลงทุนเพื่อสั่งสมความมั่งคั่งได้สำเร็จ แต่ถ้าโลกเรามันอยู่ไม่ได้ สิ่งที่เราประหยัดอดออม ลงทุน ลงแรงมาก็อาจจะสูญเปล่า ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้ว่าจะไม่พินาศในช่วงชีวิตของพวกเรา แต่มรดกของเราก็อาจจะสูญเปล่าในช่วงชีวิตรุ่นลูกรุ่นหลานของเราก็เป็นไปได้