เปรียบเทียบ “รถเมล์” ไทย กับ ต่างประเทศ แตกต่างกันแค่ไหน ทำไมของเราถึงสู้ไม่ได้ ?

เปรียบเทียบ “รถเมล์” ไทย กับ ต่างประเทศ แตกต่างกันแค่ไหน ทำไมของเราถึงสู้ไม่ได้ ?

   Money Buffalo

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ผู้ให้บริการ “รถเมล์” ในปัจจุบัน คือ ขสมก. หรือที่เค้าเรียกกันว่า “องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ” รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยมีรถเมล์ใช้ครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2450 เดิมใช้กำลังม้าลากจูง และพัฒนามาเป็นรถเมล์ที่ใช้เครื่องยนต์ในปี พ.ศ. 2456 นับจนถึงตอนนี้เท่ากับว่าคนไทยมีรถเมล์ใช้มายาวนานถึง 111 ปีแล้ว

ขึ้น “รถเมล์” ทีไรคนก็แน่น แต่ทำไม ขสมก. ถึงขาดทุนทุกปี ?

ขสมก. เป็นรัฐวิสาหกิจ ประเภทกิจการสาธารณูปโภค สังกัดกระทรวงคมนาคม มีหน้าที่ในการจัดบริการรถโดยสารประจำทางวิ่งรับ-ส่งผู้โดยสารในเขตกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียง 5 จังหวัด คือ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม โดยมีนโยบายจากรัฐบาลให้จัดเก็บอัตราค่าโดยสารในอัตราต่ำกว่าต้นทุน เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เป็นธุรกิจที่ไม่หวังผลกำไร ซึ่งในปี พ.ศ. 2559 ขสมก. มีรายได้ถึง 8,308 ล้านบาท แต่มีค่าใช้จ่ายมากถึง 13,111 ล้านบาท ทำให้ขสมก. ขาดทุนมากถึง 4,802 ล้านบาท นับเป็นจำนวนเงินที่มากอย่างน่าตกใจ ด้วยจุดประสงค์หลักที่ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและไม่หวังผลกำไร เลยทำให้ ขสมก. ขาดทุนทุกปีนั่นเอง

เปรียบเทียบ “รถเมล์” ไทย กับ ต่างประเทศ แตกต่างกันแค่ไหน ทำไมของเราถึงสู้ไม่ได้ ?

ที่มา: http://www.bmta.co.th

ประวัติการขาดทุนของ ขสมก. ก็ไม่ใช่เล่นๆ เพราะว่าขาดทุนมาแล้วอย่างโชกโชน ถ้าเทียบชั้นความเทพ พี่ทุยยกให้เป็นถึงขั้นศาสตรจารย์ของการขาดทุนเลยทีเดียว เพราะ ขสมก. ไม่ได้ขาดทุนแค่ปีเดียว แต่ขาดทุนติดต่อกันมากว่า 8 ปีแล้ว !

ปี พ.ศ. 2558 ขาดทุน – 4,790 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2557 ขาดทุน – 5,196 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2556 ขาดทุน – 5,315 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2555 ขาดทุน – 5,442 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2554 ขาดทุน – 5,126 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2553 ขาดทุน – 4,968 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2552 ขาดทุน – 3,930 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2551 ขาดทุน – 6,892 ล้านบาท

ในปัจจุบัน ขสมก. มีหนี้สินสะสมราว 1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ขององค์กรรัฐวิสาหกิจที่มีหนี้ท่วมเยอะที่สุดของไทย ซึ่งถ้าเป็นบริษัททั่วๆไปคงจะต้องล้มเลิกกิจการไปแล้วอย่างแน่นอน แต่ดูเหมือนว่า ขสมก. จะสามารถดำเนินกิจการและยังขาดทุนเพิ่มหนี้ไปได้อย่างเรื่อยๆ

แล้วอนาคตของผู้ใช้บริการ “รถเมล์” จะเป็นยังไง ?

ในปี พ.ศ. 2561 ขสมก. มีแผนการดำเนินงานในโครงการต่างๆถึง 16 โครงการด้วยกัน สามารถแบ่งออกเป็น 2 วัตถุประสงค์หลักๆ คือ

1. โครงการที่ทำเพื่อประชาชน ได้แก่
– การจัดซื้อรถโดยสารใช้ก๊าซธรรมชาติ NGV รถโดยสารไฟฟ้า (EV) และรถโดยสารไฮบริด (Hybrid)
– การเช่ารถโดยสาร NGV และรถโดยสารไฮบริด (Hybrid)
– การปรับปรุงสภาพรถโดยสาร NGV (เดิม) และการติดตั้ง ใช้งานในระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์บนรถโดยสาร (E-Ticket) เพื่อเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการให้มีคุณภาพมากขึ้น

เปรียบเทียบ “รถเมล์” ไทย กับ ต่างประเทศ แตกต่างกันแค่ไหน ทำไมของเราถึงสู้ไม่ได้ ?

รถโดยสารใช้ก๊าซธรรมชาติ NGV

เปรียบเทียบ “รถเมล์” ไทย กับ ต่างประเทศ แตกต่างกันแค่ไหน ทำไมของเราถึงสู้ไม่ได้ ?

รถโดยสารไฟฟ้า (EV)

เปรียบเทียบ “รถเมล์” ไทย กับ ต่างประเทศ แตกต่างกันแค่ไหน ทำไมของเราถึงสู้ไม่ได้ ?

รถโดยสารไฮบริด (Hybrid)

2. แผนการดำเนินงานเพื่อลดภาระหนี้สินของขสมก. ได้แก่
– จัดทำต้นทุนมาตรฐาน เพื่อรู้ต้นทุนที่แท้จริงของการให้บริการรถโดยสารทุกประเภท
– จัดเก็บค่าตอบแทนค้างชำระของรถเอกชนร่วมบริการ
– จัดหาอู่จอดรถใหม่ ที่ทำการ และการจัดหาสถานีอัดประจุไฟฟ้า ที่เป็นพื้นที่ของภาครัฐเอง
– เกษียณอายุก่อนกำหนด (Early Retirement) และจ้างพนักงานขับรถโดยสารเพิ่มให้เหมาะสมกับจำนวนรถโดยสารที่จะเพิ่มมากขึ้น

ถ้าทั้งหมดนี้ ขสมก. สามารถดำเนินงานได้ตามแผนงานที่วางไว้ นั่นหมายความว่า คนไทยจะมี “รถเมล์” หรือรถโดยสารประจำทางให้ได้ใช้งานมากขึ้น และแน่นอนพี่ทุยว่าจะทำให้คุณภาพของการให้บริการขนส่งสาธารณะดีขึ้น แต่ ขสมก. ก็จะมีหนี้ที่เพิ่มมากขึ้นอีกเยอะเลยจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่า ขสมก. บอกว่าจะทำตัวให้เป็นภาระของรัฐบาลน้อยลงแล้วก็ตาม

แล้วต่างประเทศ เค้าใช้รถเมล์แบบไหนกัน ?

บทความนี้พี่ทุยจะพาไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ไปดูรถเมล์ใน 3 เมืองของโลกที่ขึ้นชื่อว่ามีระบบการขนส่งสาธารณะที่ดีที่สุดในโลกว่าเขาใช้รถเมล์แบบไหนกัน เผื่อเราคนไทยชาวกรุงผู้เผชิญปัญหารถติดระดับโลกจะได้มีโอกาสใช้กันบ้าง พี่ทุยขอเริ่มด้วย

1. กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ที่นี่เป็นเหมือนบ้านเกิดของพี่ทุยเอง เพราะพี่ทุยชอบดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอยู่บ่อยๆ นอกจากทีมฟุตบอลในพรีเมียร์ลีก หอนาฬิกาบิ๊กเบนที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอังกฤษ ก็ยังมี “รถบัสคันสีแดงสองชั้น” ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ในการเดินทางของเมืองหลวงแดนผู้ดี รถเมล์ที่บริการในกรุงลอนดอนอยู่ภายใต้การบริหารของ Transport for London (TFL) แต่รถเมล์ในกรุงลอนดอนส่วนใหญ่แล้วให้บริการโดยบริษัทเอกชนที่ร่วมประมูลเพื่อให้ได้รับสัญญาจาก TFL โดย TFL เป็นผู้กำหนดเส้นทางการบริการและควบคุณภาพ รถเมล์ในกรุงลอนดอนจะเป็นรถเมล์ไฮบริด (ดีเซล-ไฟฟ้า) และใช้ระบบ iBus ซึ่งเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีหลายอย่างเข้าด้วยกัน รวมถึงระบบติดตามผ่านดาวเทียม ทำให้สามารถระบุตำแหน่งของรถได้ ผู้โดยสารจึงสามารถตรวจสอบได้ว่ารถเมล์จะมาถึงป้ายในเวลากี่นาทีทั้งผ่านทางออนไลน์ สมาร์ทโฟน หรือผ่านป้ายรถเมล์ที่เป็นแบบ e-paper และในการเดินทางไปยังป้ายรถเมล์ต่างๆจะมีกำหนดเวลาบอก ทำให้เราสามารถคำนวณระยะเวลาในการเดินทางได้เลย

ส่วนเรื่องการชำระค่าโดยสารก็ไม่มีการใช้เงินสดแล้ว ไม่มีกระเป๋ารถเมล์บนรถแบบบ้านเรานะ คนที่จะเดินทางก็ต้องซื้อเป็นบัตรโดยสารหรือตั๋วโดยสารเท่านั้น ซื้อได้ตามสถานีต่างๆก่อนขึ้นรถได้เลย เมื่อขึ้นรถตรงประตูทางขึ้นด้านหน้าจะมีให้เครื่องให้เราติ๊ดบัตรเพื่อชำระค่าโดยสารได้เลย และพี่ทุยอยากจะบอกว่าขึ้นรถเมล์ที่ลอนดอน ต้องขึ้นที่ประตูด้านหน้าเท่านั้นนะ

เปรียบเทียบ “รถเมล์” ไทย กับ ต่างประเทศ แตกต่างกันแค่ไหน ทำไมของเราถึงสู้ไม่ได้ ?

“รถบัสคันสีแดงสองชั้น” รถเมล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

เปรียบเทียบ “รถเมล์” ไทย กับ ต่างประเทศ แตกต่างกันแค่ไหน ทำไมของเราถึงสู้ไม่ได้ ?

ป้ายรถเมล์แบบ e-paper

2. กรุงมาดริด ประเทศสเปน

เป็นเมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นราว 6 ล้านคน แต่มีระบบการขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพมากสวนทางกับความหนาแน่นของประชากร กรุงมาดริดมี “รถเมล์” ให้บริการในสถานที่ที่รถไฟใต้ดินเข้าไปไม่ถึงเพื่อการเดินทางครอบคลุมทุกพื้นที่ รถเมล์อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทดูแลกิจการขนส่งสาธารณะในเมืองมาดริดอย่าง EMT โดยมีการให้สัมปทานกับบริษัทเอกชนในการให้บริการด้วย รถเมล์ในมาดริดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อทดแทนการปิดบริการของรถไฟใต้ดินในเวลากลางคืน รวมถึงสามารถเช็คตารางเดินรถผ่านทางออนไลน์ได้ ล่าสุดรถเมล์ของเมืองมาดริดมีการรณรงค์เรื่องห้ามผู้ชายนั่งแยกขากินพื้นที่ เพื่อเตือนใจผู้คนในการสำรวมพฤติกรรมในสังคม และเคารพพื้นที่ของคนอื่นบนรถประจำทาง ซึ่งเท่าที่พี่ทุยเห็นมา จริงๆแล้วก็มีหลายเมืองในโลกนี้ที่รณรงค์แบบนี้เหมือนกัน

เปรียบเทียบ “รถเมล์” ไทย กับ ต่างประเทศ แตกต่างกันแค่ไหน ทำไมของเราถึงสู้ไม่ได้ ?

รถเมล์ที่ให้บริการในกรุงมาดริด ประเทศสเปน

เปรียบเทียบ “รถเมล์” ไทย กับ ต่างประเทศ แตกต่างกันแค่ไหน ทำไมของเราถึงสู้ไม่ได้ ?

การรณรงค์ที่ให้ผู้ชายไม่นั่งแยกขาบนรถเมล์ เพื่อเคารพพื้นที่ของคนอื่น

3. กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

นอกจากความน่ารัก คิกขุ ของสาวๆญี่ปุ่นที่พี่ทุยชื่นชอบเป็นพิเศษแล้ว ระบบขนส่งสาธารณะของญี่ปุ่นก็ได้รับการยกย่องว่ามีประสิทธิภาพไม่แพ้ชาติใดในโลก ปกติแล้วเวลาพี่ทุยหรือหลายๆคนเวลาที่ไปญี่ปุ่นก็คงนึกถึงรถไฟฟ้าเป็นหลัก แต่บทความนี้พี่ทุยจะพามารู้จักรถเมล์ของญี่ปุ่นกันบ้างว่าเจ๋งและดีไม่แพ้รถไฟฟ้าเลย การเดินทางด้วยรถเมล์ในโตเกียวถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีความสะดวกสบายและราคาประหยัด แต่การเดินทางด้วยรถเมล์จะต้องขึ้น-ลงที่ป้ายเท่านั้น โดยจะมีป้ายบอกเวลาของรถอยู่ที่ป้ายท่ารถ การขึ้นรถโดยสารจะมีสองแบบคือ ขึ้นบริเวณประตูด้านหน้า ซึ่งจะต้องจ่ายค่าโดยสารเท่ากันตลอดทั้งสายก่อน โดยการใส่เหรียญที่พอดีกับค่าโดยสารในกล่องด้านคนขับ และสามารถแลกเหรียญได้ที่เครื่องแลกเหรียญบริเวณด้านข้างของที่นั่งคนขับ แต่อีกแบบหนึ่ง คือ ขึ้นจากประตูด้านหลังจะต้องดึงตั๋วจากเครื่องที่ติดตั้งอยู่ใกล้ประตู และจ่ายค่าโดยสารทีหลัง

เปรียบเทียบ “รถเมล์” ไทย กับ ต่างประเทศ แตกต่างกันแค่ไหน ทำไมของเราถึงสู้ไม่ได้ ?

รถเมล์ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

เปรียบเทียบ “รถเมล์” ไทย กับ ต่างประเทศ แตกต่างกันแค่ไหน ทำไมของเราถึงสู้ไม่ได้ ?

เครื่องเก็บค่าโดยสารบริเวณที่นั่งด้านข้างคนขับ

แล้วเครื่องเก็บค่าโดยสารของ “รถเมล์” ไทยที่มีแผนว่าจะมีล่ะ เป็นยังไงบ้าง ?

ที่ผ่านมา ขสมก. ได้มีการพยายามทดลองใช้เครื่องหยอดเหรียญบนรถเมล์เหมือนกับรถเมล์ของประเทศญี่ปุ่น แต่กลับไม่ประสบผลสำเร็จ จากผลการดำเนินงานที่พบว่า เกิดปัญหาขัดข้องของเครื่องเลยยิ่งทำให้การเดินทางล่าช้าและยิ่งซ้ำเติมการจราจรติดขัดในชั่วโมงเร่งด่วน ทำให้ขสมก. ต้องยกเลิกระบบหยอดเหรียญไป ตามข่าวที่หลายๆสำนักข่าวเสนอ (คลิกอ่านข่าวเพิ่มเติม)

เปรียบเทียบ “รถเมล์” ไทย กับ ต่างประเทศ แตกต่างกันแค่ไหน ทำไมของเราถึงสู้ไม่ได้ ?

แต่ ขสมก. ก็มีแผนการดำเนินงานในอนาคตที่อยากจะใช้เครื่อง E-Ticket ซึ่งเป็นการใช้บัตรโดยสารที่มีความคล้ายกับรถเมล์ต่างประเทศ โดยจะทำให้ไม่มีกระเป๋ารถเมล์เดินทางไปกับเราและเป็นการผลักดันสู่สังคมไร้เงินสด และก็จัดหารถเมล์ใหม่ๆมาให้บริการ ซึ่งการปรับตัวพัฒนาในครั้งนี้น่าจะทำให้การให้บริการรถเมล์ของไทยเข้าใกล้รถเมล์ในต่างประเทศได้มากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง และถ้า ขสมก. สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการบอกระยะเวลาของการรอรถเมล์ หรือระยะเวลาที่ใช้ในการโดยสารรถเมล์ผ่านทางออนไลน์ หรือป้ายรถเมล์แบบในต่างประเทศ น่าจะยิ่งทำให้คนหันมาใช้บริการรถเมล์มากขึ้นไปอีก

แต่ก่อนที่จะให้ ขสมก. ลงทุนทำอะไรก็ตามแต่ ใครที่รู้จัก ขสมก. ช่วยฝากไปถามหน่อยว่า แล้วเงิน 1,665 ล้านบาทที่ลงทุนกับเครื่องเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติในรถเมล์ 2,600 คัน ที่ใช้เงินภาษีของเราๆไปเนี่ย ใครจะเป็นคนรับผิดชอบล่ะ ? เหตุผลง่ายๆแค่นี้น่าจะเป็นตัวตอบคำถามที่พี่ทุยตั้งเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า ทำไมรถเมล์ไทยถึงสู้ของต่างประเทศเค้าไม่ได้

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile